28 ธ.ค. 2020 เวลา 05:09 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
สุดยอดหนังดี จาก Top 250 บนเวบไซด์ IMDb Part 5 : ลำดับที่ 21-25
สรุปอันดับหนัง Top 250 IMDb ที่รีวิวไปแล้วในตอนก่อน
1. The Shawshank Redemption (1994)
2. The Godfather (1972)
3. The Godfather: Part II (1974)
4. The Dark Knight (2008)
5. 12 Angry Men (1957)
6. Schindler's List (1993)
7. The Lord of the Rings: The Return of the King (2003)
8. Pulp Fiction (1994)
9. The Good, the Bad and the Ugly (1966)
10.The Lord of the Rings: The Fellowship of the Ring (2001)
11. Fight Club (1999)
12. Forrest Gump (1994)
13. Inception (2010)
14. The Lord of the Rings: The Two Towers (2002)
15. Star Wars: Episode V - The Empire Strikes Back (1980)
16. The Matrix (1999)
17. Goodfellas (1990)
18. One Flew Over the Cuckoo's Nest (1975)
19. Seven Samurai (1954)
20. Seven (1995)
หมายเหตุ : คะแนนดาวเป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ซึ่งมีเกณฑ์การให้คะแนน 3 ระดับ คือ
3 ดาว = หนังดี ควรหามาดู
4 ดาว = หนังดีมาก แนะนำให้ดู
5 ดาว = หนังดีมากๆ ไม่ควรพลาดเด็ดขาด
21. Life Is Beautiful (1997)
Rating 8.6 คะแนน จำนวนคนโหวต 617,875 คน
Life is beautiful (1997) " ยิ้มไว้โลกนี้ไม่มีสิ้นหวัง " ภาพยนตร์สัญชาติอิตาเลี่ยน ที่พูดถึง "กุยโด "ชายชาวยิวผู้ร่ำรวยรอยยิ้ม เขาตกหลุมรักกับ "ดอร่า " ครูสาวสุดสวย จนได้แต่งงานและมีลูกด้วยกันชื่อว่า "โจซัว"
ทั้งสามใช้ชีวิตร่วมกันอย่างมีความสุขจนกระทั่งมีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้น เมื่อกองทัพนาซีเยอรมันได้ทำการจับกุมผู้ที่มีเชื้อสายยิวไปกักกันยังค่ายกักกัน กุยโดและโจซัวคือหนึ่งในผู้ที่ถูกจับไปด้วย ที่นั่นกุยโดถูกกดขี่และใช้แรงงานอย่างหนัก
แต่ไม่ว่าสภาพชีวิตในค่ายกักกันจะเลวร้ายเพียงใด "กุยโด"ในฐานะพ่อ ต้องประคับประคองความรู้สึกของลูกชายไว้เสมอ เขาบอกกับลูกชายว่า "สิ่งที่เกิดขึ้นในสถานกักกันนี้ คือ เกมชิงรถถัง ใครที่ทำคะแนนได้ครบ 1,000 คะแนน คือผู้ชนะและจะได้รถถังเป็นรางวัล" หลังจากนั้นกุยโดก็ต้องใช้ไหวพริบของเขาเพื่อแก้สถานการณ์ที่ตึงเครียดในค่ายกักกันให้กลายเป็นเกมสนุกๆของลูกชาย
บทวิจารณ์ : ★★★★★
Life is beautiful มีความแตกต่างจากหนังนาซีเรื่องอื่นอย่างมาก โดยเฉพาะแนวคิดของตัวละครอย่างอย่าง " กุยโด "
การที่เขาหลอกลูกชายว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในค่ายกักกันเป็นเกมก็เพื่อต้องการประคองจิตใจของลูกชายไม่ให้ตื่นกลัว ผู้ชมจะทึ่งไปกับไหวพริบในการแก้สถานการณ์ของกุยโดเพื่อเปลี่ยนเรื่องร้ายๆให้กลายเป็นเกมสนุกของลูกชาย ซึ่งในความสนุกนั้นก็ปะปนไปด้วยความหดหู่อันเกิดจากความป่าเถื่อนโหดร้ายของสิ่งที่ทหารนาซีได้กระทำต่อชาวยิว และนี่คือความแตกต่างที่ผมกล่าวถึง คือ หนังให้ทั้งอารมณ์ของความหวัง การมองโลกในแง่ดี ขณะเดียวกันเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนังก็เต็มไปด้วยความหดหู่
เราอาจจะคิดว่าสิ่งที่กุยโดทำคือการโกหกตัวเอง แต่อีกมุมหนึ่งมันคือการกระทำที่ยิ่งใหญ่ของคนเป็นพ่อ ลึกๆแล้วกุยโดก็มีความกลัว แต่เขาเลือกที่จะไม่แสดงมันออกมาเพื่อสร้าง " ความหวัง " ให้กับตนเองและลูกชาย นี่คือหนังที่ทำออกมาได้โคตรดีและเป็นหนังที่ควรหามาดูให้ได้สักครั้งหนึ่งในชีวิต
22. City of God (2002)
Rating 8.6 คะแนน จำนวนคนโหวต 695,023 คน
City of God (2002) หนังที่ถูกจัดอันดับให้เป็นหนึ่งในร้อยเรื่องของหนังลาตินที่ควรดู ผลงานสร้างชื่อของ เฟอร์นันโด เมเรลเลส (Fernando Meirelles)ผู้กำกับชาวบราซิล ที่ถ่ายทอดเรื่องราวจากเค้าโครงเรื่องจริงของแกงค์อาชญากรรมข้างถนนในย่านสลัมที่มีชื่อว่า " Cidade de Deus" หรือที่คนส่วนใหญ่เรียกว่า " เมืองแห่งพระเจ้า "(City of God)
เป็นการเล่าผ่านมุมมองของร็อคเก็ต ( Rocket)เด็กหนุ่มที่เกิดและเติบโตในชุมชนแห่งนี้ แม้จะถูกขนานนามว่าเป็นเมืองแห่งพระเจ้า แต่ที่นี่กลับเต็มไปด้วยอันธพาลและแกงค์อิทธิพลท้องถิ่น พวกเขามักจะก่อเหตุปล้น วิ่งราว ชิงทรัพย์ ทำร้ายร่างกาย และค้ายาเสพติด จนไม่มีใครกล้าเข้ามาในชุมชนแห่งนี้ เพราะที่นี่นับเป็นย่านที่อันตรายที่สุดของกรุงริโอ
ร็อคเก็ตใช้ชีวิตแตกต่างจากเด็กคนอื่นๆ เขามีความฝันที่อยากจะเป็นช่างภาพ ซึ่งการได้ใช้ชีวิตในสถานที่ที่เต็มไปด้วยอาชญากรรม ทำให้ร็อคเก็ตมีโอกาสได้ถ่ายภาพให้กับหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่ง ซึ่งภาพที่เขาถ่ายมานั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะทุกภาพเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่ที่ไม่มีนักข่าวคนใดเข้าไปถ่ายได้นอกจากร็อคเก็ตเพียงคนเดียว
1
บทวิจารณ์ : ★★★★★
หากอยากดูหนังที่มีสไตล์การเล่าเรื่องเฉพาะตัวและมุมกล้องที่แปลกตา ผมขอแนะนำให้ดูหนังสัญชาติบราซิลเรื่องนี้ ส่วนที่ผมชอบที่สุดใน City of God คือการเล่าเรื่องแบบไม่เวิ่นเว้อ เน้นความกระชับ รวดเร็ว งานภาพของหนังเรื่องนี้มีความหวือหวา งดงาม และสร้างความน่าสนใจให้กับหนังเป็นอย่างมาก นี่คือหนังแกงสเตอร์ที่แตกต่างและโดดเด่นที่สุดเรื่องนึงของวงการภาพยนตร์
23. The Silence of the Lambs (1991)
Rating 8.6 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,259,234 คน
ภาพยนตร์แนวลึกลับสยองขวัญที่ดัดแปลงมาจากนิยายในชื่อเดียวกัน นำแสดงโดยโจดี้ ฟอสเตอร์และแอนโทนี ฮ็อปกินส์ เป็นเรื่องของการสืบคดีเพื่อตามหาฆาตกรต่อเนื่องที่ใช้นามแฝงว่า "บัฟฟาโร่ บิล"
1
เขาได้ก่อเหตุฆาตกรรมหญิงสาวหลายรายอย่างโหดเหี้ยม ซึ่งรายล่าสุดก็คือลูกสาวของวุฒิสมาชิกรายหนึ่ง ทาง FBI เชื่อว่ายังมีเวลาที่จะช่วยเหยื่อรายนี้ได้ทัน หากรู้เบาะแสและพฤติกรรมของคนร้ายก่อนที่เขาจะลงมือฆ่าเธอ
ซึ่งการสืบหาต้องอาศัยความร่วมมือจาก ดร.ฮันนิบาล เลคเตอร์ ฆาตกรต่อเนื่องที่เป็นอดีตจิตแพทย์ เจ้าหน้าที่ฝึกหัดแคลลิช สตาร์ลิ่งจึงถูกส่งตัวมาพูดคุยกับ ดร.ฮันนิบาล เพื่อค้นหาเบาะแสของบัฟฟาโร่ บิล แน่นอนว่า ฮันนิบาล มีข้อมูลเกี่ยวกับบัฟฟาโล บิลจริง แต่ก่อนที่แคลลิชจะได้ข้อมูล เธอต้องเล่นเกมปั่นประสาทกับดร.ฮันนิบาลก่อน ซึ่งมันก็คุ้มที่จะเสี่ยงเพราะเขาคือกุญแจดอกสำคัญที่จะทำให้ไขคดีนี้ได้สำเร็จ
บทวิจารณ์ : ★★★★★
หนังเรื่องนี้มีส่วนผสมที่ลงตัวหลายอย่าง ทั้งการเขียนบทที่ยอดเยี่ยม การสร้างคาแรคเตอร์ของตัวละครอย่าง ดร.ฮันนิบาล เลคเตอร์ ให้เป็นที่จดจำของผู้ชม ทั้งการแสดงอันยอดเยี่ยมของสองนักแสดงนำอย่างโจดี้ ฟอสเตอร์และแอนโทนี ฮ็อปกินส์ รวมไปถึงการตัดต่อ การลำดับภาพ
มีการใส่ประเด็นทางจิตวิทยาลงไปเพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงด้านมืดของตัวละครมากขึ้น ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่ทำให้ The Silence of the Lambs กลายเป็นหนังระทึกขวัญคลาสสิคระดับตำนาน การันตีคุณภาพด้วย 5 รางวัลออสการ์ในสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม , นักแสดงนำชายยอดเยี่ม , นักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยม , บทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม และผู้กำกับยอดเยี่ยม
24. It's a Wonderful Life (1946)
Rating 8.6 คะแนน จำนวนคนโหวต 397,989 คน
จะเกิดอะไรขึ้น ? หากเราไม่ได้เกิดมาบนโลกใบนี้
ขณะที่จอร์จ เบลีย์กำลังจะฆ่าตัวตายในคืนวันคริสต์มาสอีฟ เขาก็ได้พบกับ " แคลเรนซ์ " เทวดาชั้นสองที่สวรรค์ส่งลงมาเพื่อช่วยชีวิตเขา เหล่าเทวดาได้ติดตาม
ชีวิตของจอร์จมาตั้งแต่เกิด ได้เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเขา มีหลายเหตุการณ์ที่จอร์จได้ช่วยชีวิตคนอื่น ได้ทำให้ชาวเมืองมีบ้านเป็นของตนเอง แม้โชคชะตาทำให้เขาต้องลำบากแต่จอร์จก็ควรที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
และเพื่อให้จอร์จได้เห็นคุณค่าของชีวิต เทวดาจึงทำให้เขากลายเป็นบุคคลไร้ตัวตนที่ไม่มีใครรู้จัก จอร์จได้เห็นภาพของโลกที่ไม่มีเขา และนั่นก็ทำให้เขาค้นพบว่าการได้เกิดมานั้นมีคุณค่าเพียงใด ?
บทวิจารณ์ : ★★★★★
สำหรับใครก็ตามที่ต้องการกำลังใจเพื่อต่อสู้กับปัญหาและอุปสรรคในชีวิต คุณควรดูหนังเรื่องนี้ ผมเชื่อว่าใครก็ตามที่ได้ดูหนังเรื่องนี้ จะต้องชื่นชอบและยกให้ It's a Wonderful Life เป็นหนึ่งในหนังเรื่องโปรดอย่างแน่นอน
นี่คือหนังสร้างแรงบันดาลใจที่จะทำให้เรามองเห็นคุณค่าของชีวิต แม้หนังจะมีอายุมากกว่า 74 ปีแล้ว แต่ความดีงามของหนังก็อยู่เหนือกาลเวลาจนถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดตลอดกาลจากการจัดอันดับของหลายสถาบัน แม้กระทั่ง สตีเวน สปีลเบิร์ก ยังเคยให้สัมภาษณ์ถึงหนังเรื่องนี้ว่า เขามักจะดู It's a Wonderful Life เพื่อสร้างแรงบันดาลใจในการทำหนังเรื่องใหม่อยู่เสมอ
25. Star Wars: Episode IV - A New Hope (1977)
Rating 8.6 คะแนน จำนวนคนโหวต 1,221,784 คน
เมื่อเจ้าหญิงเลอา ผู้นำกองทัพพันธมิตรกบฎถูกยานของดาร์ธเวเดอร์จับกุมได้ เธอจึงตัดสินใจนำข้อมูลลับฝากไว้กับหุ่นยนต์รับใช้สองตัว คือ R2-D2 และ C-3PO เพื่อให้พวกมันนำแผนผังของดาวมรณะซึ่งเป็นอาวุธทรงอานุภาพของฝ่ายจักวรรดิผู้ชั่วช้าไปส่งต่อให้กับอดีตนักรบเจไดนาม โอบีวัน เคโนบี
ซึ่งหุ่นทั้งสองได้ตกลงมาที่ดาวแห่งหนึ่งและได้พบกับ ลุค สกายวอล์คเกอร์ ลุคตัดสินใจเดินทางไปพบกับโอบีวัน และได้ฝึกฝนตนเองให้เป็นนักรบเจไดตามโอบีวันและพ่อของเขา เพื่อช่วยเหลือเจ้าหญิงเลอาร่วมกับฝ่ายพันธมิตรกบฎ
บทวิจารณ์ : ★★★★★
นี่คือจุดเริ่มต้นของมหากาพย์ในตำนานก่อนที่จะมีภาคต่อตามมาอีกมากมาย Star Warsเป็นหนังที่สนุก ครบรส โดยเฉพาะในภาคนี้เราจะได้เห็นความน่ารักและขี้เล่นของหุ่นยนต์เพื่อนรักทั้งสอง คือ R2-D2 และ C-3PO ที่สร้างสีสันให้กับหนังอย่างมาก
1
เป็นความบันเทิงแบบจัดเต็ม ที่ผู้ชมจะได้น่าตื่นตาตื่นใจไปกับฉากแอ็คชั่นที่โดดเด่นและภาพซีจีที่สวยงามจนไม่น่าเชื่อว่านี่คือหนังที่สร้างมา 43 ปีแล้ว ด้วยองค์ประกอบหลายอย่างที่ลงตัว ทำให้ผมไม่แปลกใจเลยที่หนังเรื่องนี้จะกลายเป็นหนังโปรดของใครหลายๆคน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา