30 ธ.ค. 2020 เวลา 04:06 • ความคิดเห็น
อีก 2 วันจะหมดปี ว่ากันตรงๆ นี่เป็นปีที่ชีวิตของคนไทย เจอเรื่องราวหนักๆเยอะจริงๆ สำหรับผมเอง ในฐานะนักเขียน คนทำเพจ นักข่าว และคุณพ่อลูกหนึ่ง ก็ได้เรียนรู้สัจธรรมหลายๆอย่างครับ บทความนี้ ขอเล่าให้ฟังว่าผมได้พบเห็น และเข้าใจอะไรบ้างตลอดปีนี้
1
--------------------------------
[ 1- เทรนด์ไลฟ์โค้ชมันเอาต์แล้ว ]
ถ้าย้อนกลับไปในปี 2018 และ 2019 ในหน้าเฟซบุ๊กเราจะเห็นคนที่เป็น "ไลฟ์โค้ช" เต็มไปหมด คือโพสต์คำคม อัดคลิปเท่ๆ สอนแนวทางว่าควรใช้ชีวิตอย่างไร แต่ในปัจจุบัน ถ้าลองเลื่อนหน้าฟีดดูจะเห็นว่า คำคมอะไรแบบนั้นลดลงไปจากเดิมมาก หลายๆคนเคยกดไลค์ ไลฟ์โค้ชเอาไว้ ก็ไปกดอันไลค์ออก
สาเหตุที่เป็นแบบนั้น เพราะปี 2020 คือปีแห่งบททดสอบชีวิตของจริง เรื่องโควิด-19 ทำให้คนไม่สนใจเรื่องที่เป็น "เปลือก" อีกแล้ว แต่เลือกให้ความสำคัญกับอะไรที่มีความหมายกับชีวิตจริงๆ
2
ในฐานะที่ผมเป็นผู้สื่อข่าว เราจะเห็นเทรนด์ความสนใจข่าวว่าคนยุคนี้ สนใจข่าวเศรษฐกิจมากขึ้น สนใจปัญหาปากท้อง สวัสดิการรัฐ รวมถึงเรื่องการเมืองที่จะมีผลต่อชีวิตเขาจริงๆ และเริ่มจะเลิกติดตาม พวกคำคมทั้งหลายจากไลฟ์โค้ชที่เอาจริงๆ ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
3
ในปีนี้ ถ้าคนอยากฟังแนวคิดชีวิตจากใครสักคน เขาจะเลือกฟังคนที่ "มีประสบการณ์ตรง" เคยประสบความสำเร็จมาแล้วจริงๆ สามารถแนะแนวทางได้ หรือคนที่เคยล้มเหลวมาแล้วจริงๆที่พร้อมให้ข้อคิดเตือนใจ
1
แต่กับคำคมแบบเลื่อนลอย ที่เอาเท่เฉยๆ จากใครสักคนที่สถาปนาตัวเองเป็นกูรู เทรนด์มันเอาต์ไปแล้วล่ะ
2
--------------------------------
1
[2- Passion ไม่มีประโยชน์ถ้าไม่มีวินัย ]
3
เอลิอูด คิปโชเก้ นักวิ่งมาราธอนเจ้าของเหรียญทองโอลิมปิก เคยกล่าวว่า "ถ้าไม่มีวินัย คุณจะตกเป็นทาสของแพชชั่น" แน่นอน คิปโชเก้ไม่ใช่ไลฟ์โค้ช แต่เขาเป็นคนที่ประสบความสำเร็จมาแล้วจริงๆ และคนแบบนี้ ควรค่าแก่การฟังว่าเขามีแนวคิดอย่างไร
ความหมายของคิปโชเก้คือ ความฝันอยากจะทำอะไร ใครๆก็ฝันได้ เราอยากเปิดร้านอาหารส่วนตัว อยากเป็นยูทูบเบอร์ อยากเป็นเจ้าของเพจ อยากเป็นนักกีฬาอีสปอร์ต ฯลฯ ทุกคนมีสิทธิ์จะฝันได้ทั้งนั้น แต่ถ้าเราไม่มีวินัย ความฝันก็เป็นแค่ความฝัน
อยากมีธุรกิจร้านอาหาร คุณพร้อมไหมที่จะทำงาน 7 วัน เปิดร้านปิดร้าน ซื้อวัตถุดิบ ดีลกับปัญหามากมาย โดยไม่มีวันหยุดพัก
1
อยากเป็นยูทูบเบอร์ คุณพร้อมไหมที่จะสร้างคอนเทนต์ซ้ำๆติดต่อกันเป็นปี อยากเป็นนักเขียน อยากเป็นเจ้าของเพจ คุณไหวหรือเปล่า ถ้าต้องเขียนงานทุกวันซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
1
อยากเป็นนักกีฬาอีสปอร์ต ได้เงินจากสิ่งที่ตัวเองชอบ ได้เล่นเกมอย่างอิสระ แต่รู้หรือไม่ ว่านักกีฬาต้องซ้อมเกมวันละ 8-10 ชั่วโมง มันเกินกว่าการเล่นสนุก แต่มันต้องซ้อมต่อเนื่องเพื่อพัฒนาสกิลให้เก่งขึ้น
คุณมีแพชชั่น และมีความฝันได้กับทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีวินัย และไม่สามารถทำมันได้ต่อเนื่อง ความฝันมันจะจบเร็วมาก ดังนั้นก่อนจะเริ่มออกสตาร์ตทำอะไร ต้องถามตัวเองให้ชัดว่า ถ้าเราต้องอยู่กับมันแบบนี้ไปเรื่อยๆ เป็นปี เราจะ "โอเค" ใช่ไหม
3
--------------------------------
2
[ 3-อะไรที่เหลือเชื่อเกินจริง ให้คิดไว้ก่อนว่าไม่จริง ]
ในโลกอินเตอร์เนต มีหลายเรื่องมากที่ ดูเหลือเชื่อ เฮ้ย มันเป็นไปได้จริงๆหรือ วิธีของผมถ้าเจอเรื่องราวแบบนี้ คือ "สิ่งที่เหลือเชื่อ ให้ไม่เชื่อไว้ก่อน"
ผมอยู่ในกลุ่มขายเกมมือสอง ถ้าหากมีคนมาขายแผ่นเกมราคาถูกกว่า ราคาตลาดครึ่งนึง ให้เราสังหรณ์ได้เลยว่า นี่เป็นแก๊งต้มตุ๋นหรือเปล่า หรือถ้ามีข้อเสนองานที่ได้รายได้เกินกว่าที่ควรจะเป็นมากๆ ให้คิดไว้ก่อนเลยว่ามันมีอะไรแปลกๆหรือเปล่า ถ้าข้อเสนอดีขนาดนี้ มันจะตกมาถึงเราได้อย่างไร
การที่เราไม่เชื่อ จะทำให้เรามีเกราะกำบัง รู้จักเช็กข้อมูล รู้จักตั้งคำถาม สายตาสอดส่อง ถึงอันตรายที่อาจเกิดขึ้น คือถ้าสุดท้ายเรื่องเหลือเชื่อนั้น ถ้าเราเช็กแล้ว มันดันเป็นเรื่องจริง ก็ดีไป ไม่เสียหายอะไรนี่ ถ้าระวังไว้ก่อน แต่ถ้าไม่จริง เราก็รู้เท่าทัน และไม่โดนใครหลอกง่ายๆ
1
ทฤษฎีนี้ พวกแก๊งคอลเซ็นเตอร์ใช้กัน คือโทรมาบอกว่า อยู่ๆคุณได้เงินสิบล้านบาทจากมรดกของญาติที่คุณไม่เคยรู้จัก แต่คุณจำเป็นต้องโอนมาให้ก่อน 1 แสนบาทเพื่อยืนยันตัวตนจริงๆ ซึ่งถ้าเราใช้ความระวัง เราก็จะรู้ทันทีว่า อะไรเหลือเชื่อแบบนี้ เป็นไปไม่ได้ แต่คนที่โดนหลอก ก็เพราะหลงไปง่ายๆกับสิ่งที่เกินจริงนั่นแหละ
2
--------------------------------
1
[ 4-ไม่ต้องหงุดหงิด กับความเห็นต่างในโลกออนไลน์ ]
1
หลักการที่ผมเชื่อมาตลอด และปีนี้ ผมยิ่งมั่นใจมากขึ้น นั่นคือ "ยากมาก ที่เราจะเปลี่ยนความคิดใครสักคนได้" คนแต่ละคนเกิดมาในสภาพสังคมที่ต่างกัน การเลี้ยงดู และการเล่าเรียน ก็ไม่เหมือนกัน ดังนั้นแต่ละคนย่อมมีความเชื่อของตัวเอง
2
ผมว่า เราไม่มีความสามารถจะบอกให้ใครมาเชื่อเหมือนเราได้ ต่อให้เราพยายามแทบตาย เขาไม่เชื่อก็คือไม่เชื่อ ดังนั้นเราแค่บอกจุดยืนของตัวเองพอว่า "คิดอย่างไร" จากนั้นให้อีกฝ่ายตัดสินใจเอาเอง ว่าจะฟังเราไหม หรือถ้าไม่ฟังแล้วจะยึดมั่นในความคิดของตัวเองต่อไป ก็สุดแล้วแต่
1
ปัจจุบัน ผมเลิกไฟต์ เลิก War ทางโลกออนไลน์ไปแล้วครับ เพราะมันเหนื่อยฟรี โต้เถียงกันไป ต่างคนก็ต่างเชื่ออยู่ดี ดังนั้นไม่มีประโยชน์อะไรที่จะดราม่ากัน
คำโต้เถียงด้วยอารมณ์ของเรา ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงเขาได้หรอก การเปลี่ยนแปลงใดๆ มันต้องเกิดขึ้นจากตัวเขาเอง ดังนั้นถ้าเจอความเห็นอะไรที่ไม่ตรงจริตในอินเตอร์เนต ก็อย่าเอาเป็นอารมณ์ ปล่อยผ่านมันไป ถือว่าเราอธิบายแล้ว จากนี้ไปเขาจะคิดอะไรก็ช่างเถอะ
--------------------------------
[ 5-รักใครอยู่กับคนนั้น ]
ในปี 2020 ผมเห็นเลยว่า ชีวิตคนเรามันสั้นมากกว่าที่คิดนะ เดินๆอยู่ ใครจะรู้ว่าจะโดนครูกอล์ฟบุกมาชิงทองในห้าง แล้วยิงคนเสียชีวิต จากนั้นเดือนต่อมา เดินห้างอยู่ดีๆ ก็มีทหารที่ไหนไม่รู้มากราดยิงประชาชนผู้บริสุทธิ์
1
ต้นปีก็เกือบมีสงครามโลกครั้งที่ 3 มีเรื่อง PM 2.5 ตามด้วยโควิด-19 จะเห็นว่า ปัญหามันเยอะรุมเร้าชีวิตคนเรามากเหลือเกิน
1
เมื่อเราไม่รู้ว่าชีวิตนี้จะตายเมื่อไหร่ โลกนี้มันอยู่ยากขนาดนี้ ดังนั้นในเรื่องความสัมพันธ์ ผมคิดว่าอย่าทำให้มันซับซ้อนนักเลย ถ้ารักใครก็อยู่กับคนนั้น ไม่รักกันมากพอก็ปล่อยกันไป ให้เขาไปหาคนที่รักเขาดีกว่า
4
ในอดีตแอดมินก็เคยเป็นผู้ชายที่แบบ ชอบคนนี้ นี่นั่นโน่น แต่พอเจอภรรยาและแต่งงานกันแล้ว ผมก็หยุดเลยนะครับ เชื่อไหม พอเรามีความรักที่ชัดเจนเรียบง่าย ชีวิตมันดีมากกว่าที่คิดนะ
3
ความซับซ้อนต่างๆเมื่อโยนทิ้งไป มันทำให้เรามีเวลา และสมาธิในการสร้างสรรค์สิ่งต่างๆขึ้นมามากมาย โดยไม่ต้องเอาหัวไปเคลียร์ความสัมพันธ์ที่วุ่นวาย
1
ถ้าเลือกแล้วว่าจะรักใครก็อยู่กับคนนั้น บอกรักกันในวันที่ยังมีโอกาส ชีวิตมันสั้นนะ อย่าให้เวลาที่จะสร้างเรื่องราวดีๆกับใครสักคน ต้องเสียไปเปล่าๆเลย
--------------------------------
[ 6- เทคนิคที่ไม่ได้ใช้แล้ว ]
พูดถึงเรื่องความรักแล้ว ด้วยความที่แอดมินแต่งงานแล้ว ตอนนี้มุกจีบหญิง ก็คงไม่ได้ใช้อีกแล้วล่ะ
มีมุกนึง ที่ผมใช้บ่อยตอนวัยรุ่น และได้ผลดีนะครับ แนะนำสำหรับคนที่กำลังจีบหญิงใหม่ๆ สามารถเอาไปใช้ได้นะ
ในยุคนี้ เราจะเริ่มคุยกับใคร ส่วนใหญ่จะเริ่มจากแชทก่อนใช่ป่ะครับ หรือไม่ก็ไปเจอตัวกันเลย เจอในผับ ในร้านอาหาร เป็นเพื่อนของเพื่อน อะไรก็ว่ากันไป
ตั้งแต่เมื่อก่อนแล้ว คนเราจะไม่ค่อยให้เบอร์กัน แต่จะให้ไลน์ หรือ ไอจี เพราะปลอดภัยสำหรับเขามากกว่า ซึ่งพอเราคุยกันไปเรื่อยๆ กิ๊กกั๊กกันนิดนึงแล้ว ผมก็จะถามผู้หญิงว่า "เธอ ยังไงเราขอเบอร์หน่อยได้มั้ย เอาไว้ตอนไหนคิดถึงแล้วจะโทรไปหา"
4
จากนั้นพอเขาให้เบอร์มาปั๊บ ในวินาทีนั้น ให้กดโทรหาเขาทันทีเลยนะครับ ให้เขารับเลย แล้วพอเขารับปั๊บ เราก็บอกไปเลยว่า "เออ คิดถึงแล้วอะ"
6
มุกนี้แอดมินใช้ได้ผลนะ ถ้ามันกิ๊กๆกันอยู่ มันจะรู้สึกดีอยู่นะครับ มีความ Old School นิดนึง แต่น่ารักดีนะครับ ผญ.ชอบอยู่น้า
ไว้มีอีกหลายทริก ค่อยมาเล่าสู่กันฟังนะครับ (ที่เคยใช้ได้ผล) แต่ตอนนี้ไม่ได้ใช้ เพราะลูกหนึ่งแล้ว!
6
--------------------------------
[ 7- ถ้าเราไม่เชื่อในความคิดของตัวเอง แล้วใครจะเชื่อ ]
1
ในการทำวิทยานิพนธ์ กระบวนการสุดท้าย นักศึกษาต้อง Defense กับอาจารย์ผู้สอบ ความหมายของมันคือ อาจารย์จะหาจุดอ่อนของวิทยานิพนธ์เล่มนั้น แล้วโจมตีความผิดพลาด เพื่อพิสูจน์ว่างานของเราดีพอที่จะปล่อยผ่านสู่สาธารณชนได้ไหม
สาเหตุที่ต้องใช้คำว่า Defense (ป้องกัน) ก็ตรงตามความหมายของมันเลย คือนักศึกษาต้องป้องกันวิทยานิพนธ์ของตัวเอง จากการโดนโจมตีของอาจารย์ ถ้าหากป้องกันเอาไว้ได้ อธิบายทุกอย่างได้ชัดเจน สุดท้ายก็จะเป็นผู้ชนะในการต่อสู้ครั้งนี้
ในชีวิตจริงของเราก็เหมือนกัน ความคิดของเรา จะไม่ถูกเชื่อไปทั้งหมดหรอก มันย่อมมีข้อโต้แย้งมาจากคนอื่นเสมอ สิ่งที่เราควรทำไม่ใช่ก้มหน้า ยอมรับคำโจมตีของอีกฝ่าย แต่เราต้องถามตัวเองว่า 'มั่นใจ' ในสิ่งที่นำเสนอหรือเปล่า
ถ้าเรามั่นใจ เราต้องปกป้องความคิดของเราจนสุดชีวิต อธิบายในเหตุผลทั้งหมดที่มี อย่าลืมว่าถ้าเราไม่เชื่อมั่นใจสิ่งที่เราคิด แล้วคนอื่น ใครจะมาเชื่อกับเราด้วย
1
การโดนติติงมา ไม่ได้แปลว่าคนติติงถูก แต่เขาอาจจะไม่เข้าใจหรือไม่เห็นประโยชน์ในสิ่งที่เราสื่อ ดังนั้นเราจึงต้องสู้ และปกป้องความคิดของตัวเองเอาไว้ให้ดีที่สุดที่จะทำได้
2
ถ้าเป็นโลกออนไลน์ การโจมตีอาจปล่อยผ่านได้ แต่ถ้าเป็นการโต้เถียงเรื่องงาน เรื่องเรียน จากคนรู้จัก การยืนหยัดในความคิดของตัวเองก่อน เป็นสิ่งจำเป็นมาก
1
--------------------------------
1
[ 8- เทรนด์ยุคนี้ ไม่สนุกกับการบุลลี่ ]
ในอดีตประเทศไทย เรามองว่าการบุลลี่ ด้วยคำพูด ถือเป็นการแซวขำๆ ไอ้ดำ ไอ้อ้วน ไอ้เตี้ย ฯลฯ มีการหยิบจุดเด่นหรือจุดด้อยในร่างกายของอีกฝ่ายขึ้นมา เพื่อเอาเป็นคำเรียกขาน แม้อีกฝ่ายจะมีชื่อเรียกก็ตาม แต่คนบุลลี่จะมองว่าเรียกด้วยฉายามันสนุกกว่า
พอคนที่โดนเรียกเขาโกรธ เขาโมโห ก็จะใช้คำว่าแซวขำๆแค่นี้ จะอะไรนักหนา แต่ประเด็นคือคนโดนกระทำเขาไม่ได้สนุกด้วยไง ซึ่งสำหรับยุคก่อน สังคมก็เอากับเขาด้วย คือร่วมวงแซวคนที่รูปลักษณ์ แต่ในยุคนี้ ทุกอย่างเปลี่ยนไป การบุลลี่เรื่องรูปลักษณ์, เรื่องเพศ ,เรื่องเชื้อชาติ ฯลฯ เป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้แล้ว
1
LGBTQ ได้รับการยอมรับในโลก มีความหลากหลายทางเพศแล้วไง คุณมีสิทธิ์กลั่นแกล้งด้วยคำพูดได้หรือ? หรืออย่างคนที่เตี้ย ดำ อ้วน แล้วยังไง คุณมีสิทธิ์อะไรมาวิจารณ์ลักษณะภายนอกของผู้อื่น
1
จากนั้น ในปีนี้ก็มีกระแส Black Lives Matter ที่บ่งบอกว่า คนจะสีผิวไหน ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน
ดังนั้น ในการสื่อสารกับคนอื่น ในยุคปัจจุบัน ต้องรู้ก่อนเลยว่า คำทักทายประเภท "มึงอ้วนขึ้นปะเนี่ย" "ดำขึ้นนะเรา" ไม่สมควรถูกใช้แล้ว และบรรดาคนที่สร้างคอนเทนต์ก็ต้องรู้ด้วยว่า สิ่งเหล่านี้คือคำต้องห้ามของคนยุคปัจจุบัน ถ้าเผลอไปใช้ ด้วยเหตุผลไหนก็ตาม จะโดนแรงโต้กลับหนักๆ จากสังคมแน่นอน
คำแนะนำของผม ในยุคนี้คือ ถ้าอยากคุยกับใคร ง่ายๆครับ เรียกชื่อเขาเถอะ
2
[ 9- สิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดีเสมอ ]
แน่นอน มันคือประโยคที่ปลอบใจเราเอง เวลาที่ทำอะไรผิดพลาดลงไปสักอย่าง เราก็จะใช้คำนี้แหละ "อะไรที่เกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ" เพื่อจะบอกว่า ทุกอย่างมันต้องเกิดขึ้นมาด้วยเหตุผลของมันนั่นแหละ
3
จริงอยู่มันคือประโยคปลอบใจ แต่มันก็มีประโยชน์ในการสร้างแรงกระตุ้นให้ตัวเอง แทนที่จะคิดว่า "ซวยชะมัด" เราก็อาจเปลี่ยนความคิดเป็น "เออ หรือสวรรค์กำหนดให้เราต้องเจอสิ่งนี้นะ" เมื่อคิดแบบนี้แล้ว มันก็ง่ายที่จะ Move on ต่อไป
2
แต่เรื่องสวรรค์กำหนดเส้นทางให้เรา เคยเกิดขึ้นกับผมนะครับ ตอนสมัย ม.3 เปิดเทอมวันแรก ที่โรงเรียนจะมีการเลือกชมรมกันใช่ไหมครับ แล้ววันนั้นผมป่วยพอดี เลยโดนคนอื่นแย่งเข้าชมรมไปหมดแล้ว ชมรมที่อยากเข้าเช่น ชมรมบาสเกตบอล , ชมรมปิงปอง อะไรงี้ เหลืออยู่แค่ชมรมเดียวเท่านั้นคือ ชมรมพิมพ์ดีด
3
ผมเซ็งมาก คือใครจะอยากไปเรียนพิมพ์ดีดล่ะ แต่เมื่อมันไม่มีทางเลือก ผมก็เลยต้องเรียนอย่างจำใจเป็นเวลา 1 ปีการศึกษา
1
แต่ใครจะไปเชื่อว่า การได้ลงเรียนพิมพ์ดีดครั้งนั้น คือสิ่งดีที่สุดในชีวิต ม.3 ของแอดมิน ปัจจุบันผมพิมพ์งานไม่ต้องมองคีย์บอร์ดก็ได้ รู้ตำแหน่งของอักษรชัดเจน ฟ ห ก ด พิมพ์ได้เร็วและแม่นยำ ซึ่งสิ่งเหล่านั้น ได้มาจากวิชาพิมพ์ดีดล้วนๆ
1
และการพิมพ์ดีดได้เร็วนี่เอง มันทำให้ผมพิมพ์งานได้ไว บางครั้งสมองผมคิดไปแล้ว โชคดีที่นิ้วมือของผมก็เร็วพอที่จะพิมพ์ทันความคิด ซึ่งบอกตรงๆ ถ้าผมไม่มีสกิลพิมพ์ดีด การเปิดเพจวิเคราะห์บอลจริงจังก็คงเหนื่อย จากที่เคยพิมพ์งาน 5 ชั่วโมงเสร็จ ก็อาจต้องใช้เวลา 7-8 ชั่วโมงต่อหนึ่งบทความก็ได้
บางทีการที่ผมพลาดเข้าชมรมปิงปอง แต่ได้เข้าชมรมพิมพ์ดีดแทน ถ้ามองจากมุมหนึ่ง ก็พอจะบอกได้ว่า สวรรค์อาจกำหนดเส้นทางให้ผมแล้ว คิดแบบนี้ก็สบายใจดีนะ
ดังนั้น ผมก็เลย "เข้าใจ" กับคำว่าสิ่งใดเกิดขึ้นแล้ว สิ่งนั้นดีเสมอ เพราะในเมื่อเราแก้ไขอดีตไม่ได้ แต่เรายังพอมีเวลา ที่จะทำให้ปัจจุบัน กลายเป็นเรื่องราวที่ดีกับตัวเองนะ จริงไหม
4
สำหรับปี 2020 นี้ เป็นปีที่ทรหด และยาวนานมากจริงๆ ผมคิดว่าหลายคน คงได้ค้นพบสัจธรรมต่างๆของตัวเองกันมากมายเลยล่ะ เพราะน่าจะมีเวลาอยู่กับตัวเองเยอะขึ้นยิ่งกว่าปีไหนๆ
เอาเป็นว่า ชีวิตยังอยู่ก็ต้องสู้กันต่อไปนะครับ ขอให้ทุกท่านพบเจอความสุขในรูปแบบของตัวเองครับผม
ส่วนใน Blockdit ผมก็ยังจะโพสต์ต่อไปอย่างสม่ำเสมอนะครับ หวังว่าจะมียอดไลค์ถึง 50K ในเพจได้เร็ววันเนอะ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามมาด้วยดีเสมอครับผม
#วิเคราะห์บอลจริงจัง
โฆษณา