2 ม.ค. 2021 เวลา 04:30 • ประวัติศาสตร์
ชากับประวัติศาสตร์โลก ตอนที่ 1
เนื่องจากผู้เขียนเองเป็นคนชอบดื่มชา ไม่ว่าจะเป็น ชาร้อน ชาเย็น ชาดำเย็น ชานมไข่มุก ชาเขียว หรือแม้แต่ blended tea
ทุกครั้งที่ได้ดมกลิ่น และละเมียดชาเข้าปากนั้นเสมือนร่างกายก็หลั่งสารแห่งความสุขขึ้นมาทันใด
การดื่มชาในยุคราชวงศ์หมิง
คนไทยหลายๆคนอาจจะคุ้นเคยกับการดื่มกาแฟมากกว่าชา แต่ในประวัติศาสตร์โลกแล้วชานั้นเข้าไปเกี่ยวข้องกับทุกช่วงชีวิตของมนุษย์แม้แต่เรื่องการเมือง
ชาถือกำเนิดขึ้นในหลากหลายพื้นที่ของเอเชีย ทั้งในทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ทางตอนเหนือของพม่า แคว้นอัสสัมของอินเดีย ทางตอนเหนือของไทยรวมไปถึงเวียดนาม
หากเราสังเกตถึงพื้นที่ที่ชาเติบโตนั้น ชามักจะเติบโตในที่ที่อากาศมีความคงที่ไม่แปรปรวนสูง อุณหภูมิคงที่สม่ำเสมออยู่ที่ประมาณ 25-30 เซลเซียสตลอดทั้งปี ยิ่งปลูกในพื้นที่ที่สูงขึ้นไปจะยิ่งทำให้ได้ใบชาที่กลิ่นและรสชาติดียิ่งขึ้นไป แต่ผลผลิตอาจจะน้อยลง
2
คำว่าชาในภาษาไทยนั้น แท้จริงแล้วมาจากคำว่า 茶 (Chá) ในภาษาจีน ซึ่งแน่นอนว่าชาวจีนเป็นชนชาติแรกที่นำใบชามาใช้ในการดื่มชา ซึ่งเกิดขึ้นในรัชสมัยของพระเจ้า Shen Nang กว่า 5,000 ปีที่แล้ว โดยรสชาติและกลิ่นที่ทำให้เกิดความสงบแก่ผู้ดื่มนั้นก็ทำให้ได้ความนิยมสืบเนื่องมา คนจีนให้คุณค่าแก่การดื่มชามากจนพัฒนากลายเป็นวัฒนธรรมการชงชาและดื่มชา หรือแม้แต่ในพิธีกรรมการแต่งงานก็จะมีพิธีการยกน้ำชาอย่างที่เราๆเห็นกันทุกวันนี้
3
ในส่วนประเทศใกล้เคียงอย่างญี่ปุ่นเองนั้น ได้รับการเผยแพร่การดื่มชาจากพระที่เป็นผู้นำพระพุทธศาสนาไปเผยแผ่ ชาวญี่ปุ่นเองให้คุณค่ากับการดื่มชาไม่ต่างจากชาวจีน ในอดีตชาเป็นเครื่องดื่มของชนชั้นสูงก่อนที่จะขยายไปสู่ความนิยมของสามัญชน และด้วยรสชาติกับกลิ่นที่สร้างความสงบให้แก่ผู้ดื่ม ชาวญี่ปุ่นจึงนำชาไปเชื่อมโยงกับความบริสุทธิ์ซึ่งเป็นหนึ่งในความคิดของลัทธิเซน
ใบชาจึงได้รับการดูแลอย่างพิถีพิถัน และแม้แต่พิธีชงชาของชาวญี่ปุ่นเองก็มีความละเมียดละไมเป็นอย่างมาก
วัฒนธรรมการดื่มชาของชาวญี่ปุ่น
ในฝั่งตะวันตก ชาติแรกที่เริ่มรู้จักกับชาก็คือโปรตุเกส โดยในปีค.ศ. 1560 (พ.ศ. 2103) โปรตุเกสได้นำกองเรือเดินสมุทรของ Jesuit Father Jasper de Cruz ขนใบชากลับมายังกรุงลิสบอน หลังจากนั้นชาก็ได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรป โดยส่งผ่านไปยังฮอลันดา ฝรั่งเศส ตลอดจนประเทศในแถบบอลติก เช่น เอสโตเนีย ลิทัวเนีย ลัทเวีย สวีเดน เดนมาร์ค โปแลนด์
1
ด้วยความที่เป็นสินค้าใหม่ มาจากตะวันออกไกล และมีการแพร่กระจายอย่างรวดเร็วในยุโรปกอปรกับเป็นที่ต้องการของหลายๆราชสำนักในยุโรป ชาจึงเป็นสินค้าที่มีราคาสูง เนื่องจากต้องขนส่งมาทางเรือจากเมืองจีน แต่ด้วยความเพลิดเพลินและความสุขในการได้ลิ้มรสชาติและกลิ่นอันหอมหวลของชา รวมถึงรสชาติอันเป็นสากล ชาก็กลายเป็นสินค้าอันดับต้นๆที่มีราคาสูง แสดงถึงความมั่งคั่งของผู้บริโภค จำกัดวงดื่มได้เฉพาะชนชั้นสูงในยุโรปเพียงเท่านั้น ซึ่งฮอลแลนด์เป็นนายหน้าค้าชาให้แก่ยุโรปในยุคนั้น และชาก็ได้สร้างความมั่งคั่งให้แก่ฮอลแลนด์เป็นอย่างมาก
อย่างไรก็ดีในปี ค.ศ. 1652 (พ.ศ. 2195) อังกฤษได้ทดลองดื่มชาจากประเทศที่มีการปลูกชาคือจีน และต่อมาในปี ค.ศ. 1839 (พ.ศ. 2382) อังกฤษได้ยึดครองอินเดียและนำสายพันธุ์ชาที่ดีจากจีนไปพัฒนาการปลูกในแคว้นอัสสัมประเทศอินเดีย นอกเหนือจากการนำชาจากจีนกลับสู่ประเทศอังกฤษ จากจุดนี้เองจึงทำให้ชาซึ่งในอดีตเป็นสินค้าฟุ่มเฟือยและมีราคาสำหรับชนชั้นสูงเท่านั้น กลายเป็นสินค้าที่ทุกชนชั้นในยุโรปสามารถเข้าถึงได้
Afternoon Tea แบบอังกฤษ
ถึงแม้ว่าอังกฤษจะไม่ได้เป็นต้นกำเนิดของชา แต่ชาวอังกฤษเองก็พัฒนาแบบแผนของการดื่มชาที่มีขั้นตอน ขนบ และมีรสนิยมที่มีเสน่ห์ในการดื่มชา จนกลายเป็นวัฒนธรรมดื่ม-กิน และอีกทั้งยังเป็นวัฒนธรรมที่ส่งอิทธิพลไปสู่ราชสำนักประเทศอื่นๆอีกหลากหลายประเทศ
ในตอนต่อไปจะกล่าวถึงการดื่มชาแบบผู้ดีอังกฤษที่ได้ส่งผลและเป็นแบบฉบับในการดื่มชาของชนชั้นสูงทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน โปรดรอติดตามครับ
References :
5. Fieldhouse, P(1998) : Food & Nutrition : Customer & Culture. Nelson Thornes Ltd
6. Mennell, S (1985) : All manners of food : eating and taste in England and France from the Middle Age to the present. Oxford : Blackwell.
โฆษณา