2 ก.พ. 2021 เวลา 07:00 • ประวัติศาสตร์
NBA 104 - ประวัติย่อของทีม NBA ตอนที่ 10 - Golden State Warriors
ประวัติทีม Golden State Warriors
ฝั่งที่สังกัด - ฝั่งตะวันตก Pacific Division
ปีที่ก่อตั้ง - 1946
ชื่อเดิม -
Philadelphia Warriors (1946-1962)
San Francisco Warriors (1962-1971)
Golden State Warriors (1971-ปัจจุบัน)
สถานที่ตั้ง - เมือง San Francisco รัฐ California
ชื่อสนามเหย้า - Chase Center
เจ้าของทีม - Joe Lacob
CEO - Joe Lacob
GM (General Manager) - Bob Myers
HC (Head Coach) - Steve Kerr
ทีมสังกัดใน G-League - Santa Cruz Warriors
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ลีก - 6 (1947, 1956, 1975, 2015, 2017, 2018)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ฝั่งทวีป - 6 (1975, 2015-2019)
จำนวนครั้งที่ได้แชมป์ Division - 12 (1948, 1951, 1956, 1964, 1967, 1975, 1976, 2015-2019)
จำนวนเบอร์เสื้อที่ทำการ Retired - 6 (13, 14, 16, 17, 24, 42)
ประวัติทีมโดยสังเขป
ทีมได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1946 ที่เมือง Philadelphia ภายใต้สังกัดของ Basketball Association of America (BAA) ภายใต้ชื่อทีมว่า Philadelphia Warriors
Philadelphia Warriors
ทีมสามารถทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม คว้าแชมป์ลีก BAA ได้ตั้งแต่ฤดูกาลแรกที่ร่วมลงแข่งขันอย่างเป็นทางการ นำโดยผู้เล่นอย่าง Joe Fulks ซึ่งถือเป็นแชมป์ลีกที่สามารถทำได้ก่อนที่ BAA จะเปลี่ยนเป็นลีก NBA ในปี 1949 นั่นเอง
ต่อมาทีมสามารถคว้าแชมป์ลีกได้อีกในฤดูกาล 1955/56 คราวนี้นำทีมโดยผํู้เล่นอย่าง Paul Arizin, Tom Gola และ Neil Johnston ซึ่งผู้เล่นเหล่านี้ภายหลังได้มีชื่อติดทำเนียบ Hall of Fame กันครบทุกคน
การมาของหนึ่งในเครื่องจักรทำแต้มที่มากที่สุดตลอดกาล
ในฤดูกาล 1959/60 ทีมได้เซ็นสัญญาดาวรุ่งมากฝีมืออย่าง Wilt Chamberlain เข้าสู่ทีม พอเจ้าตัวได้เริ่มแสดงผลงานแล้ว รูปแบบการเล่นในลีกยุคนั้นก็ต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดกาล
Wilt Chamberlain
ตลอดช่วง 3 ปีแรกก่อนที่ทีมจะทำการย้ายเมือง เขาได้สร้างสถิติการทำแต้มและ Rebound ให้เป็นที่จดจำมากมาย เริ่มจากปีแรกที่เขาคว้าตำแหน่งได้ทั้งดาวรุ่งยอดเยี่ยมและ MVP ประจำฤดูกาล ด้วยผลงานทำแต้มเฉลี่ย 37.6 แต้ม และ Rebounds 27.0 ครั้งต่อเกมด้วยกัน
เท่านั้นยังไม่พอ ฤดูกาลถัดมาเจ้าตัวยังมีสถิติ Rebounds เฉลี่ย 27.2 ครั้งต่อเกม โดยมีสถิติในเกมเดียวสูงสุดที่ Rebounds ไปได้ 55 ครั้งเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้เจ้าตัวเป็นที่จดจำมากที่สุด คงจะเป็นฤดูกาล 1961/62 ที่สามารถทำสถิติทำแต้มสูงสุดตลอดกาลในเกมเดียวจนกระทั่งปัจจุบัน นั่นคือ การทำคนเดียวได้ 100 แต้ม ในเกมที่เจอกับ Knicks นั่นเอง ทำให้จบฤดูกาลเจ้าตัวมีสถิติทำแต้มเฉลี่ย 50.4 แต้ม และ Rebounds 25.7 ครั้งต่อเกม
100 แต้มในเกมเดียว
จากนั้นในปี 1962 หลังจากที่ทีมมีการเปลี่ยนเจ้าของ ทีมก็ได้ทำการย้ายเมืองไปที่บริเวณ San Francisco Bay Area พร้อมกับเปลี่ยนชื่อทีมเป็น San Francisco Warriors พร้อมกับการเปลี่ยน Logo ให้เข้ากับชื่อใหม่ด้วย
San Francisco Warriors
ถึงแม้ผลงานของ Chamberlain จะสุดยอดเพียงใด แต่ทีมก็ไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกในบั้นปลายได้เสียที ดังนั้นในฤดูกาล 1963/64 ทีมจึงตัดสินใจ Draft ดาวรุ่งที่สามารถช่วยเหลือ Chamberlain ในการทำเกมบุกได้ นั่นคือ Nate Thurmond นั่นเอง
Nate Thurmond
ซึ่งเจ้าตัวก็สามารถโชว์ฟอร์มได้เป็นอย่างดี เรียกได้ว่าสามารถแบ่งเบาภาระให้กับ Chamberlain ได้จริงๆ เพียงแต่น่าเสียดายที่ทีมยังไปไม่ถึงแชมป์ลีกอยู่ดี หลังจากที่แพ้ให้กับ Celtics ในรอบชิงแชมป์ลีกไปในเกมที่ 5 อย่างน่าเสียดาย
ทำให้ในฤดูกาลถัดมา ทีมจึงตัดสินใจเริ่มสร้างทีมใหม่ด้วยการ Trade Chamberlain ไปให้กับ Sixers และนั่นส่งผลให้ฤดูกาลนี้ทีมเก็บชัยชนะได้เพียง 17 นัดเท่านั้น แต่นั่นก็ทำให้ทีมสามารถ Draft ดาวรุ่งมากฝีมืออย่าง Rick Barry ได้ในฤดูกาลถัดมาเช่นเดียวกัน
Rick Barry
ทั้ง Thurmond และ Barry ต่างก็เป็นแกนหลักสำคัญให้กับทีมในช่วงเวลาต่อมา โดยเฉพาะรายหลังที่โชว์ฟอร์มยอดเยี่ยมตั้งแต่ฤดูกาลแรกในอาชีพ คว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลด้วยผลงาน 25.7 แต้มและ 10.6 Rebounds ต่อเกม
ในฤดูกาลถัดมาทั้งคู่ก็สามารถพาทีมขึ้นไปถึงรอบชิงแชมป์ลีกได้อีกครั้ง ถึงแม้ว่า Barry จะมีผลงานทำแต้มเฉลี่ย 40.8 แต้มต่อเกมใน Series ชิงแชมป์ลีก แต่ทีมก็ได้พ่ายแพ้ให้กับ Sixers ไปในเกมที่ 6 อย่างน่าเสียดาย
แต่จุดเปลี่ยนสำคัญของทีมก็เกิดขึ้นหลังจบฤดูกาล เนื่องจากทีมไม่สามารถมอบสัญญามูลค่าที่สูงพอที่จะจูงใจ Barry ให้อยู่กับทีมต่อไปได้ เจ้าตัวจึงตัดสินใจย้ายลีกไปยังลีก ABA (American Basketball Association) แทนในเวลาต่อมา ก่อนที่จะกลับมาร่วมทีมอีกครั้งในปี 1972
เปลี่ยนชื่อทีมเป็น Golden State Warriors
ทีมได้ตัดสินใจเปลี่ยนชื่อทีมอีกครั้งเป็น Golden State Warriors ในฤดูกาล 1971/72 ซึ่งทำให้กลายเป็นทีมเดียวในลีกที่ไม่มีชื่อเมืองหรือชื่อรัฐที่ทีมตัวเองสังกัดอยู่มาเกี่ยวข้องกับชื่อทีมแม้แต่น้อย
Golden State Warriors 1972 Logo
และภายหลังจากการที่ทีมได้ Barry กลับมาร่วมทีมอีกครั้ง ทีมจึงค่อยๆ เสริมขุมกำลังให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และพร้อมที่จะไล่ล่าแชมป์อีกครั้งในฤดูกาล 1974/75 นั่นเอง
ฤดูกาล 1974/75 ทีมได้ดาวรุ่งอย่าง Jamaal Wilkes มาช่วย Barry และเจ้าตัวก็โชว์ฟอร์มได้สมราคาดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล นอกจากนั้นในด้านผลงานของทีมก็ต้องถือว่าทำได้สำเร็จตามเป้าหมาย ทีมสามารถคว้าแชมป์ได้เป็นครั้งที่ 3 จากการนำทีมของ Barry ที่ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมตลอดฤดูกาล และได้เป็น Finals MVP ในปีนี้นั่นเอง
แต่นั่นก็ถือเป็นช่วงสุดท้ายของยุครุ่งเรืองดังกล่าว หลังจากที่บรรดาแกนหลักทั้ง Barry, Wilkes และ Thurmond ต่างหมดสัญญาและย้ายทีม บ้างก็ประกาศเลิกเล่น ทำให้ทีมเข้าสู่ยุคตกต่ำไปในพริบตาหลังจากปี 1978 เป็นต้นมา
ยุคของ Chris Mullin
ภายหลังการจากไปของแกนหลักทั้งสามคนในปี 1978 ทีมก็ประสบกับปัญหาที่ไม่สามารถหาผู้เล่นคนอื่นมาทดแทนได้ ทำให้ผลงานของทีมตกต่ำหลายฤดูกาลมาก นับตั้งแต่ปี 1978 ถึง 1985 ที่ทีมไม่สามารถเข้ารอบ Playoffs ได้อีกเลย
จนกระทั่งในปี 1985 ทีมได้ Draft ดาวรุ่งที่จะกลายเป็นแกนหลักชุดใหม่ให้กับทีมอย่าง Chris Mullin เข้าสู่ทีม และจากนั้นก็ถือเป็นสัญญาณที่ทีมนี้จะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้งในเวลาถัดมา
นอกจากนั้นทีมยังได้ผู้เล่นอีกคนอย่าง Sleepy Floyd ที่เร่งฟอร์มขึ้นมาได้เสียที หลังจากอยู่กับทีมมาตั้งแต่ปี 1993 ทำให้ฤดูกาล 1986/87 ทีมสามารถทำผลงานไปได้ถึง Playoffs รอบสอง หลังจากที่ซบเซามานานหลายฤดูกาล
และสุดท้ายในปี 1989 ทีมก็ได้สามประสานในการทำแต้ม นั่นคือดาวรุ่งอย่าง Tim Hardaway, Mitch Richmond ที่มาก่อนหน้าหนึ่งฤดูกาล และ Mullin รวมกันเรียกว่า "TMC" ซึ่งสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ตลอดสองปีที่ได้ลงเล่นร่วมกัน
TMC (Cr. pinterest)
อย่างไรก็ดี น่าเสียดายที่ทีมชุดนี้โลดแล่นในลีกได้เพียงสองฤดูกาล ก่อนที่ HC คนใหม่ที่เข้ามาอย่าง Don Nelson จะตัดสินใจโละแกนหลักอย่าง RIchmond ไปอยู่กับ Kings และได้นำแกนหลักตัวใหม่อย่าง Latrell Sprewell เข้ามาแทนที่ พร้อมกับดาวรุ่งมากฝีมืออย่าง Chris Webber อีกด้วย
ในช่วงแรกทีมชุดใหม่สามารถทำผลงานได้ค่อนข้างดี ทีมสามารถเข้ารอบ Playoffs ได้ในฤดูกาล 1993/94 แต่ก็ต้องจอดป้ายเพียงแค่รอบแรกเท่านั้น และนั่นคือจุดที่ทำให้ Webber ได้ย้ายทีมหลังจบฤดูกาล และทำให้หลังจากนั้นผลงานของทีมก็กลับไปตกต่ำลงอีกครั้ง
ช่วงเวลาตกต่ำที่ยาวนานที่สุดของทีม
ในปี 1997 Garry St. Jean ได้กลายเป็น GM คนใหม่ของทีม และเขากับทีมบริหารอีกคนอย่าง Dave Twardzik ได้ถูกกล่าวขานว่าเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ทีมประสบกับความตกต่ำเป็นเวลายาวนานในช่วงเวลาต่อมา
ในช่วงแรก ทีมได้เซ็นสัญญาผู้เล่นอย่าง Terry Cummings, John Starks และ Mookie Blaylock เข้าสู่ทีม เพียงแต่ว่าแต่ละคนนั้นไม่ได้มีฟอร์มที่โดดเด่นเหมือนในช่วงที่อยู่กับทีมเก่าอีกแล้ว
ส่วนทางด้าน Twardzik ก็ทำการ Draft ผู้เล่นที่กลายเป็นผลงานที่ล้มเหลวอยู่บ่อยครั้งไม่แพ้กัน เริ่มจาก Todd Fuller ที่ไม่ได้มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ต่อมาคือ Steve Logan ที่สุดท้ายแล้วก็ไม่เคยได้ลงเล่นในลีก NBA เลยแม้แต่เกมเดียว นอกจากนั้นยังมี Adonal Foyle ที่ผลงานก็ไม่ได้โดดเด่นอีกต่างหาก
ยังดีที่ปี 2001 ทีมตัดสินใจ Draft ดาวรุ่งอนาคตไกลอย่าง Jason Richardson เข้าสู่ทีมได้สำเร็จ และเจ้าตัวก็กลายเป็นแกนหลักชุดใหม่ของทีมในยุคต่อมาด้วย นอกจาก Richardson แล้ว ยังมี Antawn Jamison และ Gilbert Arenas ที่ต่างก็โชว์ฟอร์มได้ดีในยามที่เล่นด้วยกันในขณะนั้น
Jason Richardson (Cr. gettyimages)
ทำให้ในฤดูกาล 2002/03 ที่สามคนนี้ได้ลงเล่นด้วยกัน ทีมมีผลงานที่ดีที่สุดในรอบหลายฤดูกาล ถึงแม้จะยังไม่สามารถเข้ารอบ Playoffs ได้ก็ตาม แต่ Richardson เองก็เป็นที่รู้จักจากการได้ตำแหน่ง All-Star Slam Dunk Contest 2 สมัยซ้อนนั่นเอง
เพียงแต่ว่าหลังจากจบฤดูกาลดังกล่าว ทีมกลับบริหารเรื่องเพดานค่าเหนื่อยผิดพลาด ทำให้ทีมไม่สามารถรั้งผู้เล่นคนสำคัญอย่าง Arenas ให้ต่อสัญญากับทีมออกไปได้ ทั้งที่เจ้าตัวแสดงท่าทีว่าอยากอยู่กับทีมต่อเสมอมา สิ่งนี้ได้สร้างความผิดหวังให้แก่แฟนกีฬาเป็นอันมาก
หลังจากที่ Jean ได้จากไป Mullin ที่เป็นอดีตผู้เล่นของทีมก็ก้าวขึ้นมารับหน้าที่เป็นรองประธานฝ่ายปฎิบัติการแทนในปี 2005 เขาได้นำอดีตผู้เล่นของทีมหลายคนเข้ามาช่วยในการบริหารทีม ทั้ง RIchmond (ผู้ช่วยพิเศษ) Mario Elie (ผู้ช่วยโค้ช) และ Rod Higgins (GM) และพยายามปรับปรุงทีมอีกขนานใหญ่เพื่อจะให้ทีมกลับเข้ารอบ Playoffs อีกครั้งให้จงได้
แต่แล้วในฤดูกาล 2005/06 ทีมก็ยังไปไม่ถึงเป้าหมาย ถึงแม้จะได้ผู้เล่นที่มีชื่อเสียงอย่าง Baron Davis เข้ามาสู่ทีม แต่ก็ไม่สามารถปรับตัวได้ดีเท่าที่ควรในช่วงแรก รวมไปถึงอาการบาดเจ็บที่คอยเล่นงานผู้เล่นในทีมอยู่เรื่อยๆ
สุดท้ายแล้วในช่วง Offseason ปี 2006 ทีมจึงยอมยกธงขาวกับผู้เล่นที่มีอยู่ แกนหลักเดิมได้ทยอยออกจากทีมไปหลายคน รวมไปถึงบรรดาผู้บริหารบางตำแหน่ง และ HC ในขณะนั้นอย่าง Mike Mongomery อีกด้วย
และในที่สุดทีมก็ทำสำเร็จในฤดูกาลถัดมา ทีมได้เข้า Playoffs ด้วยสถิติ 42-40 หยุดฝันร้ายที่ไม่ได้เข้ารอบอย่างยาวนานต่อเนื่องไว้เพียงแค่ 12 ฤดูกาล นอกจากนั้นยังสามารถสร้างประวัติศาสตร์กลายเป็นทีมแรกในลีกที่ทำสถิติเป็นอันดับ 8 แล้วเอาชนะทีมอันดับ 1 ใน Playoffs รอบแรกได้อีกด้วย
ทำให้ในฤดูกาล 2007/08 ทีมจึงถูกตั้งความคาดหวังไว้ว่าผลงานน่าจะต้องดีกว่าเดิมอย่างแน่นอน แถมผลงานของทีมในฤดูกาลปกติก็ดีขึ้นกว่าเดิมจริงๆ ที่ 48-34 แต่กลับกลายเป็นว่าไม่ได้เข้ารอบ Playoffs ไปอย่างเหลือเชื่อ เนื่องจากในฤดูกาลนั้นฝั่งตะวันตกมีการแข่งขันที่สูงเอามากๆ ทำให้ทั้ง 8 อันดับมีสถิติชนะมากกว่า 50 เกมขึ้นไปทั้งหมด ถือเป็นภาพที่หาดูได้ยากมากๆ เลยทีเดียว
ความจริงที่แสนเจ็บปวด
แต่เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนแรกก็เกิดขึ้น เมื่อแกนหลักของทีมอย่าง Davis ตัดสินใจไม่ต่อสัญญาและย้ายทีมไปอยู่กับ Lakers ทำให้ทีมยอมวัดใจกับการเข้าสู่โหมดการสร้างทีมใหม่ในเวลาต่อมา โดยทยอยปรับเอาผู้เล่นอายุน้อยที่มีแววหลายคนเข้ามาแทนที่แกนหลักเดิมที่อายุเริ่มเยอะ
และเหตุการณ์ต่อจากนั้น จะทำให้ยุคทองของ Warriors กลับมาได้อีกครั้งจริงๆ ในอนาคต ถือว่าเป็นการตัดสินใจเข้าสู่โหมดการสร้างทีมใหม่ที่ถูกที่ถูกเวลาเอามากๆ ของทีมบริหารเลยทีเดียว
การมาของ Stephen Curry
ในปี 2009 ทีมได้มีการเปลี่ยน GM กลายเป็น Larry Riley และทีมได้ตัดสินใจ Draft ดาวรุ่งที่จะกลายเป็นตำนานในอนาคตอย่าง Stephen Curry เข้ามาสู่ทีม
Stephen Curry
เพียงแต่ว่า Curry เองก็ไม่ได้โชว์ฟอร์มที่ดีนักในฤดูกาลแรก ผลงานของทีมก็ยังคงย่ำแย่เช่นเดิม ทำให้ในปีถัดมาเจ้าของทีมจึงได้มีการเปลี่ยนมือเป็น Peter Guber และเริ่มทำตามเป้าหมายเดิมคือการสร้างทีมใหม่ต่อไป
ผลงานของทีมในปี 2010/11 ก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นนัก ทีมเอาชนะได้เพียง 36 นัดเท่านั้น สุดท้ายแล้วจึงมีการเปลี่ยน HC เป็น Mark Jackson ที่จะกลายเป็นคนสำคัญในการปูรากฐานให้ทีมประสบความสำเร็จในเวลาต่อมา
Mark Jackson
ทีมพยายามปรับปรุงขุมกำลังโดยรวมให้มีคุณภาพที่ดียิ่งขึ้น และตัดสินใจที่จะสร้างทีมโดยใช้ Curry เป็นแกนหลัก แถมโชคดีที่ในการ Draft ปี 2011 ทีมได้ตัดสินใจเลือกผู้เล่นที่จะกลายมาเป็นแกนหลักให้กับทีมในอนาคตอย่าง Klay Thompson และ Draymond Green เข้าสู่ทีม
ผลงานของแกนหลักชุดใหม่นี้เริ่มแสดงออกมาตอนฤดูกาล 2012/13 ที่ทีมจบด้วยสถิติ 47-35 และได้กลับเข้าไปเล่นใน Playoffs ได้อีกครั้ง ก่อนที่จะไปแพ้ให้กับ Spurs ไปในรอบที่สอง แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือลีกได้เริ่มรู้จักกับคู่หู Curry-Thompson ในนามของ "Splash Brothers" จากผลงานการยิง 3 แต้มได้เป็นจำนวนมากของทั้งคู่ไปเป็นที่เรียบร้อย
Splash Brothers
ในฤดูกาล 2013/14 ทีมได้ปรับปรุงขุมกำลังโดยรวมอีกครั้ง โดยการปล่อยผู้เล่นที่มีผลงานไม่ค่อยดีออกไปหลายคน และทำการเซ็นสัญญาผู้เล่นอย่าง Andra Iguodala เข้ามาเติมเต็มให้กับบทบาทเกมรับของทีม
ถึงแม้ผลงานในช่วงต้นของฤดูกาลจะดูไม่ดีเท่าไหร่นัก เนื่องด้วยอาการบาดเจ็บที่คอยเล่นงานอยู่เป็นระยะ แต่หลังจาก All-Star เป็นต้นมา ทีมก็ได้ Iguodala เป็นแกนหลักในการพาทีมเข้ารอบ Playoffs ด้วยสถิติ 51-31 น่าเสียดายที่ตัวหลักที่สุดอย่าง Curry กลับมีสภาพร่างกายที่ไม่สมบูรณ์นัก ทำให้ทีมไม่สามารถผ่าน Playoffs รอบแรกไปได้
ยุคของโค้ช Steve Kerr
ในช่วง Offseason ปี 2014 หลังจากที่ HC อย่าง Jackson ไม่ได้อยู่ทำทีมต่อ ทีมจึงตัดสินใจจ้าง Steve Kerr ให้มาเป็น HC แทน ทั้งที่เจ้าตัวไม่เคยมีประสบการณ์ในการคุมทีมมาก่อนด้วยซ้ำ ถือเป็นการเดิมพันที่ค่อนข้างเสี่ยงเอามากๆ
Steve Kerr
ซึ่ง Kerr ก็ได้แสดงคำตอบด้วยการพาทีมทำสถิติในฤดูกาล 2014/15 อยู่ที่ 67-15 เป็นอันดับหนึ่งของลีก แถมยังจบฤดูกาลด้วยการคว้าแชมป์ไปได้เป็นสมัยที่ 4 พร้อมกับการที่ Curry ได้เป็น MVP ประจำฤดูกาล และ Iguodala คว้าตำแหน่ง Finals MVP ไปครอง
และผลงานต่อจากนี้ของทีมก็ถือว่ากลายเป็นทีมในตำนานอย่างแท้จริง
เริ่มจากฤดูกาล 2015/16 ทีมได้ทำสถิติที่สุดยอดที่สุดตลอดกาลในช่วงฤดูกาลปกติ ด้วยการจบที่ 73-9 ทำลายสถิติที่ Bulls สร้างไว้ที่ 72-10 ลงได้สำเร็จ ถือเป็นสถิติที่จะทำให้ผู้คนจดจำได้ไปอีกนาน ถึงแม้ว่าจะมีรอยด่างพร้อยเล็กๆ ตรงที่ไ่ม่สามารถคว้าแชมป์ได้ในปีนี้ก็ตาม
ผลงาน 73-9 ในฤดูกาล 2015/16
และเรื่องที่ไม่มีใครได้คาดคิดมาก่อนก็เกิดขึ้น เมื่อทีมได้สุดยอดผู้เล่นอย่าง Kevin Durant ที่ไม่ได้ต่อสัญญากับ Thunder เข้าสู่ทีม ทำให้ชุดผู้เล่นตัวจริงของทีมที่ปกติแล้วจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ ก็กลายเป็นความจริงจนได้ กับผู้เล่นชุดที่น่าจะเป็นชุดตัวจริงที่ยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลชุดหนึ่งของลีก กับยุคที่เรียกว่า Hamptons Five นั่นเอง
"Hamptons Five" (Curry, Thompson, Green, Iguodala, Durant)
ในฤดูกาล 2016/17 ทีมได้สร้างสถิติใหม่เอาไว้อย่างมากมาย อาทิเช่น
-Curry สร้างสถิติยิงลูก 3 แต้มลงคนเดียว 13 ครั้ง ในเกมที่เจอกับ Pelicans
-Thompson เป็นผู้เล่นคนแรกในลีกที่ทำแต้มได้ถึง 60 แต้ม จากการที่เวลาในการแข่งขันยังไม่พ้นครึ่งชั่วโมง (เวลาเต็ม 48 นาที)
-Green เป็นผู้เล่นคนแรกที่สามารถทำ Triple-Double ด้วยการที่ทำแต้มน้อยกว่า 10 คะแนน (12 Rebounds, 10 Assists และ 10 Steals)
-เป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ลีกที่สามารถทำผลงานไปถึงรอบชิงแชมป์ลีกได้โดยไม่แพ้เลยแม้แต่เกมเดียว (12-0) และคว้าแชมป์ลีกด้วยการแพ้ไปแค่นัดเดียวเท่านั้น จึงถือเป็นสถิติในรอบ Playoffs ที่ดีที่สุดตลอดกาลของลีก (16-1)
นอกจากนั้นทีมยังมีผลงานที่สุดยอดอย่างต่อเนื่องในฤดูกาลถัดมา ที่สามารถคว้าแชมป์ลีกไปได้อีกครั้งกับผลงานที่กวาดคู่แข่งอย่าง Cavaliers ในรอบชิงแชมป์ไปแบบ 4-0 เรียกว่าสู้ไม่ได้เลยทีเดียว
เข้าสู่ยุคปัจจุบัน
น่าเสียดายที่ฤดูกาล 2018/19 ทีมไม่สามารถคว้าแชมป์ลีกได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน พลาดท่าแพ้ให้กับ Raptors ไปอย่างน่าเสียดาย
และฤดูกาลดังกล่าวก็กลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของยุค Hamptons Five ไปในตัว หลังจากที่ Durant ได้ย้ายทีมไปยัง Nets และทีมได้ Trade Iguodala ไปที่ Grizzlies
พร้อมกับเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับทีม ด้วยการย้ายสนามเหย้าจากเมือง Oakland รัฐ California กลับมาสู่ San Francisco ที่เคยเป็นฐานที่มั่นของทีมเมื่อหลายปีมาแล้วอีกครั้ง กับสนามเหย้าปัจจุบันอย่าง Chase Center นั่นเอง
Chase Center
เป็นที่น่าเสียดายว่าในฤดูกาล 2019/20 ทั้ง Curry และ Thompson ต่างก็ได้รับบาดเจ็บหนักจนไม่สามารถช่วยทีมได้แทบจะตลอดทั้งฤดูกาล ถึงแม้ว่าทีมจะได้ D'Angelo Russell มาช่วยผนึกกำลังกับ Green ในช่วงกลางฤดูกาล แต่ผลงานของทีมก็ไม่ดีพอที่จะผ่านเข้าไปเล่นรอบ Playoffs ได้
ในฤดูกาลล่าสุด แกนหลักของทีมกลับมาเป็นสามประสานอีกครั้ง เพียงแต่ว่า Thompson กลับต้องได้รับบาดเจ็บจนต้องหายไปอีกหนึ่งฤดูกาล ทำให้น่าติดตามว่าลำพังแค่ Curry กับ Green ที่อายุเริ่มมากแล้ว จะสามารถพาทีมไปได้ไกลขนาดไหนกันในฤดูกาลนี้
ถ้าชอบก็ฝาก Share และกดติดตามด้วยนะครับ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา