4 ม.ค. 2021 เวลา 15:19 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เรียกได้ว่าปี 2020 ที่ผ่านมาเป็นช่วงขาขึ้นของเหล่าสกุลเงินดิจิทัลเลยก็ว่าได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสกุลเงินดิจิทัลตัวแรกของโลกอย่าง บิตคอยน์ (Bitcoin) ที่แม้ว่าจะมีราคาที่สูงมากอยู่แล้ว แต่ทั้งนักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนต่างก็เห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า นับจากนี้ราคาของบิตคอยน์จะมีแต่สูงขึ้นเรื่อย ๆ ไปอีก จนถึงขั้นมีนักสถิติบางคนทำนายว่า มันจะสามารถพุ่งทะยานไปจนถึงที่ราคาเหรียญละเก้าล้านบาทได้ภายในสิ้นปี 2021 ได้เลยทีเดียว
.
นอกจากนี้ ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมาก็ถือว่าเป็นอีกปรากฏการณ์ครั้งสำคัญที่ราคาของบิตคอยน์ได้ทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ราคา 33,xxx เหรียญดอลลาร์สหรัฐ (ตามแต่ราคาเว็บเทรดแต่ละแห่ง) หรือมากกว่า 1,000,000 บาท และนี่คือ 3 เหตุผลว่าทำไมราคาบิตคอยน์ถึงสามารถพุ่งทะลุเพดานประวัติศาสตร์ได้
📌 Bitcoin Halving
ต้องเข้าใจก่อนเลยว่า เป็นเพราะบิตคอยน์มีจำนวนจำกัด บิตคอยน์จะมีอัตราการผลิตใหม่จากการ “ขุดบิตคอยน์” เพื่อเข้าสู้ระบบน้อยลงทีละครึ่งหนึ่งของอัตราการผลิตเดิมเป็นรอบ ๆ โดยจะมีเวลาต่อรอบประมาณ 4 ปี จนกว่าบิตคอยน์จะไม่เพิ่มหรือผลิตขึ้นอีกเมื่อมีบิตคอยน์อยู่ในตลาดครบ 21 ล้านบิตคอยน์ ซึ่งนี่เองเป็นหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บิตคอยน์มูลค่าสูงขึ้นเรื่อย ๆ เพราะมันถือเป็นการจำกัดจำนวนบิตคอยน์ในตลาด รวมไปถึงรักษาและเพิ่มมูลค่าของบิตคอยน์เมื่อระยะเวลาผ่านไป
.
เพิ่มเติม
หลังจากการถือกำเนิดขึ้นในเดือนมกราคม 2009 บิตคอยน์ผ่านการ “Halving” มาแล้ว 3 ครั้ง ไดแก่ ในเดือนพฤศจิกายน 2012, กรกฎาคม 2016, และพฤษภาคม 2020 ที่ผ่านมา ซึ่งในทุก ๆ ครั้งที่เกิดปรากฏการณ์เก็บเกี่ยวนี้ขึ้น ก็จะเห็นได้ว่าราคาบิตคอยน์ก็จะพุ่งสูงขึ้นตามไปด้วย
.
ซึ่งนี่ก็อาจจะเป็นการกล่าวโดยนัยว่า ถึงแม้ราคาบิตคอยน์ตอนนี้จะพุ่งไปเกินเหรียญละล้านและตกลงมาแล้ว แต่การซื้อเก็บไว้ตอนนี้ก็ดีกว่ารอไปจนถึงมันเกิด halving อีกรอบในปี 2024 อย่างแน่นอน
📌 ประชาชนเริ่มจริงจังในการพิจารณาเก็บรักษามูลค่าทรัพย์สิน
การเก็บเงินสดหรือธนบัตรเอาไว้คงไม่ใช่วิธีการเก็บรักษาทรัพย์สินที่หลายคนเชื่อถืออีกต่อไป ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลประเทศต่าง ๆ อาจกำลังวางนโยบายในการผลิตธนบัตรออกมาเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อแก้ไขการชะลอตัวในช่วงวิกฤตการณ์โควิด-19 ทั้งสองระลอก ซึ่งอาจก่อให้เกิดสภาวะเงินเฟ้อและการเสื่อมถอยของมูลค่าเงินให้ลดลง การเลือกซื้อบิตคอยน์หรือสินทรัพย์ที่น่าเชื่อถือ เช่น ทองคำเก็บไว้ในระยะยาวก็อาจจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่จะรักษามูลค่าของทรัพย์สินที่เรามีได้ดีกว่าเก็บในรูปของเงินทั่วไป
.
และเช่นเดียวกับ use case อื่น ๆ ที่มีเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain Technology) เป็นแกน นั่นก็คือ ยิ่งมีคนเชื่อถือหรือเข้าร่วมกับมนมากขึ้นเท่าไหร่ มูลค่าและความแข็งแรงของมันก็จะยิ่งทางพลังมากขึ้นเท่านั้น ปลายปีที่ผ่านมาจนถึงสี่วันนี้เป็นข้อพิสูจน์แล้วว่า ความเชื่อมั่นที่มากขึ้นต่อบิตคอยน์ได้มีอืทธิพลมากพอที่จะดึงนักลงทุนหน้าใหม่และการตัดสินใจของหลาย ๆ องค์กรให้ตบเท้าก้าวเข้ามาในวงการนี้ จนราคาของบิตคอยน์ได้ถูกปั่นขึ้นไปจนสูงอย่างที่เป็นอยู่ และถึงแม้ว่าราคาจะถูกตบลงมาที่ราว ๆ เก้าแสนบาทแล้ว (ณ ขณะนี้) แต่ก็เป็นที่น่าสนใจว่า กราฟราคาจะออกมาในทิศทางอย่างไร
(ซึ่งถ้าอ้างอิงตามปี 2017 ก็มีความเป็นไปได้ว่า ปีนี้เราน่าจะได้เห็นความขึ้นลงของบิตคอยน์กันอีกระลอก)
📌 การยอมรับบิตคอยน์โดยองค์กรและผู้ทรงอิทธิพลต่าง ๆ
จะเห็นได้ว่าตลอดปี 2020 นี้ มีการเปิดเผยถึงการเข้าซื้อบิตคอยน์เป็นมูลค่าหลายพันล้านของบริษัทและสถาบันการเงินยักษ์ใหญ่หลายแห่ง อาทิ Grayscale และ MicroStrategy เป็นต้น ข้อมูลดังกล่าวทำให้นักวิเคราะห์ตีความได้ว่า นับจากนี้ไป องค์กรใหญ่ ๆ และผู้จัดการกองทุนหลายแห่งจะเริ่มหันมามองบิตคอยน์ในฐานะ “สินทรัพย์ทางเลือกเพื่อการเก็งกำไร” มากยิ่งขึ้น
.
ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ทำให้คนหันมาสนใจบิตคอยน์มากที่สุด คงหนีไม่พ้นความเคลื่อนไหวของบริษัทเครือข่ายการชำระเงินระดับโลกอย่าง PayPal ที่ได้ประกาศเมื่อวันที่ 21 ตุลาคมที่ผ่านมาว่า นับจากนี้ไปแพลตฟอร์มของ PayPal จะเริ่มให้บริการซื้อขายสกุลเงินดิจิทัล นั่นทำให้ร้านค้าและธนาคารกว่า 26 ล้านแห่งทั่วโลกยิ่งหันมาจับจ้องสกุลเงินดิจิทัลตัวนี้มากยิ่งขึ้น
มิหนำซ้ำ ข่าวลือเกี่ยวกับการพัฒนาการให้บริการที่เกี่ยวกับสินทรัพย์ดิจิทัลของ PayPal ยังมีออกมาอีกเรื่อย ๆ ทำให้เป็นที่จับตามองอย่างมากว่า นอกเหนือไปจากราคาของบิตคอยน์ที่ถูกปั่นจนสูงขึ้นไปในปลายปี 2020 แล้ว ยังจะมีความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อะไรอีกที่ PayPal กำลังแอบซ่อนเอาไว้
.
นอกจากทิศทางขององค์กรใหญ่ ๆ แล้ว เรายังอาจสังเกตได้ว่า ปี 2020 เรื่อยมาจนถึงต้นปี 2021 นี้บิตคอยน์ได้รับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงบวกมากขึ้น
.
ในระยะหลังมานี้ มีการเปิดเผยรายชื่อของทั้งนักวิเคราะห์และกลุ่มคนมีชื่อเสียงในแวดวงต่าง ๆ ที่ออกมายอมรับและพูดถึงบิตคอยน์ในแง่ดีมากยิ่งขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ Paul Tudor Jones II และ Stanley Druckenmiller ผู้จัดการกองทุนระดับตำนานที่ลงความเห็นว่าบิตคอยน์มีความน่าสนใจอย่างมาก เมื่อพิจารณาในฐานะของสินทรัพย์เพื่อการลงทุนในระยะยาว นอกจากนี้ ยังมีกระแสความเห็นจากผู้คนและนักลงทุนที่กล่าวถึงบิตคอยน์ในเชิงเปรียบเทียบอีกว่า บิตคอยน์อาจเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจและเป็นตัวประกันมูลค่าสินทรัพย์ในอนาคตได้เช่นเดียวกับทองคำ
.
Ray Dalio นักบริหารการลงทุนมือฉมังได้เคยตอบ AMA (Ask Me Anything) บน Reddit เรื่อง Bitcoin
ไว้เมื่อตอนปลายปี ซึ่งก็เป็นการกลับลำคำพูดของตนเองที่ปฏิเสธบิตคอยน์ไปเมื่อก่อนหน้านี้ โดยบอกว่า Bitcoin (และสกุลเงินดิจิทัลอื่น ๆ) น่าสนใจมากในฐานะของการเป็นสินทรัพย์ทางเลือกใหม่ที่คล้ายกับทองคำ มันสามารถใช้เป็นตัวเลือกในการกระจายความเสี่ยงนอกจากการถือทองคำได้สำหรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งจุดสำคัญคือการมีสินทรัพย์ประเภทนี้เก็บไว้บ้าง สินทรัพย์ที่มีจำนวนจำกัด เคลื่อนย้ายได้ง่าย และเก็บมูลค่าได้ อีกต่างหาก
ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าตลาดบิตคอยน์จะมีสภาพคล่องอย่างมากในช่วงเวลาที่ราคาของมันกำลังขึ้นนั่นเอง ส่วนในอนาคตจะมีการเทขายบิตคอยน์ของนักลงทุนตัวใหญ่หรือ “วาฬ” ให้เห็นอีกหรือไม่ หรือราคาบิตคอยน์จะสามารถทะยานไปได้ไกลแค่ไหน ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องคอยติดตามต่อไป
1
.
อย่างไรก็ตาม ณ วันนี้ ถ้ามีคำถามว่า เราควรเลือกลงทุนกับอะไร ระหว่างทองคำ ซึ่งเป็นสินทรัพย์สะสมตลอดกาล แร่เงินซึ่งที่ก็มีความน่าเชื่อถือ หรือบิตคอยน์ซึ่งป็นตัวแทนของสินทรัพย์ดิจิทัลในยุคนี้ บางกระแสอาจกล่าวว่าอย่างไรทองคำก็มีความน่าเชื่อถือมากที่สุด แต่บางคนก็อาจแย้งกลับมาว่า แแท้จริงแล้วบิตคอยน์ต่างหากที่จะเป็นความหวังของสินทรัพย์ในโลกอนาคตที่จะยังรักษาและเพิ่มมูลค่าของตัวเองได้ แม้ว่ามูลค่าของเงินสกุลอื่น ๆ จะลดลง
แต่ก็ดูเหมือนว่า แนวคิดแบบผสมผสานกำลังถูกจับตามองมากไม่แพ้กันหรือว่าแท้จริงแล้วเราควรซื้อสะสมทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นทองคำ แร่เงิน หรือบิตคอยน์ แนวคิดการลงทุนแบบกระจายความเสี่ยงนี้ถึงอย่างไรก็ยังคงได้รับการพูดถึงอยู่เสมอ แม้ว่ารูปแบบการลงทุนจะเปลี่ยนไปอย่างไรก็ตาม
#Bitcoin #BTC #alltimehigh #Cryptocurrency #DeFi
โฆษณา