5 ม.ค. 2021 เวลา 02:00 • ยานยนต์
# ควรเลือกเติมน้ำมันแบบไหนเพื่อให้ประหยัดและอัตราเร่งดี?
กระทรวงพลังงานเตรียมประกาศยกเลิกจำหน่ายน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E10 ออกเทน 91 เพื่อลดชนิดน้ำมันกลุ่มเบนซินที่มีอยู่มากเกินไป พร้อมหนุนใช้น้ำมันแก๊สโซฮอล์ E20 ทำให้ประเทศไทยเรา ณ.เวลานี้ ยังคงมีน้ำมันเบนซินให้เราเลือกใช้อยู่ถึง 5 ชนิด จึงทำให้ผู้ใช้รถเกิดความสับสนเป็นอย่างมากในการเลือกใช้ มีหลายๆท่านพยายามศึกษาหาข้อมูล ข้อแตกต่างของน้ำมันแต่ละชนิดว่ามีผลดี ผลเสียกับเครื่องยนต์อย่างไรบ้าง วันนี้ผมจะเล่าให้ฟังครับว่าควรเลือกเติมแบบไหนรถเราจึงจะมีอัตราเร่งดีและประหยัดน้ำมันดีด้วย และน้ำมันแบบไหนไม่ควรเติมกับรถที่จอดเยอะวิ่งน้อยๆ
1
โครงสร้างน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอลล์
ปัจจุบันน้ำมันเบนซินมีอยู่ด้วยกัน 5 ชนิด
1. เบนซิน 95 (Gasoline 95) ผลิตจากพื้นฐานเบนซิน 91 (Gasoline base RON 91)เติมสาร MTBE ประมาณ 5.5-11% เพื่อเพิ่มค่าออกเทนให้เป็น 95 ไม่มีส่วนผสมของ Ethanol(E0) ราคาแพงสุดให้ค่าความร้อนสูงสุด เหมาะสำหรับใช้กับรถสปอร์ตหรือรถซุปเปอร์คาร์ที่มีสมรรถนะสูงๆ รถตระกูลยุโรปและอเมริกัน
2. แก๊สโซฮอล์ 91 (Gasohol 91) มีส่วนผสมของ Ethanol 10%(E10) ผลิตจากพื้นฐานเบนซิน 87 (Gasoline base RON 87) เนื่องจากค่าออกเทน(RON)ของ Ethanol มีค่าสูงมากคือมีค่าออกเทน 125(RON 125)ทำให้ไม่จำเป็นต้องเติมสาร MTBE แต่ใช้ค่าออกเทนของ Ethanol ดึงให้ค่าออกเทนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ “4” รวมเป็นค่าออกเทนเท่ากับ 91(RON 91)
3. แก๊สโซฮอล์ 95 (Gasohol 95) มีส่วนผสมของ Ethanol 10%(E10) ผลิตจากพื้นฐานเบนซิน 91 (Gasoline base RON 91)ใช้ค่าออกเทนของ Ethanol ดึงให้ค่าออกเทนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ “4” รวมเป็นค่าออกเทนเท่ากับ 95(RON 95)
4. แก๊สโซฮอล์ E20 (Gasohol E20) มีส่วนผสมของ Ethanol 20%(E20) ผลิตจากพื้นฐานเบนซิน 87 หรือ 91 (Gasoline base RON 87, 91)ใช้ค่าออกเทนของ Ethanol ดึงให้ค่าออกเทนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ “8” รวมเป็นค่าออกเทนเท่ากับ 95-98 (RON 95-98)
5. แก๊สโซฮอล์ E85 (Gasohol E85) มีส่วนผสมของ Ethanol 85%(E85) ผลิตจากพื้นฐานเบนซิน 87 หรือ 91 (Gasoline base RON 87, 91)ใช้ค่าออกเทนของ Ethanol ดึงให้ค่าออกเทนเพิ่มขึ้นเป็นค่าออกเทนมากกว่า 100 (RON >100)
1
คุณสมบัติของน้ำมันเชื้อเพลิง
นอกจากค่าออกเทนและเปอร์เซ็นต์การผสมของ Ethanol ที่แตกต่างกัน น้ำมันเหล่านี้ยังมีคุณสมบัติในด้านค่าความร้อนจำเพาะ(LHV) ที่แตกต่างกันด้วยซึ่งหน่วยที่ใช้วัดค่านี้นั้นคือ KJ/kg. ถ้าเราดูจากตารางด้านบนจะพบว่าเบนซิน 95 (Gasoline 95)ให้ค่าความร้อนมากที่สุดคือ 43.397 KJ/kg. เมื่อเผาไหม้แล้วจะให้ค่าความร้อนออกมามาก อัตราส่วนผสมอากาศกับน้ำมันเชื้อเพลิง(A/F)ช่องท้ายสุดจึงจะต้องการส่วนผสมบางสุดคือ 14.7:1(อากาศ 14.7 ส่วนต่อน้ำมัน 1 ส่วน) แต่ในทำนองตรงกันข้ามเลยก็คือ Gasohol E85 มีค่าความร้อนจำเพาะต่ำที่สุดคือ 29.2 KJ/kg.เมื่อเจ้า E85 ให้ค่าความร้อนจำเพาะน้อย ถึงแม้จะมีค่าออกเทนสูงก็จริง แต่กำลังงานในการขับเคลื่อนใช้ความร้อนไปแปลงให้เป็นพลังงานกล การที่จะให้ได้กำลังงานใกล้เคียงกับตอนใช้เบนซิน 95 หัวฉีดจะต้องจ่ายน้ำมันในปริมาณที่มากขึ้น ส่วนผสมที่เหมาะสมในช่องสุดท้ายจึงเป็นอัตราส่วน 9.8:1 คือส่วนผสมหนามาก จึงสรุปว่ารถที่เปลี่ยนไปใช้เชื้อเพลิง E85 น้ำมัน 1 ถังวิ่งได้ระยะทางน้อยลงนั่นเอง ผมเคยดูคู่มือของรถวอลโว่ ระบุไว้ว่าการเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E85 จะได้ระยะทางน้อยลงประมาณ 100 km.ต่อน้ำมัน 1 ถัง
เพื่อเป็นการยืนยันว่าน้ำมันเชื้อเพลิง 3 ประเภทที่พวกเรานิยมใช้กันนั้น ได้แก่ Gasohol E10(RON 91, 95), Gasohol E20 และ Gasohol E85 เมื่อทำการทดสอบภายใต้เงื่อนไขเดียวกันแล้ว ผลการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง, กำลังเครื่องยนต์และแรงบิดเครื่องยนต์จะเป็นอย่างไร? ผมขออนุญาติ อ้างอิงข้อมูลการทดสอบของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรีมานำเสนอดังนี้นะครับ
การทดสอบนี้ใช้เครื่องยนต์ Nissan รุ่น QG15DE ขนาด 1,497 CC. ทดสอบที่รอบเครื่องยนต์ต่าง ๆ กันบนเครื่องวัดสมรรถนะเครื่องยนต์ Hydraulic Dynamo Meter Test โดยจะมีการวัดค่าแรงบิดเครื่องยนต์(Engine Torque), กำลังเครื่องยนต์(Engine Power)และอัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงจำเพาะเบรก(Brake Specific Fuel Consumption) หรือ BSFC ต่อไปนี้คือผลจากการทดสอบครับ
การทดสอบหาค่าแรงบิด(Torque)โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E10, E20 และ E85
เครื่องยนต์ที่รอบ 4,500 rpm. ผลการทดสอบพบว่าจะให้แรงบิดสูงสุด เมื่อใช้น้ำมัน E10, E20 และ E85 จะให้แรงบิดสูงสุด เท่ากับ 65.8 N.m., 61.2 N.m. และ 59.5 N.m. ตามลำดับ จากการทดสอบ E10 ให้แรงบิดมากกว่า E20 และ E85 เนื่องจากมีค่าความร้อนจําเพาะมากที่สุด
การทดสอบหาค่ากำลังงาน(Power)โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E10, E20 และ E85
เครื่องยนต์ที่รอบ 4,500 rpm. ผลการทดสอบพบว่า เมื่อใช้น้ำมัน E10, E20 และ E85 จะให้กําลังงานเท่ากับ 31.01 kW, 28.84 kW และ 28.04 kW ตามลำดับจากการทดสอบ E10 ให้กําลังงานมากกว่า E20 และ E85 เนื่องจากมีค่าความร้อนจําเพาะมากที่สุดเช่นเดียวกัน
อัตราการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง(BSFC)โดยใช้น้ำมันเชื้อเพลิง E10, E20 และ E85
เครื่องยนต์ที่รอบ 4,500 rpm. ผลการทดสอบพบว่า เมื่อใช้น้ำมัน E10, E20 และ E85 จะมีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจําเพาะเบรก (BSFC) เท่ากับ 0.214 kg/kWh, 0.237 kg/kWh และ 0.295 kg/kWh ตามลำดับจากการทดสอบ E85 มีอัตราการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงจําเพาะเบรกมากกว่า E10 และ E20 เนื่องจากมีค่าความร้อนจําเพาะน้อยที่สุด
# สรุปคุณสมบัติและการเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงเบนซินและแก๊สโซฮอล์
1. น้ำมันเบนซิน 95 (Gasoline 95) ให้อัตราเร่ง กำลังงาน(Power)และแรงบิดดีที่สุดเหมาะกับเครื่องยนต์ที่มีอัตราส่วนการอัดสูงๆ(High compression ratio) เช่นรถ Super cars, European cars และเครื่องยนต์ระบบฉีดตรง GDI(Gasoline Direct Injection)
2. แก๊สโซฮอล์ 91 (Gasohol 91) E10 เหมาะสำหรับรถบางรุ่นที่กำหนดในคู่มือว่าสามารถใช้น้ำมันออกเทน 91 ได้เช่นรถ Honda เกือบทุกรุ่นเพราะเครื่องยนต์ที่ใช้ได้ต้องมีอัตราส่วนการอัดไม่สูงมาก เช่นเครื่องยนต์มอเตอร์ไซค์ สรุปว่า แก๊สโซฮอล์ 91 เป็นน้ำมันที่น่าใช้ที่สุด แต่ไม่นานนักคงยกเลิกการขายครับเมื่อถึงเวลานั้นแนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ แก๊สโซฮอล์ 95 E10 นะครับ
3. แก๊สโซฮอล์ 95 (Gasohol 95) E10 เป็นน้ำมันที่เหมาะกับรถทุกประเภท เป็นรองเพียงน้ำมันเบนซิน 95 เท่านั้น เรื่องกำลังและแรงบิด ราคาก็ใกล้เคียงกับ แก๊สโซฮอล์ 91 E10 สรุปว่าน่าใช้รองจาก แก๊สโซฮอล์ 91 E10
4. แก๊สโซฮอล์ E20 (Gasohol E20) มีค่าออกเทนสูง เหมาะสำหรับใช้กับรถรุ่นใหม่ๆ ที่เป็นระบบฉีดตรง GDI(Gasoline Direct Injection) จะช่วยลดความเสี่ยงที่จะเกิดการชิงจุดที่รอบต่ำ LSPI (Low Speed Pre Ignition)ได้ดี แต่ถ้าเป็นเครื่องยนต์ระบบ PFI(Port Fuel Injection)ทั่วไป แนะนำให้ใช้ แก๊สโซฮอล์ 95 (E10)จะดีกว่า เพราะ Ethanol ที่มีอยู่เยอะ 20% จะดูดความชื้นหรือน้ำเข้าไปในระบบเชื้อเพลิง เป็นเหตให้บ้างครั้งสตาร์ทติดยาก กรองเชื้อเพลิงอุดตันได้ จะพบได้ในรถที่ใช้งานน้อยๆระยะทางสั้นๆ จอดบ่อย แต่ถ้าเป็นรถที่วิ่งทางไกลยาวๆ บ่อยๆ ก็แนะให้ใช้แก๊สโซฮอล์ E20 ได้ครับเพราะราคาถูกกว่า E10 การวิ่งทางไกลไม่เสี่ยงที่จะเกิดตะกอนในน้ำมันด้วยครับ
5. แก๊สโซฮอล์ E85 (Gasohol E85)เป็นน้ำมันที่มีค่าออกเทนสูงมาก เหมาะสำหรับรถที่มีอัตราส่วนการอัดสูงๆ หรือรถโมดิฟายเครื่องใหม่เพื่อเพิ่มแรงม้า แต่ถ้าเป็นรถใช้งานบ้านทั่วไป แนะนำให้ใช้ตอนจะเดินทางไกลดีกว่านะครับ เพราะEthanol 85% จะดูดความชื้นเร็วมาก ที่บริเวณก้นถังน้ำมันจะเกิดตะกอนผสมกันระหว่างน้ำกับEthanol ถ้าเป็นรถที่จอดบ่อยไม่ค่อยได้ใช้งานก็เสี่ยงที่น้ำมันในถังจะมีตะกอนมาก อีกเหตผลหนึ่งที่ไม่อยากแนะนำให้ใช้บ่อยเพราะ เมื่อเราใช้น้ำมัน E85 แล้ว หัวฉีดจะฉีดน้ำมันเข้มข้นมากกว่าเดิม เพราะ E85 ต้องการอัตราส่วนผสมหนามากคือ 9.8:1 น้ำมันบางส่วนจะไหลลงไปปนเปื้อนกับอ่างน้ำมันเครื่อง น้ำมันเครื่องฟิล์มจะบางลงและเสื่อมสภาพเร็วมาก ถ้าเครื่องยนต์มีเทอร์โบชาร์ท บูชของแกนเทอร์ไบจะสึกเร็วมาก เทอร์โบอาจพังได้ครับ
3
ขอขอบคุณทุกท่านที่ติดตามเพจนะครับ ฝากกด Like กด Share ให้ด้วยนะครับ เพื่อเป็นกำลังใจในการสรรหาข้อมูลที่น่าสนใจมานำเสนอต่อไปครับ
โฆษณา