5 ม.ค. 2021 เวลา 10:01 • ปรัชญา
2 จิตวิทยาที่ทำให้ แจ็คหม่า แพ้ภัยตัวเอง
https://www.thairath.co.th/news/foreign/2006343
แจ็ค หม่า คือนักลงทุนชาวจีน ผู้ก่อตั้ง Aliababa Group ที่ในปี 2019 บริษัทมีมูลค่าสูงถึง 18.2 ล้านล้านบาท และมีรายได้สูงถึง 1,739,329 ล้านบาท กำไร 404,319 ล้านบาท ซึ่งนับว่าเป็ยบริษัทยักษ์ใหญ่ของจีนที่ทรงอิทธิพลมากเลยทีเดียว
1
และในช่วงปลายปี 2020 บริษัท Ant Group บริษัทในเครือของ Alibaba Group แอปชำระเงิน/กู้เงินและศูนย์รวมบริการออนไลน์ของคนจีนที่คาดการณ์ว่าหลัง IPO จะมีมูลค่าถึง 6.3 ล้านล้านบาท ก็ต้องปิดฉากลงเนื่องจากทางรัฐบาลจีนมีความกังวลเกี่ยวกับอิทธิพลของ Ant Group ที่กำลังท้าทายอำนาจของธนาคารและสถาบันการเงินต่างๆในประเทศจีนที่มีรัฐเป็นเจ้าของ โดยคำพูดของ แจ็ค หม่า เพียงไม่กี่คำ.....
4
และสุดท้ายก็ทำให้นักลงทุนมีความกังวลต่อบริษัท Alibaba Group จนต้องสูญเสียเงินไปกว่า 4 ล้านล้านบาท เทียบเท่ากับบริษัท ปตท. ที่มีมูลค่ามากที่สุดใน SET เกือบ 4 บริษัทรวมกัน (มูลค่า ปตท. ณ วันที่ 28 ธ.ค. 63 มูลค่า 1,213,900 ล้านบาท) และเงินที่ได้จากการที่ Ant Group ได้ IPO ไปแล้วถึง 1,147,000 ล้านบาท ต้องหายไปในพริบตา.....
2
และอะไรคือคำพูดที่เป็นบทเรียนของแจ็คหม่าที่ตัวเขาเองต้องเรียนรู้ Near us จะอธิบายให้ฟังครับ
1
สิ่งที่ทำให้ Alibaba Group และตัวของ แจ็ค หม่า ต้องเสียโอกาสทางธุรกิจไปมหาศาสนั่นก็เพราะว่า แจ็กหม่า ได้ไปพูดบรรยายงานหนึ่งที่มีชื่อว่า The Bund Financial Summit ที่จัดขึ้นที่เมืองเซี่ยงไฮ้ ซึ่งเขาพูดวิจารณ์ธนาคารกลาง และผู้คุบกฏการธนาคารกลางของจีนไปในทางลบ พร้อมกับตำหนิว่า "จีนไม่มีระบบบริหารความเสี่ยงด้านการเงิน จำเป็นต้องปรับเปลี่ยนแนวคิดแบบ"โรงรับจำนำ" และพึ่งพาการพัฒนาของระบบสินเชื่อ โดยปัจจุบันการควบคุมอย่างเข้มงวดของจีนไม่ได้คำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคทั้งยังขัดขวางการสร้างสรรค์ของนวัตกรรม FINTECH"
2
ผลก็คือ นี่เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้รัฐบาลจีนที่มีความกังวลต่ออิทธิพลของ Alibaba ที่มีต่อประชาชนจีน ประทุออกมาโดยที่แจ็ค หม่า ไม่ได้ทันระวังตัวเลยด้วยซ้ำ....
และที่น่าสนใจก็คือ บทความที่สำนักข่าวซินหัวเผยแพร่มีชื่อว่า ‘อย่าพูดตามปาก อย่าทำตามใจ คนเราไม่ควรมักง่าย’ (话不可随口,事不可随心,人不可随意) พร้อมกับมีรูปม้าที่อยู่บนก้อนเมฆ ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็สันนิษฐานว่าเป็นตัว ‘แจ็คหม่า’ เอง เพราะว่าชื่อจีนของแจ๊คหม่าคือ ‘หม่าอวิ๋น’ (马 แปลว่าม้า 云 แปลว่าเมฆ) ซึ่งสอดคล้องกับภาพ ‘เมฆรูปม้า’ พอดิบพอดี
https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/908735
และจิตวิทยาที่ทำให้แจ็ค หม่าต้องพลาดโอกาสอันมหาศาลนี้ไปก็คือ
1.จิตวิทยา "ความรู้แบบคนขับรถ"
Rolf Dobelli อดีต CEO บริษัทสวิสแอร์และนักเขียนหนังสือจิตวิทยาขายดีในยุโรปได้ยกตัวอย่างที่น่าสนใจของ ชาร์ลี มังเกอร์ รองประธานบริษัท Berkshire Hathaway ของ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เอาไว้ว่า "คุณต้องยึดมั่นกับขอบเขตแห่งความสามารถของตัวเอง คุณต้องรู้ว่าคุณเข้าใจอะไรและไม่เข้าใจอะไรบ้าง ไม่สำคัญเลยว่าขอบเขตที่ว่านี้จะใหญ่แค่ไหน แต่สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือคุณต้องรู้ว่าขอบเขตนั้นสิ้นสุดตรงไหน"
1
ชาร์ลี มังเกอร์ ยังเน้นย้ำอีกว่า "คุณต้องรู้ว่าตัวเองถนัดอะไรเพราะถ้าคุณเสี่ยงไปเล่นเกมที่คนอื่นถนัดมากกว่า คุณก็จะพบกับความพ่ายแพ้อย่างแน่นอน คุณต้องหาให้เจอว่าจุดสิ้นสุดของขอบเขตแห่งความสามารถของตัวเองอยู่ตรงไหน และพยายามแข่งขันภายในขอบเขตนั้น"
ชาร์ลี มังเกอร์(ซ้าย) วอร์เรน บัฟเฟตต์(ขวา)
Comment Near us: ส่วนตัวผมมองว่า แจ็คหม่า คิดว่าตัวเองมี"ขอบเขตแห่งความสามารถที่ไร้ขีดจำกัด" ไปแล้วครับ เพราะเขาเป็นคนชอบพูดให้ตัวเองมีลักษณะ "เอาดีใส่ตัว เอาชั่วใส่คนอื่นแบบนุ่มนวลแบบแอบแฝง" ด้วยการไปตำหนิติเตียนคนอื่นเขาไปทั่วจนทำให้แม้กระทั่งคนจีนด้วยกันเองก็แสดงความไม่พอใจในตัวแจ็คหม่าใน Social Media ของจีนเสียด้วยซ้ำไป โดยคนจีนบางส่วนก็มองว่า แจ๊ก หม่า เป็นคนที่ชอบพูดให้ตัวเองดูดี ดูเท่ ชอบใช้คำคม และแสดงความเก่งกาจ และความทะนงตนของเขานั่นเองก็ทำให้เขาต้องเสียโอกาสอันมหาศาลนี้ไปในที่สุด
3
Rolf Dobelli ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ 52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม เอาไว้ว่า "เราสามารถพบความกลวงแบบนี้ได้ในแวดวงธุรกิจเช่นกัน ยิ่งบริษัทมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ CEO ก็ยิ่งถูกคาดหวังว่าจะมีคุณสมบัติแบบ "ดารา" มากขึ้นเท่านั้น ความเคร่งขรึมและความมุ่งมั่นทุ่มเทกลับกลายเป็นคุณสมบัติที่ถูกมองข้ามในหมู่ผู้บริหารระดับสูง ผู้ถือหุ้นและนักข่าวสายธุรกิจมักเชื่อว่าคนที่แสดงออกเก่งจะทำผลงานได้ดีกว่า ซึ่งแน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องจริงเลย"
2
Rolf Dobelli
และอะไรคือจิตวิทยาที่ทำให้ แจ็คหม่า กล้าเสี่ยงที่จะชนกับรัฐบาลจีนอย่างนั้นล่ะ? ส่วนหนึ่งนั่นก็เพราะเป็นผลมาจากจิตวิทยาข้อที่ 2 นั่นก็คือ
2.จิตวิทยา "ภาพลวงตาที่ว่าด้วยการควบคุม"
https://www.thairath.co.th/scoop/1981063
Rolf Dobelli ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือ 52 วิธีคิดให้ได้อย่างเฉียบคม เอาไว้ว่า "ภาพลวงตาที่ว่าด้วยการควบคุมคือการที่คนเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อว่าตัวเองสามารถควบคุมหรือมีอิทธิพลต่อสิ่งต่างๆทั้งที่ความจริงแล้วเราไม่มีทางควบคุมมันได้เลย อย่าคิดว่าตัวเองสามารถควบคุมได้เบ็ดเสร็จแบบจักพรรดิโรมัน ดังนั้น จงจดจ่ออยู่กับสิ่งสำคัญเพียงหยิบมือที่คุณสามารถควบคุมมันได้จริงๆ แล้วปล่อยให้สิ่งที่อยู่นอกเหนือการควบคุมเป็นไปตามทางของมันดีกว่า"
หลังจากที่ Ant Group ได้ถูกยกเลิกการ IPO ในตลาดหลักทรัพย์ ฮ่องกงและเซี่ยงไฮ้ ทำให้นักเศรษฐศาสตร์และนักลงทุนหลายคนมาวิเคราะห์ว่า เกิดอะไรขึ้น ผลก็คือ
1
ฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้เกิดเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะว่า คนที่อยู่ในประเทศจีน ที่เป็นข้าราชการ พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แจ๊ก หม่า เป็นคนปากเสีย เนื่องจาก แจ๊ก หม่า ชอบขึ้นเวทีและพูดวิพากษ์วิจารณ์เรื่องราวต่างๆ แล้วก็ทำให้ตัวเองเป็นพระเอกในเวทีโลก และในเวทีประเทศจีน หลายต่อหลายครั้ง แจ๊ก หม่า เคยไปพูดที่อเมริกา แล้วก็ไปสอนคนในอเมริกาว่าประมาณว่า ถ้าคุณทำตามแบบผม คุณน่าจะทำแบบนี้ๆๆ มันก็จะเป็นอย่างนี้ๆๆ และประเด็นสำคัญก็คือ แจ๊ก หม่า ได้ไปวิพากษ์วิจารณ์ ได้ให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์ และวิพากษ์วิจารณ์ธนาคารกลาง หรือก็คือแบงก์ชาติของจีน และพวกควบคุมกฎการธนาคารในจีน ในทางลบและเสียหาย
3
ธนาคารกลางประเทศจีน
ถ้านับจากวันที่ 5 ม.ค. 64 แล้วล่ะก็ เป็นเวลา 2 เดือนแล้วที่ แจ็คหม่า หายตัวไปโดยไม่ได้ขึ้นเวทีไหนอีกเลย.....
Comment Near us: การที่แจ็คหม่าได้พูดวิภาควิจารณ์ธนาคารกลางของจีนนั่นก็เพราะว่า เขาต้องการที่จะเข้ามามีอิทธิพลในธนาคารกลางของประเทศจีนให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างๆของธนาคารให้มีความล้ำสมัยมากขึ้น(ในแบบที่เขาต้องการ) ซึ่งการทำแบบนี้ในมุมมองของรัฐบาลจีนคือการเข้ามาแทรกแซงนโยบายทางการเงินของประเทศและเป็นภัยต่อความมั่นคงทางการเมือง(เพราะธนาคารกลางคุมโดยรัฐบาลจีนอย่างเข้าข้นเพราะเป็นคอมมิวนิสต์) ทำให้รัฐบาลจีนมองว่า แจ็คหม่า จะต้องถูกควบคุมโดยใช้กฏเดียวกันกับธนาคารเพื่อเป็นการสั่งสอนแจ็คหม่าให้รู้ว่าใครใหญ่กว่านั่นเองครับ
แต่ส่วนในเรื่องของกฎหมายทางการเงินที่ Ant Group จะต้องปฏิบัติตามกฎของธนาคารกลางประเทศจันนั้น ยังคงต้องติดตามต่อไปครับว่า รัฐบาลจีนจะร่างกฎหมายสำหรับ Ant Group และเทคโนโลยี Fintech อย่างไรบ้าง
โฆษณา