5 ม.ค. 2021 เวลา 12:57 • สุขภาพ
วัคซีนป้องกันโควิดของจีน จากบริษัท Sinovac จะเริ่มฉีดให้คนไทยได้ใน กุมภาพันธ์ 2564
3
ได้ฉีดก่อนก็โชคดี
ฉีดทีหลังก็โชคดี เช่นเดียวกัน
7
คงจะต้องมาทำความรู้จักกันในรายละเอียดของวัคซีน Sinovac ให้เข้าใจกันอย่างถ่องแท้
1
จะได้ตัดสินใจได้ถูกต้อง ถ้าบังเอิญอยู่ในกลุ่มเสี่ยงที่ได้รับการฉีดวัคซีนนี้
วิธีการดูวัคซีน ว่าดีหรือไม่ เหมาะสมกับการฉีดอย่างไร ประกอบด้วย
1) ความปลอดภัย(Safety) ฉีดแล้วต้องไม่มีอาการแพ้รุนแรง(Anaphylaxis) ไม่ควรมีการเสียชีวิตจากการฉีดวัคซีน
1
2)ประสิทธิภาพในการป้องกันโรค(Effectiveness)
ฉีดแล้วต้องป้องกันได้จริง ไม่ใช่ฉีดไปแล้ว มีผู้คนจำนวนมากติดโรคโควิดอีก
3) คุณภาพ(Quality) ของวัคซีน เมื่อมาถึง ณ จุดที่เราจะต้องฉีดวัคซีน ต้องมีระบบการควบคุมความเย็น(Cold chain) ระหว่างการขนส่งให้ดี ไม่ใช่มาถึงเรา คุณภาพเสื่อมไปมากแล้ว ฉีดไปไม่ได้ผลเหมือนฉีดน้ำเปล่า
ถ้าดูจาก 3 ข้อนี้ ก็ต้องนำวัคซีนของ Sinovac ไปเปรียบเทียบกับวัคซีนสามชนิดแรกที่ได้จดทะเบียนฉีดในสถานการณ์ฉุกเฉิน(EUA)ไปแล้วคือ ของ Pfizer Moderna และของ AstraZeneca กันไปทีละข้อนะครับ
ข้อแรก เรื่องความปลอดภัย วัคซีนของสามบริษัทแรก มีรายงานการศึกษาวิจัยในการทดลองเฟสสามในอาสาสมัครจำนวนหลาย 10,000 คน
ไม่พบผลข้างเคียงรุนแรงที่เรียกว่าช็อค แต่เมื่อฉีดจริงแล้ว วัคซีนของ Pfizer เจออาการรุนแรงแบบช็อคไปแปดราย
3
ของ Moderna พบหนึ่งราย
ส่วนของ AstraZeneca ยังไม่พบอาการแพ้รุนแรงเนื่องจากเพิ่งเริ่มฉีด
2
ส่วนวัคซีนของ Sinovac ได้มีการฉีดให้กับประชาชนกลุ่มเสี่ยงในประเทศจีนไปแล้วหลายแสนคน บางรายงานข่าวกล่าวว่าเกิน 1 ล้านคนไปแล้ว
ยังไม่มีรายงานการแพ้ที่รุนแรงแบบช็อค (แต่การรายงานเรื่องทางลบแบบนี้ ในประเทศจีนอาจมีการกรองข่าวไว้ก่อนได้)
4
ถ้าดูความปลอดภัยในมุมของเทคโนโลยีการผลิตบ้าง วัคซีนของบริษัท Pfizer และ Moderna เป็นเทคโนโลยีใหม่คือ mRNA ซึ่งยังไม่เคยผลิตวัคซีนใช้ในมนุษย์มาก่อนเลย จึงไม่สามารถจะบอกความปลอดภัยในระยะยาวได้
ส่วนวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ดีกว่า เพราะเทคโนโลยีแบบไวรัสเป็นพาหะ เคยใช้ในการผลิตวัคซีนมาแล้ว
ส่วนวัคซีนของ Sinovac มีความปลอดภัยในเรื่องเทคโนโลยีมากที่สุด เพราะเป็นเทคโนโลยีวัคซีนเชื้อตาย(Inactivated) ซึ่งใช้ผลิตวัคซีนมาแล้วหลายตัวเป็นเวลาหลาย 10 ปี มีความปลอดภัยในระดับสูง
4
ข้อสอง คือดูเรื่องประสิทธิภาพในการป้องกันโรค พบว่าวัคซีน
ไฟเซอร์ป้องกันโรคได้ถึง 95%
Moderna ป้องกันได้ 94.5%
AstraZeneca มีค่าเฉลี่ยประมาณ 70% โดยแยกเป็นประสิทธิภาพในการป้องกันที่อังกฤษ 90% ที่บราซิล 62%
3
ส่วนประสิทธิภาพของวัคซีน Sinovac จากการทดลองที่ตุรกีมีประสิทธิภาพ 91.25% ส่วนที่บราซิลรายงานเพียงแค่ว่ามีประสิทธิภาพมากกว่า 50% (ตรงจุดนี้ไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจน)
2
ข้อสุดท้ายคือ เรื่องคุณภาพ เมื่อมาถึงจุดที่จะฉีดวัคซีน
3
วัคซีนของสองบริษัทแรกจากสหรัฐอเมริกามีความยุ่งยากในการเก็บคือ ของ
1
Pfizer ต้องเก็บที่อุณหภูมิ -70 องศาเซลเซียส
ของ Moderna ต้องเก็บที่ -20 องศาเซลเซียส
ทำให้มีความเสี่ยงต่อการคงคุณภาพ เมื่อมีการขนส่งเป็นระยะทางไกลๆ และเมื่อนำเข้าสู่ประเทศที่มีอุณหภูมิสูงเช่นประเทศไทย
3
ส่วนวัคซีนของบริษัท AstraZeneca และ Sinovac จะมีความปลอดภัยในการคงคุณภาพมากกว่า เนื่องจากเก็บในตู้เย็นธรรมดาที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส
1
นอกจากสามปัจจัยดังกล่าว
ถ้ามาคิดเรื่องราคาประกอบด้วย ซึ่งไม่ใช่ประเด็นของคนไทย เพราะรัฐบาลประกาศให้ฉีดฟรีนั้น ภาระงบประมาณของรัฐบาลต่อวัคซีนบริษัทสหรัฐฯมีราคาแพงกว่ามาก
แพงกว่าทั้งของบริษัทที่อังกฤษและของจีน
ในเดือนกุมภาพันธ์ ไทยมีแผนที่จะฉีดวัคซีน 200,000 เข็ม
มีนาคม 800,000 เข็ม
และเมษายน 1,000,000 เข็ม
4
ถัดจากนั้นในเเดือนพฤษภาคม คนไทยจะได้รับการฉีดวัคซีนของบริษัท AstraZeneca ของอังกฤษต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปีจำนวน 26,000,000 เข็ม
ซึ่งครอบคลุมประชากรกว่า 20%
แต่รัฐบาลได้ประกาศ ตั้งเป้าว่า สิ้นปีนี้จะฉีดวัคซีนคนไทยให้ได้ 50% ของประชากร
1
ซึ่งจะต้องหามาจากสองแหล่งคือ ระบบ COVAX ขององค์การอนามัยโลก และติดต่อบริษัทเอกชนอื่นๆตามประเทศต่างๆต่อไป
2
ส่วนที่กล่าวว่า
ฉีดก่อนก็โชคดี
ฉีดทีหลังก็โชคดี ก็คือ
1
ในกลุ่มที่เป็นกลุ่มเสี่ยง การมีวัคซีนที่มีผลปลอดภัยในเบื้องต้น ประสิทธิภาพการป้องกันโรคใช้ได้ ก็น่าจะคุ้มค่า ที่จะฉีดเพื่อป้องกันการติดโควิด ซึ่งอาจจะเสี่ยงถึงขั้นเสียชีวิตได้
2
ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ก็โชคดีที่ได้มีโอกาสรับทราบข้อมูลการฉีดวัคซีน 2,000,000 เข็มแรก ในช่วงสามเดือนของคนไทยว่า จะมีผลเป็นอย่างไร
1
ก็เลยถือว่าโชคดีเช่นกัน
ขอให้ทุกคนร่วมไม้ร่วมมือกัน ฝ่าฟันอุปสรรคสถานการณ์ โควิด-19 ครั้งนี้ไปด้วยกันนะครับ
วัคซีนเป็นตัวเสริมครับ วินัยในการป้องกันตัวเองเป็นเรื่องหลักเสมอ
Reference
1
โฆษณา