6 ม.ค. 2021 เวลา 04:00 • กีฬา
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน วงการลูกหนังเต็มไปด้วยนักเตะระดับโลกที่ประสบความสำเร็จอย่างมากมาย แต่คงมีนักเตะเพียงไม่กี่คน ที่แม้แต่คนดูบอลไม่เป็นยังต้องรู้จักชื่อ
ซึ่งในประวัติศาสตร์วงการฟุตบอลของโลกนี้ น่าจะไม่เคยมีนักเตะคนไหนมีชื่อเสียงเทียบเท่า "เดวิด เบ็คแฮม" อีกแล้ว
ปัจจุบัน คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ซูเปอร์สตาร์ดาวยิงทีมชาติโปรตุเกส ครองสถิตินักฟุตบอลที่มีชื่อเสียงมากที่สุด วัดจากยอด followers บนอินสตาแกรมที่สูงถึง 248 ล้านคน ถือเป็นบุคคลที่มีผู้ติดตามในไอจีมากที่สุดในโลก โดยนับรวมคนจากทุกวงการ
นักเตะที่ได้รับความนิยมรองลงมาได้แก่ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ปัจจุบันมียอดฟอลไอจีราวๆ 173 ล้านคน ตามด้วย เนย์มาร์ นักเตะเจ้าของค่าตัวสถิติโลก มีผู้ติดตามประมาณ 144 ล้านคน
ที่น่าแปลกใจก็คือ อันดับ 4 ของนักเตะที่ได้รับความนิยมบนโซเชียลมีเดียยุคปัจจุบัน ไม่ใช่สตาร์ดังที่ยังค้าแข้งอยู่อย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช, ปอล ป็อกบา, โมฮาเหม็ด ซาลาห์ หรือ โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี้ แต่อย่างใด
แต่กลับเป็นนักเตะที่แขวนสตั๊ดมานานกว่า 7 ปีแล้วอย่าง เดวิด เบ็คแฮม ที่ปัจจุบันอายุ 45 ปี ซึ่งมียอดฟอลอินสตาแกรมสูงกว่า 65 ล้านคน และยอดไลค์เพจเฟซบุ๊กอีกกว่า 50 ล้านคน
นั่นหมายความว่า ถ้าอดีตสตาร์ดังทีมชาติอังกฤษรายนี้ ยังเป็นนักเตะวัยพีคในยุคปัจจุบัน เขาอาจจะมีจำนวนผู้ติดตามมากชนิดที่ไม่เป็นรองใครในจักรวาลนี้เลยก็เป็นได้
ในสมัยที่ เดวิด เบ็คแฮม ยังเป็นนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์ เขาคือนักเตะที่เป็นแรงบันดาลใจให้เด็กชายและวัยรุ่นหนุ่มๆ หลายคนหันมาสนใจฟุตบอล
ว่ากันว่าเมื่อช่วงราวๆ 10-20 ปีที่แล้ว ถ้าเบ็คแฮมเปลี่ยนทรงผมตอนไหน จะต้องมีเด็กผู้ชายแห่กันไปตัดตามเป็นแถว ส่วนโปสเตอร์ของเขากลายเป็นไอเท็มที่แฟนบอลแทบทุกบ้านต้องมี
1
ผู้หญิงหลายๆ คนจากที่ไม่เคยสนใจเกมลูกหนัง กลายเป็นคลั่งไคล้กีฬาชนิดนี้ไม่แพ้ผู้ชาย เพราะได้รู้จักเขา
1
ด้วยความที่เป็นนักเตะใบหน้าหล่อเหลา ดูแลรูปร่างตัวเองได้ดี แถมยังวางตัวดีตลอดมา ทำให้ เดวิด เบ็คแฮม เปรียบเสมือนไอดอลตลอดกาลของวงการลูกหนัง และน่าจะเป็นนักเตะเพียงไม่กี่คน ที่แทบไม่มีใครเกลียด
การได้แต่งงานกับ วิคตอเรีย อดัมส์ ซึ่งเป็นอดีตสมาชิกวงเกิร์ลกรุ๊ปที่ดังที่สุดในโลกอย่าง สไปซ์ เกิร์ลส์ ยิ่งทำให้ เบ็คแฮม เข้าสู่วงการเซเล็บอย่างเต็มตัว
สินค้าแบรนด์ยักษ์ใหญ่หลายๆ ตัว เรียงคิวกันให้เขาเป็นพรีเซนเตอร์ยาวต่อเนื่องตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ความดังเกินหน้าเกินตาเพื่อนร่วมอาชีพค้าแข้งด้วยกัน ทำให้เขาคือสัญลักษณ์ของวงการฟุตบอล, วงการกีฬาโลก และอาจถึงขั้นเป็นหน้าเป็นตาของชาวอังกฤษ ไปอย่างปฏิเสธไม่ได้
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดทั้งมวลก่อนที่ เดวิด เบ็คแฮม จะกลายเป็นนักเตะที่มีชื่อเสียงมากที่สุดตลอดกาล มันมาจากความพยายามทำงานหนัก และทุ่มเทสุดชีวิตเพื่อฟุตบอลอย่างแท้จริง
1
เด็กชายเจ้าของชื่อเต็มว่า เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบ็คแฮม เกิดในย่านเลย์ตันสโตน ซึ่งอยู่ในกรุงลอนดอน เมืองหลวงของอังกฤษ เมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 1975
1
เขาเป็นลูกชายคนเดียวของ ซานดร้า จอร์จิน่า คุณแม่ซึ่งเป็นช่างเสริมสวย กับ เดวิด เอ็ดเวิร์ด อลัน หรือ “เท็ด” เบ็คแฮม คุณพ่อที่ประกอบอาชีพช่างไฟฟ้าและช่างซ่อมครัว โดยมีพี่สาวชื่อ ลินน์ จอร์จิน่า และน้องสาวชื่อ โจแอนน์ หลุยส์
แม้จะเกิดในกรุงลอนดอน แต่พ่อแม่ของเขาจัดเป็นแฟนบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด พันธุ์แท้ ที่มักเดินทางไกลจากเมืองหลวงเป็นระยะทางกว่า 200 ไมล์ เพื่อไปชมเกมแข่งของทีมปีศาจแดงที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เป็นประจำ
ด้วยแพชชั่นในกีฬาลูกหนังที่ได้รับมาจากพ่อแม่ ทำให้ เดวิด เบ็คแฮม ตั้งเป้าหมายชัดเจนตั้งแต่วัยเด็ก ว่าเขาต้องโตมาเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้ได้
เบ็คแฮม เคยให้สัมภาษณ์ไว้ในปี 2007 เอาไว้ว่า..
“ตอนที่ผมเรียนที่โรงเรียน เมื่อใดก็ตามที่คุณครูถามว่า “โตขึ้นเธออยากทำอะไร?” ผมจะตอบว่า “ผมอยากเป็นนักฟุตบอล”"
"และพวกเขาก็มักจะบอกว่า “ไม่ใช่สิ ฉันถามว่าอะไรที่เธออยากทำเป็นอาชีพจริงๆ” แต่ในตอนนั้น ฟุตบอลมันคือสิ่งเดียวที่ผมอยากจะทำ”
ด้วยความดูแลจาก เท็ด เบ็คแฮม ซึ่งเป็นพ่อ เขาได้ฝึกปรือทักษะลูกหนังตั้งแต่อายุแค่ 4 ขวบ ก่อนจะพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง เพื่อการทำให้ความฝันที่อยากเป็นนักเตะอาชีพกลายเป็นจริง
ในช่วงวัยเด็ก เดวิด เบ็คแฮม เริ่มฝึกปรือกับทีมเยาวชนระดับท้องถิ่นชื่อว่า ริดจ์เวย์ โรเวอร์ส จากนั้นพอเข้าสู่ช่วงวัยรุ่น ก็เดินสายไปทดสอบฝีเท้ากับทีมอย่าง เลย์ตัน โอเรียนท์, นอริช ซิตี้ และ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์
ระหว่างปี 1987-1991 เบ็คแฮม คือนักเตะอะคาเดมี่ของทีมไก่เดือยทอง และในช่วงเวลาคาบเกี่ยวกันนั้น เขาก็เป็นผู้เล่นเยาวชนของ บริมส์ดาวน์ โรเวอร์ส ทีมระดับท้องถิ่นในเมืองหลวงด้วย
แน่นอนว่าความฝันสูงสุดของ เบ็คแฮม คือการได้เล่นให้ทีมในดวงใจอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่นั่นไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับเด็กจากกรุงลอนดอนอย่างเขา เขาจึงต้องสร้างโอกาสให้ตัวเองอยู่ในสายตาคนของ แมนฯ ยูไนเต็ด ให้ได้
2
ในปี 1986 ตอนที่ เบ็คแฮม อายุแค่เพียง 11 ปี เขาได้เป็นหนึ่งในเด็กมัสคอตที่นักเตะทีมปีศาจแดงจูงมือลงสู่สนาม ในเกมดิวิชั่น 1 เดิมนัดที่พบกับ เวสต์แฮม ที่สนาม อัพตัน พาร์ค
1
จากนั้นตอนที่ เบ็คแฮม อายุ 13 ปี เขาได้เข้าร่วมโรงเรียนสอนฟุตบอลของตำนานปีศาจแดงอย่าง บ็อบบี้ ชาร์ลตัน ที่แมนเชสเตอร์ จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นแข้งพรสวรรค์สูงประจำรุ่น และได้โอกาสไปฝึกซ้อมร่วมกับทีมยักษ์ใหญ่ของสเปนอย่าง บาร์เซโลน่า มาแล้ว
1
นั่นทำให้ชื่อของเขาไปเข้าหูแมวมองทีมปีศาจแดง ที่ต้องการเฟ้นหานักเตะฝีเท้าดีจากทั่วประเทศเข้าสู่อะคาเดมี่ ซึ่งเป็นโครงการที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พยายามผลักดัน เพราะจะสร้างรากฐานที่แข็งแรงให้สโมสรได้ในระยะยาว
2
วันที่ 8 กรกฎาคม 1991 เดวิด เบ็คแฮม ได้เซ็นสัญญาเข้าเป็นเด็กฝึกของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เขาได้พบกับนักเตะรุ่นราวคราวเดียวกัน ที่เติบโตมาเป็นตำนานผีแดงในเวลาต่อมาหลายต่อหลายคน ไม่ว่าจะเป็น ไรอัน กิ๊กส์, พอล สโคลส์, นิคกี้ บัตต์, แกรี่ เนวิลล์ และ ฟิล เนวิลล์
1
หลายคนคุ้นชื่อเด็กกลุ่มนี้ว่า “คลาส ออฟ 92” ก็เพราะพวกเขาช่วยกันพาทีมเยาวชนของ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ เมื่อปี 1992 ด้วยการเอาชนะ คริสตัล พาเลซ ในนัดชิงชนะเลิศ ด้วยสกอร์รวม 2 นัด 6-3
และหลังจากนั้นไม่นาน เบ็คแฮม ก็ได้ลงสนามให้ทีมปีศาจแดงชุดใหญ่อย่างรวดเร็ว เมื่อถูกส่งลงสนามเป็นตัวสำรองแทน อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ในเกม ลีก คัพ ที่บุกไปเยือน ไบรท์ตัน
จากนั้นในวันที่ 23 มกราคม 1993 เดวิด เบ็คแฮม ได้เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด อย่างเป็นทางการ นั่นทำให้ความฝันที่เขาอยากเป็นนักฟุตบอลอาชีพให้กับทีมรัก กลายเป็นจริง
2
ในช่วงปี 1993-1995 ด้วยความที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีปีกความเร็วจัดอย่าง อังเดร แคนเชลสกี้ส์, ลี ชาร์ป รวมไปถึง ไรอัน กิ๊กส์ อยู่แล้ว ขณะที่มิดฟิลด์ตัวกลาง ก็ยังมี รอย คีน กับ พอล อินซ์ เป็นตัวหลัก ทำให้ เบ็คแฮม ยังไม่มีตำแหน่งให้สอดแทรกในทีมชุดใหญ่
ฤดูกาล 1994-95 อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน จึงส่ง เบ็คแฮม ไปให้ เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ ยืมใช้งานเป็นช่วงเวลาสั้นๆ ก่อนที่เจ้าหนุ่มรูปหล่อจะทำผลงานได้น่าพอใจ ด้วยการยิงไป 2 ประตูจากการลงสนาม 5 นัด หนึ่งในนั้นคือการยิงได้จากลูกเตะมุม
หลังหมดสัญญายืมตัว เบ็คแฮม กลับไปเป็นอะไหล่สำรองของ แมนฯ ยูไนเต็ด อีกครั้ง แต่ก็ยังไม่ได้โอกาสลงเล่นมากนัก
ซีซั่น 1994-95 ผีแดงพลาดแชมป์พรีเมียร์ลีกไปแบบน่าเสียดาย ด้วยการมีคะแนนน้อยกว่า แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส เพียงแต้มเดียว แถมยังชวดแชมป์ เอฟเอ คัพ เพราะแพ้ เอฟเวอร์ตัน ในเกมนัดชิงอีกด้วย
1
แต่พอเข้าสู่ฤดูกาล 1995-96 ถือเป็นปรากฏการณ์สำหรับนักเตะชุด “คลาส ออฟ 92” เพราะนั่นเป็นซีซั่นที่ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ให้โอกาสดาวรุ่งขึ้นมาเป็นตัวหลักอย่างเต็มตัว
ป๋าเฟอร์กี้กล้าเสี่ยงกับการปล่อยให้ดาวดังหลายคนย้ายออกไป ไม่ว่าจะเป็น อังเดร แคนเชลสกี้ส์, มาร์ค ฮิวจ์ส และ พอล อินซ์ โดยไม่มีการเซ็นสัญญานักเตะระดับดาวดังเข้าสู่ทีมชุดใหญ่แม้แต่คนเดียว
ซึ่งนอกจาก ไรอัน กิ๊กส์, นิคกี้ บัตต์, พอล สโคลส์ และ 2 พี่น้องเนวิลล์ที่ถูกดันขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่มาสักพักแล้ว ชื่อของ เดวิด เบ็คแฮม เริ่มแจ้งเกิดเต็มตัวก็ในฤดูกาลนั้นนั่นเอง
ในฤดูกาล 1995-96 ถึงแม้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด จะเปิดซีซั่นด้วยการบุกแพ้ แอสตัน วิลล่า 3-1 จนตำนานนักเตะลิเวอร์พูลอย่าง อลัน แฮนเซ่น ปรามาสเอาไว้ว่า “คุณไม่มีทางคว้าแชมป์ด้วยเด็กๆ”
แต่ในเกมนัดนั้น เบ็คแฮม ซึ่งสวมเสื้อหมายเลข 24 เป็นคนยิงประตูปลอบใจให้ผีแดงได้ ก่อนทำผลงานในการเป็นตัวหลักของทีมชุดใหญ่เต็มตัวในซีซั่นนั้นได้อย่างน่าประทับใจ
2
เขายิงในลีกได้ 7 ประตู ทำแอสซิสต์อีก 5 ลูก และเป็นคนยิงประตูชัยดับ เชลซี 2-1 ได้ในศึก เอฟเอ คัพ รอบรองชนะเลิศอีกด้วย
สุดท้าย แมนฯ ยูไนเต็ด ทวงความยิ่งใหญ่กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว โดยคว้าดับเบิ้ลแชมป์ทั้งพรีเมียร์ลีก และ เอฟเอ คัพ ในฤดูกาล 1995-96 ซึ่งถือเป็นความสำเร็จระดับทีมชุดใหญ่ครั้งแรกในชีวิตของ เบ็คแฮม
จากผลงานที่ดูดีมีอนาคต ทำให้ฤดูกาล 1996-97 เบ็คแฮม ได้รับการเปลี่ยนหมายเลขเสื้อจากเบอร์ 24 มาเป็นหมายเลข 10
ด้วยประสบการณ์ที่มากขึ้น และมั่นใจขึ้นกว่าเดิม ทำให้ “ซูเปอร์เบ็คส์” ยกระดับผลงาน ด้วยการยิงได้ 12 ประตูรวมทุกรายการ และทำแอสซิสต์รวมทุกถ้วยได้ 10 ลูก
2
ในจำนวนประตูที่ทำได้ในซีซั่นนั้น มีอยู่ 2 ลูกที่น่าจะอยู่ในความทรงจำของเขาไปตลอดกาล
1
ประตูแรกคือการซัดจากระยะกว่าครึ่งสนาม ลอยข้าม นีล ซัลลิแวน เข้าไปอย่างน่าฮือฮา ในเกมนัดเปิดฤดูกาลที่บุกชนะ วิมเบิลดัน 3-0 ซึ่งในเวลาต่อมา กลายเป็นหนึ่งในลูกยิงระดับคลาสสิคของโลก
ส่วนอีกลูกเกิดขึ้นในเกมที่ แมนฯ ยูไนเต็ด พบกับความพ่ายแพ้ต่อ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่สนาม เดอะ เดลล์ ด้วยสกอร์ 6-3 แต่มันคือเกมแรกที่ เบ็คแฮม ทำประตูได้จากการยิงฟรีคิกในพรีเมียร์ลีก
1
ซีซั่น 1996-97 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ป้องกันแชมป์พรีเมียร์ลีกได้อีกครั้ง ส่วนตัวของ เบ็คแฮม สร้างชื่อกระหึ่มมากขึ้นไปอีก
เขาคว้ารางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจากพีเอฟเอ, ติดทีมยอดเยี่ยมประจำฤดูกาล และคว้ารางวัล เซอร์ แม็ตต์ บัสบี้ เพลเยอร์ ออฟ เดอะ เยียร์ หรือผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีของสโมสร
1
จุดที่ทำให้ เบ็คแฮม โดดเด่นมากๆ ในฤดูกาลนั้น คือการขยับตำแหน่งจากมิดฟิลด์ตัวรุก ไปเล่นเป็นปีกขวาตัวหลักแทนที่ อังเดร แคนเชลสกี้ส์ ที่ย้ายทีมออกไปช่วง 1 ปีก่อนหน้านั้นอย่างเต็มตัว แม้จะเล่นในสไตล์ที่แตกต่างกับปีกชาวรัสเซียมากก็ตาม
ในขณะที่ แคนเชลสกี้ส์ เน้นใช้ความเร็วจัดในการกระชากขึ้นไปสุดเส้น แต่ เบ็คแฮม มีจุดเด่นที่การครอสบอลจากริมเส้น และมีลูกตั้งเตะที่อันตรายมาทดแทน
หลังจบฤดูกาล 1996-97 เอริก คันโตน่า ประกาศแขวนสตั๊ดอย่างช็อคโลกด้วยวัยเพียง 30 ปี และคนที่ได้สานต่อตำนานเสื้อหมายเลข 7 ของ “ก็องโต้” ไม่มีใครเหมาะสมไปกว่านักเตะที่กำลังโดดเด่นที่สุดในทีมอย่าง เบ็คแฮม อีกแล้ว
1
และหลังจากนั้น ตำนานเบอร์ 7 คนใหม่แห่งถิ่น โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ก็ค่อยๆ เริ่มต้นขึ้น...
การที่ เดวิด เบ็คแฮม เริ่มกลายเป็นนักฟุตบอลระดับแถวหน้าของประเทศ ทำให้เขาได้โอกาสออกเดทกับนางในฝันอย่าง วิคตอเรีย อดัมส์ ซึ่งเป็นนักร้องชื่อดังระดับโลกกับวงเกิร์ลกรุ๊ปอย่าง สไปซ์ เกิร์ล ในปี 1997
แม้มันอาจเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ เบ็คแฮม ค่อยๆ ก้าวเข้าสู่วงการเซเล็บ แต่ความเป็นมืออาชีพของเขาในเกมลูกหนัง ยังทำให้ผลงานในสนามยอดเยี่ยมเหมือนเดิม
ฤดูกาล 1997-98 ถึงแม้ทีมปีศาจแดงจะเสียแชมป์ลีกให้อาร์เซน่อล แต่ เบ็คแฮม เพิ่มจำนวนประตูของตัวเองในพรีเมียร์ลีกได้เป็น 9 ประตู และทำสถิติแอสซิสต์ได้มากที่สุดในฤดูกาลนั้นถึง 13 ลูกด้วยกัน
หนึ่งในประตูแห่งความทรงจำในซีซั่นนั้น คือลูกฟรีคิกปลิดวิญญาณใส่ ลิเวอร์พูล ในเกมบุกชนะ 3-1 ที่แอนฟิลด์ ซึ่งถูกยกว่าเป็นหนึ่งในลูกฟรีคิกที่สวยที่สุด เท่าที่ เบ็คแฮม เคยยิงในพรีเมียร์ลีกด้วย
แน่นอนว่าด้วยผลงานโดดเด่นต่อเนื่อง ทำให้ปีกขวาสุดหล่อคือตัวความหวังเบอร์ต้นๆ ของทีมชาติอังกฤษชุดสู้ศึกฟุตบอลโลก 1998 ที่ประเทศฝรั่งเศสเป็นเจ้าภาพ
ศึกฟุตบอลโลก ฟร้องซ์ 98 ทำท่าว่าจะเป็นรายการที่ดีสำหรับ เบ็คแฮม ที่ไม่เคยลงเล่นทัวร์นาเมนต์ทีมชาติระดับเมเจอร์มาก่อน
เขายิงฟรีคิกสุดสวยได้ในเกมรอบแบ่งกลุ่มที่พบกับ โคลอมเบีย และเป็นคนเปิดขึ้นหน้าให้ ไมเคิ่ล โอเว่น กระชากขึ้นไปยิงแซงนำ อาร์เจนตินา 2-1 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
2
ถึงแม้ทีมฟ้าขาวจะตีเสมอเป็น 2-2 ได้ก่อนหมดครึ่งแรกจาก ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ แต่นั่นคือเกมที่อังกฤษเล่นได้ดี และมีโอกาสเขี่ยทีมฟ้าขาวตกรอบได้เลย
แต่ในขณะที่ทีมชาติอังกฤษกำลังเต็มไปด้วยความหวัง กลายเป็นว่าเริ่มครึ่งหลังเพียง 2 นาที พลพรรคสิงโตคำรามกลับต้องตกอยู่ในสถานการณ์เป็นรองไปจนกระทั่งจบเกม
เดวิด เบ็คแฮม ควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ที่โดน ดีเอโก้ ซิเมโอเน่ กองกลางทีมฟ้าขาวกระโดดเข้ากระแทกอย่างแรงใส่จากด้านหลังจนล้มลง เขายกขาขึ้นมาเหมือนจะเอาคืน ซิเมโอเน่ ต่อหน้าต่อตาผู้ตัดสิน คิม มิลตัน นีลเซ่น จากเดนมาร์ก และเขาโดนใบแดงไล่ออกจากสนามทันที
1
อังกฤษที่เหลือผู้เล่น 10 คนต้องพยายามตั้งรับเอาไว้เพื่อไปลุ้นในช่วงดวลจุดโทษ และสุดท้ายก็ยิงเป้ากันไม่แม่น โดน อาร์เจนตินา เขี่ยตกรอบอย่างเจ็บแสบ และทำให้ เบ็คแฮม ถูกประณามว่าเป็น “ไอ้เด็กโง่” ที่ทำให้คนทั้งประเทศต้องผิดหวัง
1
จากที่กราฟชีวิตของ เดวิด เบ็คแฮม กำลังพุ่งขึ้นสุดขีด กลายเป็นว่าเขาต้องเจอกับความกดดันอย่างหนักจากทั่วประเทศ ที่ตราหน้าว่าเขาคือแพะรับบาปที่ทำให้ทีมชาติต้องตกรอบฟุตบอลโลกอย่างรวดเร็ว
แน่นอนว่ามันคือเรื่องที่รับได้ยาก แต่มันกลับกลายเป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ เบ็คแฮม มุ่งมั่นอยากพิสูจน์ตัวเองให้เป็นนักเตะที่ดีขึ้นกว่าเดิม
ฤดูกาล 1998-99 เขาคือกำลังสำคัญอันดับหนึ่งที่พา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด สร้างประวัติศาสตร์เป็นทีมแรกของอังกฤษที่คว้าทริปเปิ้ลแชมป์ ทั้งพรีเมียร์ลีก, เอฟเอ คัพ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
1
เขาทำแอสซิสต์ไป 11 ครั้งในเกมลีก และยิงได้ 6 ประตู โดยครึ่งหนึ่งในนั้นคือการซัดลูกฟรีคิก
ในเส้นทางสู่แชมป์ยุโรปปีนั้น เบ็คแฮม ทำแอสซิสต์ในเกมยุโรปได้มากถึง 7 ครั้ง ขณะที่ 2 ประตูโกงความตายในนัดชิงที่แซงดับ บาเยิร์น มิวนิค 2-1 ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ก็มีที่มาจากการเปิดลูกเตะมุมของเขา
การช่วยให้ต้นสังกัดคว้าแชมป์ใหญ่ถึง 3 รายการในฤดูกาลเดียว ทำให้ในช่วงซัมเมอร์ปี 1999 เขาเข้าพิธีแต่งงานกับ วิคตอเรีย ด้วยบรรยากาศชื่นมื่น
1
ผลงานสุดยอดในฤดูกาล 1998-99 ยังทำให้ เบ็คแฮม เป็นแคนดิเดตลุ้นรางวัล บัลลง ดอร์ อีกด้วย แต่น่าเสียดายที่ได้แค่อันดับ 2 เป็นรองแค่ ริวัลโด้ ที่ช่วยพา บาร์เซโลน่า คว้าแชมป์ ลา ลีกา คนเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม มีหลายคนก็มองว่า เบ็คแฮม มีความเหมาะสมกับรางวัลลูกบอลทองคำเช่นกัน ชนิดที่ผลงานโดยรวมไม่เป็นรองดาวดังทีมชาติบราซิลเลย
1
นับตั้งแต่ปี 1999-2001 เดวิด เบ็คแฮม คือกำลังสำคัญที่พา แมนฯ ยูไนเต็ด กลายเป็นทีมแรกที่คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกได้ 3 ปีซ้อน
ผลงานที่กลับมาชนะใจแฟนบอลอีกครั้ง ทำให้ สเวน โกรัน อีริคส์สัน กุนซือชาวสวีเดนที่รับตำแหน่งผู้จัดการทีมชาติอังกฤษ เลือกเขาเป็นกัปตันทีมสิงโตคำราม
เขาคือฮีโร่ที่ซัดฟรีคิกปลิดวิญญาณใส่ทีมชาติกรีซ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีสุดท้ายของเกมนัดชี้ชะตาของศึกฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือกโซนยุโรปที่ โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เมื่อเดือนตุลาคม 2001 ทำให้เกมจบลงด้วยผลเสมอ 2-2 และ อังกฤษ เข้ารอบสุดท้ายโดยไม่ต้องไปเหนื่อยต่อในรอบเพลย์ออฟ
1
ซึ่งในศึกเวิลด์คัพฉบับเอเชีย เบ็คแฮม ยังได้โอกาสลบฝันร้ายที่เคยหลอกหลอนเขาจากปี 1998 ด้วยการกดจุดโทษเป็นประตูชัย ดับอาร์เจนตินา 1-0 ในเกมสำคัญของรอบแบ่งกลุ่มอีกด้วย
น่าเสียดายที่ในฤดูกาล 2002-03 มันกลับกลายเป็นฤดูกาลสุดท้ายของ เบ็คแฮม ในสีเสื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
ความสัมพันธ์ของเขากับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ไม่ค่อยดีนัก นับตั้งแต่เขาแต่งงานกับ วิคตอเรีย และเริ่มใช้ชีวิตกับการเป็นเซเล็บมากเกินไป
แต่ฟางเส้นสุดท้ายมันเกิดขึ้นในเกม เอฟเอ คัพ นัดที่แพ้ อาร์เซน่อล คาบ้าน 0-2 เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปี 2003
ในครึ่งเวลาแรกของเกมนั้น เบ็คแฮม เล่นได้อย่างย่ำแย่ และไม่มีวินัยในการช่วยเล่นเกมรับ ทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ สวดยับในห้องแต่งตัวช่วงพักครึ่ง ก่อนที่เหตุการณ์จะเลวร้ายถึงขั้นที่ป๋าเฟอร์กี้เตะรองเท้าสตั๊ดไปโดนคิ้วของปีกเจ้าของเสื้อเบอร์ 7
ซึ่งหลังจากเกมนั้นมา กลายเป็นว่าความสำคัญในทีมของดาวดังทีมชาติอังกฤษไม่เหมือนเดิมอีก ก่อนจะถูกขายทิ้งให้ เรอัล มาดริด ด้วยค่าตัว 25 ล้านปอนด์ในช่วงซัมเมอร์ปี 2003 และกลายเป็นเหตุการณ์ที่แฟนบอลปีศาจแดงใจหายมาจนถึงทุกวันนี้
เดวิด เบ็คแฮม ครองสถิตินักเตะที่ยิงฟรีคิกเป็นประตูได้มากที่สุดตลอดกาลของพรีเมียร์ลีกถึง 18 ลูก เหนือกว่า เธียร์รี่ อองรี ตำนานอาร์เซน่อล กับ จานฟรังโก้ โซล่า ตำนานเชลซี ที่ทำได้คนละ 12 ประตูเท่ากัน
เบ็คแฮม ยังทำแอสซิสต์ในพรีเมียร์ลีกได้ถึง 80 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าฉายา “เท้าชั่งทอง” ของเขาไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ในปี 2013 เดวิด เบ็คแฮม เคยเผยเคล็ดลับลงในหนังสือของตัวเองเอาไว้ ว่ากว่าที่เขาจะกลายเป็นนักเตะที่มีลูกปั่นโค้งที่อันตรายที่สุดในโลก มันต้องผ่านการฝึกฝนมานับไม่ถ้วนตั้งแต่เขายังเด็ก
“ผมต้องฝึกยิงฟรีคิกเป็นหมื่นๆ หรืออาจเป็นแสนๆ ครั้ง ผมต้องไปที่สวนสาธารณะตอนเด็กๆ วางลูกบอลลงกับพื้น และต้องเล็งไปที่ลวดตาข่ายเหนือกระท่อมเล็กๆ ในชุมชน”
“ตอนที่คุณพ่อของผมกลับมาจากเลิกงาน พวกเราจะไปฝึกกับประตูด้วยกัน เขาจะยืนระหว่างตัวผมกับประตู เขาบังคับให้ผมปั่นโค้งอ้อมตัวเขาให้ได้”
“ผู้คนที่มองเราตอนนั้นต้องคิดว่าพวกเราบ้าแน่ๆ เพราะพวกเราซ้อมกันจนตะวันตกดิน โดยเล่นด้วยแสงที่ออกมาจากหน้าต่างบ้านคน และแสงรอบๆ สวนสาธารณะ”
1
“ผมยังคงฝึกต่อไปเมื่อกลับถึงบ้าน ผมไม่ได้รับอนุญาตให้เตะลูกฟุตบอลในบ้าน ซึ่งผมต้องฝึกด้วยการเตะตุ๊กตาในห้องนอนของน้องสาว แม่ผมคิดว่ามันเป็นเรื่องตลก แต่มันแสดงให้เห็นว่าผมรักฟุตบอลขนาดไหน”
หลังย้ายออกจาก แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เบ็คแฮมก็ไม่ได้กลับไปเล่นฟุตบอลอาชีพในพรีเมียร์ลีกอีกเลย
แต่ถึงแม้การไปค้าแข้งที่ต่างแดนจะเป็นเรื่องไม่ง่ายสำหรับนักเตะชาวอังกฤษ แต่ เบ็คแฮม ยังคงประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องทั้งกับ เรอัล มาดริด, แอลเอ แกแล็กซี่ ไปจนกระทั่งทีมสุดท้ายที่เขาเล่นให้เมื่อปี 2013 อย่าง ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง
เขาคือนักเตะชาวอังกฤษคนแรกและคนเดียว ที่คว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย อังกฤษ, สเปน, สหรัฐอเมริกา และฝรั่งเศส โดยกวาดแชมป์รวมกันตลอดชีวิต 19 โทรฟี่
2
เขาติดทีมชาติอังกฤษทั้งหมด 115 นัด โดยมีถึง 59 นัดที่เขาสวมปลอกแขนกัปตันทีม และยังคงถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในนักเตะจากแดนผู้ดีที่ดีที่สุดตลอดกาลอีกด้วย
การที่ เดวิด เบ็คแฮม คือนักเตะที่ชื่อเสียงนอกสนามอาจเป็นที่พูดถึงมากกว่าฝีเท้า ทำให้เขามักถูกตั้งคำถามอยู่ตลอด ว่าเป็นนักฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมจริงหรือไม่
แต่บรรดานักเตะซูเปอร์สตาร์ระดับโลกที่เคยร่วมงานกับเขา ต่างยกย่อง “พี่เบ็คส์” ว่าเป็นนักเตะระดับโลกตัวจริงเสียงจริงทั้งนั้น
ฟาเบียง บาร์กเตซ อดีตนายประตูทีมชาติฝรั่งเศส ที่เคยร่วมทีมกันที่ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยกย่องการขยันทำงานหนักของ เบ็คแฮม ว่า
“ในระดับของมืออาชีพแล้ว เขาเป็นคนที่เคร่งครัดกับวินัยมาก เขาทำงานหนักสุดๆ และถ้าคุณสงสัยเรื่องนั้น คุณต้องถามตัวเองว่าทำไมเขาถึงยังเล่นฟุตบอลได้จนถึงอายุ 37 ปี ถ้าไม่มีความมุ่งมั่นจริงๆ”
โรแบร์โต้ คาร์ลอส อดีตแบ็กซ้ายจอมยิงฟรีคิกทีมชาติบราซิล ที่เคยร่วมงานกันที่ เรอัล มาดริด ถึงกับยอมรับว่า เบ็คแฮม มีสกิลการยิงลูกนิ่งที่ดีกว่าเขา
2
“เบ็คแฮมยิงฟรีคิกได้ดีกว่าผม ผมมีความสุขที่ได้เห็นเขายิง และเขาพิสูจน์ให้เห็นว่าฟรีคิกที่ดีไม่ได้ขึ้นอยู่กับความแรง”
หรือแม้แต่นักเตะผู้จองหองอย่าง ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ที่ได้ร่วมงานกับ เบ็คแฮม เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ที่ เปแอสเช ก็ยังยอมรับความสุดยอดของคนคนนี้อีกเช่นกัน
“ในฐานะคนคนหนึ่ง เขามหัศจรรย์มาก เขาขี้อายในช่วงที่มาใหม่ๆ ใน 2 เดือนแรก แต่หลังจากนั้นผมได้รู้จักเขาจริงๆ และเรามีช่วงเวลาที่ยอดเยี่ยมร่วมกัน”
1
“ทุกคนรู้จักเขาในฐานะนักฟุตบอล คุณได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับเขา ได้ยินอะไรเกี่ยวกับเขามามาก แต่เมื่อคุณได้เจอเขาตัวเป็นๆ ผมบอกเลยว่ามีแต่เรื่องดีๆ ให้พูดถึงเท่านั้น”
“คนที่พูดถึงเขาในแง่ลบ ถ้าไม่อิจฉาเขาก็คงเกลียดเขา เพราะมันไม่มีอะไรในแง่ร้ายที่จะพูดถึงเขาได้เลย สำหรับมุมมองของผม”
ปัจจุบัน ถึงแม้ เดวิด เบ็คแฮม จะใช้ชีวิตกับการเป็นเซเล็บเต็มตัว โดยไม่ได้รับงานโค้ชหรือกูรูฟุตบอลที่ไหน แต่ก็ยังไม่มีใครลืมความสามารถระดับโลกของเขาได้เลย
เบ็คแฮม ในวัย 45 ปี ยังคงดูแลร่างกายตัวเองเป็นอย่างดี เรียกได้ว่าหากดูจากหน่วยก้านของนักเตะที่แขวนสตั๊ดไปแล้ว ดูเหมือน “พี่เบ็คส์” จะดูดีและฟิตกว่าทุกคนที่เคยเป็นนักเตะรุ่นๆ เดียวกันจริงๆ
และนั่นจึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ ว่าทำไม เดวิด เบ็คแฮม ถึงยังคงเป็นซูเปอร์สตาร์ตลอดกาล ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ตาม...
#เสียบสามเหลี่ยม #เบ็คแฮม #เดวิดเบ็คแฮม #แมนยู #แมนฯยูไนเต็ด #แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด #พรีเมียร์ลีก #ทีมชาติอังกฤษ #ตำนานนักเตะ
โฆษณา