10 ม.ค. 2021 เวลา 14:38 • ท่องเที่ยว
บันทึกการเดินทาง
หมู่บ้านอีต่อง อ.ทองผาภูมิ จ.กาญจนบุรี
..
บทที่ 1 ไม่คาดหวัง = ไม่ผิดหวัง
..
เช้าวันพฤหัสที่ 31 ธันวาคม เป็นเช้าที่ลมเหนือเริ่มพัดเข้ามาปกคลุมประเทศไทย อากาศเย็นสบาย เหมาะแก่การออกไปให้ความหนาวเหน็บกลืนกินร่างกาย โดยปกติแล้ววันสุดท้ายของปีแบบนี้ พวกเราจะอยู่เคาท์ดาวน์กันที่บ้าน ไม่ออกไปนอกสถานที่ แต่ด้วยเหตุอันใดก็ไม่รู้ทำให้พวกเรานึกคึกคะนอง อยากลองเปลี่ยนบรรยากาศใหม่ ๆ จึงได้ชักชวนกันออกเดินทางไปนอกสถานที่ ซึ่งมีแค่หมุดหมายที่ปักไว้คือ ‘หมู่บ้านอีต่อง’ เพียงเท่านั้น
พวกเราทั้ง 4 เตรียมสัมภาระพร้อมสำหรับออกเดินทาง แต่สิ่งหนึ่งที่ยังขาดอยู่นั่นคือ ‘แผนการ’ ไม่มีแผนการอะไรในหัวของแต่ละคน แม้กระทั่ง‘เวลาเดินทาง’ที่แน่นอน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่ต้องเอามาแบกให้มันหนักกระบาล พวกเรามักพูดกันว่า
“เดี่ยวไว้ค่อยคิดทีหลัง”
พักหลัง ๆ มานี้รู้สึกว่าจะใช้คำนี้บ่อยขึ้น พวกเราเริ่มมี ‘นิสัยเสีย’ กันมากขึ้นคือ นึกจะชวนไปไหนก็ไปกันแบบปุ๊บปั๊บมากยิ่งกว่าเดิม(ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ปุ๊บปั๊บกันมากพอแล้ว) การเดินทางไปไหนมาไหนแต่ละทีมักไม่มีแผนการที่ ‘เอาแน่เอานอน’ ได้สักอย่าง ปรับเปลี่ยนกลางทางได้ตลอดเวลา
ถ้าถามผมว่า “ชอบการเดินทางที่ไม่มีแผนการที่แน่นอนไหม?”
หากย้อนกลับไปซักปี สองปี ผมคงตอบไปว่า “ไม่ชอบ” เพราะมันต้องไปเสียเวลาวางแผนกันตอนที่กำลังเดินทาง และไม่รู้ว่าแต่ละวันจะอยู่ที่ไหน จะกินอะไร นอนยังไง ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรให้พร้อมบ้าง เมื่อไม่มีความพร้อมพอไปถึงก็ต้องวุ่นวายหา วุ่นวายเตรียมกันอีก เวลาที่จะได้ใช้เพื่อไปเที่ยวในสถานที่อื่น ๆ ก็ต้องมาเสียไปกับเรื่องพวกนี้
..
การเดินทางของพวกเราเป็นไปด้วยความเรียบง่าย หิวก็แวะ ปวดฉี่ ปวดขี้ก็แวะ พูดคุยเรื่องไร้สาระบ้าง มีสาระบ้าง ตามประสาเวลาที่พวกเราพบเจอกัน ระยะทางกว่า 200 กิโลเมตร พวกเราใช้เวลาเดินทางกันประมาณ 6 ชม. ซึ่งหากเป็นคนอื่นคงถึงที่หมายไปนานแล้ว แต่ในเมื่อเราไม่ได้ซีเรียสเรื่องเวลากันขนาดนั้น ก็ไม่เห็นต้องกดดันอะไร ไม่รู้การกระทำแบบนี้ควรเรียกว่า ‘ปล่อยวาง’ หรือ ‘ปล่อยปะละเลย’ ดี
แต่หนึ่งสิ่งที่ทำให้ผมมีความสุขระหว่างการเดินทางทุกครั้งนั่นคือ ‘ระหว่างทางที่เราได้พูดคุยกัน’ แลกเปลี่ยนความคิดกันบ้าง คุยเล่นเฮฮาไร้สาระบ้าง เหมือนเวลานั้นไม่มีใครสักคนที่สนใจว่าจุดหมายใกล้ถึงหรือยัง
‘เราทุกคนอยู่ด้วยกันบนรถจริง ๆ’
..
เราเป็นกลุ่มเพื่อนที่คบกันตั้งแต่สมัยเรียนม.1 จนถึงตอนนี้ก็ร่วม ๆ 12 ปีเห็นจะได้ พวกเราเป็นเพื่อนที่ปรึกษากันได้แทบทุกเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่ ‘ทุกข์ใจ’ ไปจนถึงเรื่องที่ ‘สุขใจ’ เรากล้าพูดกันตรง ๆ และก็รับฟังกันอย่างเปิดใจ แม้นเป็นเรื่องที่คนใดคนหนึ่งคิดผิดหรือทำผิดไป ก็สามารถช่วยตักเตือนกันได้ นอกจากนั้นยังสามารถบอกด้านดีและด้านไม่ดีเพื่อเตือนสติกันและกันได้อีกด้วย
‘หลายคน หลายมุมมอง’ ช่วยแก้ปัญหาให้กันและกันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ก็สุดแต่ความสามารถ
ทุกครั้งที่อยู่กับเพื่อนกลุ่มนี้ผมรู้สึกเหมือนกับว่า ‘สัญชาตญาณดิบ’ ของผมมันได้แสดงออกมาโดยไม่รู้ตัว เราพูดคุยเฮฮาปัญญาอ่อนกันเหมือนตอนเป็นเด็กม.ต้น ไม่จำเป็นต้องใส่หน้ากากของความเป็นผู้ใหญ่เวลาอยู่ด้วยกัน แต่ละคนต่างแสดงความเป็นธรรมชาติของตัวเองออกมาได้โดยไม่เคอะเขิน เด็กน้อยม.1ยังคงอยู่ในตัวของพวกเราแต่ละคน แต่อาจจะถูกซ่อนอยู่ข้างในร่างกายที่ใหญ่โตขึ้น พร้อมกับความรับผิดชอบที่แต่ละคนนุ่งห่มไว้
ผมคิดว่า “ในชีวิตเราควรรักษากลุ่มเพื่อนแบบนี้ไว้ให้ดี” ถึงแม้ไม่ได้มากด้วยจำนวน แต่ล้วนเต็มไปด้วยคุณภาพ
พวกเรานั่งอยู่ในรถฟังเพลง พูดคุยเฮฮา หลับบ้าง ตื่นบ้าง ค่อย ๆ กระดึ๊บ ๆ ขับรถขึ้นเขากันอย่างเนิบ ๆ ในที่สุดก็ถึงที่หมาย
‘แม้จะถึงช้า แต่พวกเราก็ถึง’
..
แผนแรกที่พวกเราวางไว้คือ เดินขึ้นไปกางเต็นท์นอนกันที่‘จุดชมวิวเนินช้างศึก’ พวกเราเตรียมสัมภาระ เตรียมเสบียง พร้อมสำหรับการเดินทาง แต่ก็ต้องมารู้ว่าแผนแรกที่เราวางไว้นั้นพังไม่เป็นท่า เพราะป้าร้านข้าวที่พวกเราไปซื้อเพื่อเตรียมไปกินเย็นนี้บอกว่า “บนนั้นเขาห้ามกางเต็นท์นอนมาซักพักแล้ว” เนื่องจากปัญหาเรื่องขยะและเรื่องโรคระบาดโควิด-19 พวกเราจำต้องปล่อยแผนแรกไป
เวลาตอนนี้ก็ปาเข้าไปห้าโมงกว่าแล้ว แต่ก็ยังพอจะเดินขึ้นไปดูพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าได้อยู่ พวกเราสี่สหายรีบเก็บข้าวของที่ไม่จำเป็น และเดินทางมุ่งหน้าสู่จุดชมวิวเนินช้างศึกต่อไป
ส่วนเรื่องที่หลับที่นอนน่ะหรอ ‘ปล่อยให้เป็นเรื่องของคืนนี้’ ละกัน
เส้นทางเดินขึ้นไปจุดชมวิวเนินช้างศึก ถามว่าลำบากไหม,ก็ไม่ แต่ก็ไม่ได้สบายมากนักเนื่องจากทางค่อนข้างชันและเต็มไปด้วยหินที่เกิดจากการระเบิดภูเขาเพื่อทำเหมืองในอดีต หากเดินไม่ดีอาจจะลื่นได้ ต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร เมื่อพ้นเนินแรกก็จะพบกับพื้นที่ราบให้เดินได้อย่างปลอดภัยสบายน่องหน่อย แต่หลังจากหมดพื้นที่ราบไปก็ต้องเดินบุกป่าขึ้นเขา ซึ่งทางก็ค่อนข้างชันและปกคลุมไปด้วยต้นไม้ ต้นหญ้า แต่เพียงอึดใจเดียวก็ถึงที่หมาย
จากจุดเริ่มเดินมีป้ายเขียนบอกระยะทางประมาณ 1.2 กม. แต่พอเดินจริงผมว่าไม่ใช่ละ
พวกเราเดินขึ้นไปทันชื่นชมความงดงามของแสงสุดท้ายของปี จากนั้นอากาศก็เริ่มเย็นลง บวกกับลมแรงที่พัดความเย็นยะเยือกเข้ามาปะทะร่างกาย พวกเราคงต้องเดินลงกันแล้วหล่ะ
ขณะที่เดินลงมาถึงทางราบ พวกเราเห็นเป้าหมายใหม่สำหรับวันพรุ่งนี้ คือเขาที่อยู่ใกล้ ๆ กับเนินช้างศึก เราตั้งชื่อให้มันว่า “เขาฮัวกั่วซาน” (เลียนแบบชื่อมาจากเรื่องไซอิ๋ว) เราลงความเห็นกันว่าพรุ่งนี้จะมาดูพระอาทิตย์ขึ้นกันบนนี้ และนั่งจิบกาแฟกัน
เราค่อย ๆ เดินลงกันอย่างระมัดระวังเพราะเส้นทางเริ่มมืดแล้ว เมื่อเดินลงมาถึงยังหมู่บ้านพวกเรานั่งล้อมวงกินข้าว พูดคุยกันท่ามกลางลมหนาวที่พัดแรงขึ้นเรื่อย ๆ นั่งไปนั่งมาเริ่มชาที่ใบหน้า ไม่นานนักชักจะทนไม่ไหว‘คืนนี้คงต้องนอนในรถละกัน’
แม้จะเป็นคืนสุดท้ายของปี แต่รู้สึกเหมือนจะไม่สลักสำคัญอะไรกับพวกเรามากนัก ไม่มีใครทนอยู่ได้ถึงตอนเที่ยงคืนเพื่อเคาท์ดาวน์แบบทุกปี ต่างคนต่างหลับใหลไปเพราะความอ่อนเพลีย
ไร้ซึ่งความตื่นเต้น ไร้ซึ่งคำอวยพร ไร้ซึ่งปณิธาน ไร้ซึ่งพรที่จะขอ
หรืออาจเพราะในห้วงเวลานั้น เราต่างได้ในสิ่งที่ต้องการกันแล้ว
สิ่งนั้นคือ ‘ความสุข’
..
ตื่นเช้ามาพร้อมกับความเย็นยะเยือกของอุณหภูมิที่ลดลงไปถึง 14 องศา นี่โชคดีแค่ไหนที่เขาห้ามขึ้นไปกางเต็นท์บนเนินช้างศึก ไม่งั้นมีหวังได้นอนแข็งตายกันบนนั้นเป็นแน่แท้ พวกเราจัดเตรียมสัมภาระ เพื่อมุ่งหน้าสู่เป้าหมายเดียวของเช้านี้คือ ‘ไปล้อมวงจิบกาแฟยามเช้าท่ามกลางขุนเขา’
‘ทางเส้นเดิม แต่จุดหมายใหม่’
ด้วยความคุ้นชินเส้นทางที่เพิ่งเดินไปเมื่อเย็นวาน เราถึงที่ราบโดยใช้เวลาไม่นานนัก เรามุ่งหน้าสู่เป้าหมายใหม่ ซึ่งไม่เคยคาดหวังมาก่อนว่ามีเขาลูกนี้อยู่ด้วยหรือ เนื่องจากเราทุกคนต่างก็เคยมาที่หมู่บ้านอีต่องกับเนินช้างศึกกันแล้วทั้งนั้น เพียงแต่พวกเราสี่คนไม่เคยมาด้วยกันสักครั้ง
เราค่อย ๆ จ้ำอ้าว ๆ ขึ้นไปบนเส้นทางที่แปลกใหม่สำหรับทุกคน
แต่เหมือนกับว่าธรรมชาตินั้นรู้ใจ ได้ตระเตรียมความงามไว้รอเสิร์ฟพวกเราอยู่แล้ว วิวทิวทัศน์ที่ห้อมล้อมไปด้วยภูเขาน้อยใหญ่ทั้ง 360 องศาวางตระหง่านตา ผมรู้ทันทีว่าความงดงามนี้ไม่สามารถบันทึกให้อยู่ในกรอบสี่เหลี่ยมของจอโทรศัพท์ได้เลย ผมมาเที่ยวที่หมู่บ้านอีต่องเกือบทุกปี แต่ก็ไม่เคยเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามขนาดนี้ อาจจะสวยกว่าจุดชมวิวหลักด้วยซ้ำ
ก่อนออกเดินทางมาแม่ถามผมว่า “ไม่เบื่อหรอ เห็นไปทุกปีเลย”
พ่อผมซึ่งอยู่ใกล้ ๆ ก็บอกแม่ไปว่า “แต่ละปีมันก็สวยไม่เหมือนกันหรอก”
ผมนึกถึงคำพูดนี้ของพ่อ พร้อมกับทิวทัศน์ที่ประจักษ์ตรงหน้า
“จริงอย่างที่พ่อผมบอก”
แต่ละปีที่มามันสวยไม่เหมือนกันจริง ๆ และความทรงจำที่ได้ถูกบันทึกไว้ในความรู้สึกของผมก็ไม่เหมือนเดิมเช่นกัน
เราทั้งสี่คนชื่นชมความงามของทัศนียภาพและแสงแรกของปีเสร็จสรรพ จากนั้นเราก็ล้อมวงชงกาแฟ เปิดเพลงวง‘เฉลียง’เคล้าคลอบรรยากาศ และนั่งจิบกาแฟท่ามกลางขุนเขาตามแผนที่วางไว้ เราเอื่อยเฉื่อยและดื่มด่ำกับบรรยากาศกันเต็มที่ เพราะไม่มีแผนต่อจากนี้แล้ว
‘เราชื่นชมความงามระหว่างทาง’
..
ถ้าถามผมอีกครั้งว่า “ชอบการเดินทางที่ไม่มีแผนการที่แน่นอนไหม?”
ตอนนี้ผมคงตอบว่า “ก็ดีไปอีกแบบ”
การเดินทางที่ไร้แบบแผนนั้นช่วยสอนให้รู้จัก ‘ปล่อยวาง’ จากจุดหมายที่บางทีเราคาดหวังจนเกินไป ว่าเราจะต้องไปให้ทันเวลา จะต้องใช้เวลาอย่างคุ้มค่า แต่ลืมนึกถึงคุณภาพของเวลาที่ใช้ไป
ไม่ใช่แค่เพียงเรื่อง ‘เดินทางท่องเที่ยว’เท่านั้น ‘การเดินทางของชีวิต’ก็เช่นกัน
กับเรื่องบางเรื่องในชีวิต,เราก็ไม่จำเป็นต้องมีจุดหมายที่มันชัดเจนก็ได้ ไม่ต้องคาดหวังว่าทุกอย่างจะต้องเป็นดั่งใจ ไม่ต้องมีแผนการครอบคลุมทุกอย่าง ปล่อยให้มันหย่อน ๆ ใช้ชีวิตอย่างผ่อนคลายดูบ้าง เมื่อเราปล่อยให้ชีวิตได้ผ่อนคลาย ไม่ตึงจนเกินไป เราก็จะมีเวลาชื่นชมความงดงามของสิ่งรอบตัวมากขึ้น เพราะเมื่อใดก็ตามที่เรามัวแต่ใช้เวลาสนใจจุดหมายที่เราจะมุ่งไปจนเกินพอดี เรามักจะมองข้ามสิ่งสวยงามระหว่างทางเสมอ
..
ณ ตอนนั้น บนยอดเขา‘ฮัวกั่วซาน’ ธรรมชาติกำลังโอบกอดเราทั้งสี่คน เราสังเกตเห็น เรามีเวลาชื่นชมมันอย่างเต็มที่ เพราะแผนการหลวม ๆ ของเรา
..
กับบางเรื่อง
“เมื่อไม่คาดหวัง ก็ไม่ผิดหวัง”
..
เพื่อนผมคนหนึ่งมันพูดขึ้นมาว่า “ทางที่ไม่มีป้ายบอกทาง มักสวยงามเสมอ”
และเราก็มองเห็นเส้นทางนั้นอีก
..
TO BE CONTINUED
โฆษณา