11 ม.ค. 2021 เวลา 00:54 • หนังสือ
📖 รีวิวหนังสือ Make Time หนังสือที่จะช่วยให้คุณ WFH ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น 📖
……………..
Make Time
How to Focus on What Matters Everyday
2
เขียนโดย Jake Knapp / John Zeratsky
เนื่องจากอย่างที่เราทราบกันนะครับว่าสถานการณ์โควิดในประเทศไทยระลอก 2 หลาย ๆคนเลยต้องกลับมา work from home กันอีกรอบ หรือบางคนก็ยังต้อง work from home ต่อเนื่องไปอีกจากช่วงต้น ๆปีที่แล้ว ตัวผมเองก็เช่นกัน T T
1
ผมเลยอยากจะเอาหนังสือเล่มนี้มาพูดถึงในช่วงนี้ครับ เนื่องจากหลายคนอาจจะเริ่มท้อ มีอาการเบื่อ จากการ work from home ยาว ๆ ก็เลยคิดว่า การกลับมาทำให้ตัวเอง productive แล้วก็ focus อีกครั้งคงเป็นทางนึงที่ทำให้เราทำงานให้อย่างประสบความสำเร็จอีกทั้งยังมีความสุขอีกด้วย 😊
3
สำหรับหนังสือเล่มนี้เค้าจะแนะนำทริกต่าง ๆเยอะมาก ๆในการทำตัวเราให้โฟกัสหรือจัดการเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดให้มันมีประสิทธิภาพขึ้น ไม่ใช่แค่ทำให้เรามี productivity สูงขึ้นนะครับ แต่มันช่วยให้เรามี “เวลาเหลือ”ไปทำสิ่งที่เราชอบอีกด้วย ฟังแล้วแบบเห้ยจริงเดะ! เพราะทุกวันเราได้ยินแต่คนบอกว่า “ไม่มีเวลา” “เวลาไม่พอ” ถูกมั้ยครับ?
ผู้เขียนเล่าว่ามีอยู่สองสิ่งครับที่ทำให้เราดูยุ่งมาก ๆๆๆๆๆ ในโลกทุกวันนี้ ข้อแรกเค้าเรียกว่า “The Busy Bandwagon” มันเหมือนกันการที่ทุกคนดูยุ่งตลอดเวลาทั้งอีเมล์ที่เข้ามา โทรศัพท์ ตารางเวลาประชุมในปฏิทิน แล้วก็งานที่อยู่ใน To-Do List อีกเพียบ!!!
1
อีกอันนึงเค้าเรียกว่า “Infinity Pools” โดยส่วนตัวชอบคำนี้มาก เพราะมันเห็นภาพเลยครับ มันคืออะไร? มันก็คือข้อมูล ข่าวสารใหม่ๆ โพสใหม่ๆ ที่เหมือนเวลาเรากด refresh เวลาเล่นโซเชียลหนะครับ ทุกครั้งที่เราไถ ๆหรือ refresh แม่งมีอันใหม่มาให้เราดูตลอด ไถมือถือไปไถมือถือมา มันก็ไม่มีสิ้นสุดถูกมั้ยหละครับ
Do you ever look back and wonder, What did I really do today?
เราเคยย้อนกลับไปมองมั้ยว่าวัน ๆนึงเราทำอะไรบ้าง?
1
ลองมาดูครับว่าผู้เขียนเค้ามีหลักการอย่างไรบ้าง
……………..
1
🎯 Highlight
1
เค้าให้เราลองถามตัวเราเองว่า “What is going to be your Highlight today?”
ก็คือเรามาคิดว่าสิ่งสำคัญของวันนี้ที่เราจะทำคืออะไร เค้าให้แนวทางในการเลือก “Highlight” ในแต่ละวันแบบนี้ครับคือ
1) งานอะไรที่มันเร่งด่วนที่ต้องทำให้เสร็จวันนี้
2) งานอะไรที่ถ้าเราทำสำเร็จแล้วจะทำให้เรามีความพึงพอใจที่สุด
3) งานอะไรที่เราทำแล้วเรามีความสุขหรือฟินที่สุด
เค้าให้เทคนิคการเลือกแบบนี้ครับ คือลองเขียนงานทั้งหมดที่เราจะต้องทำออกมาดู เขียนให้หมดเลยนะครับทั้งเรื่องงานเรื่องส่วนตัวอะไรก็ตาม แล้วมาลองเรียงลำดับ 1, 2, 3… ดูครับ ก็คือมาจัด priority นั่นแหละครับตามเป้าหมายในชิวิตเรา แล้วมานั่งดูอีกรอบว่ามันใช่จริง ๆรึเปล่า
4
ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่เค้าเพิ่มเติมคือ มันเปลี่ยนแปลงได้นะครับ “Highlight” ในแต่ละวัน หากมีงานเร่งด่วนเข้ามา หรือแผนเปลี่ยนเราก็ต้องปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์นะครับ บางคนอาจจะยึดติดกับแผนมากเกินไปจนทำให้ตัวเองไม่ flexible ต้องอย่าลืมนะครับโลกเราทุกวันนี้มันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ๆ ครับ สิ่งสำคัญก็คือการปรับตัวครับ
2
อีกหนึ่งเทคนิคที่ผมคิดว่าดีและอยากแชร์ก็คือ การรวมเอางานเล็ก ๆ ยิบ ๆ ย่อย ๆมารวมทำทีเดียวครับ (Batch the little stuffs) เช่น พวกการเช็คอีเมล์ ให้มัดรวมแล้วจัดเวลาทำเป็นพวกช่วง ๆ หากเรามานั่งเช็คอีเมล์ตลอดเวลาจะเกิดอะไรขึ้นครับ มันจะมาแทรกงานที่เรากำลังทำอยู่เรื่อย ๆ ครับ ทุกคนก็ทราบดีนะครับว่าทุกวันนี้อีเมล์มาเรื่อย ๆ ครับ บางคนได้อีเมล์วันนึงเป็นร้อย ๆ คิดดูแล้วกันหากเรากำลังตั้งท่าจะทำงานอะไรซักอย่าง แต่คอยเปิดอีเมล์อยู่เรื่อย ๆ มันจะทำให้เราเสียโฟกัสครับ แล้วงานหลักที่เราวางไว้เป็น "highlight" มันจะไม่เสร็จเอา
สุดท้ายเมื่อเรามีลิสต์งานตามลำดับความสำคัญแล้ว ให้ระบุเขียนลงในปฏิทินเลยครับ ทุกวันนี้หลายคนคงใช้เป็น outlook หรือ google calendar กันแล้วให้แอ้ดลงไปในนั้นเลยครับ แล้วทำ “Block time” หรือ “Time Boxing” ล็อคเวลาไว้เลยครับ ว่าเราจะทำเมื่อไหร่ในวัน ๆ นึง ที่สำคัญอย่าลืมกำหนดเวลาคร่าว ๆ ที่จะเสร็จงานด้วยนะครับ เพราะเราต้องมีการกำหนดเวลาที่ชัดเจน โดยเฉพาะการ work from home ที่บางทีเราแยกเวลางานกับเวลาส่วนตัวไม่ออกแล้วครับ บางคนไม่กำหนด “finish line” ให้ชัดเจน มันทำให้เราล้า หรือ ไม่มีประสิทธิภาพได้นะครับ
……………..
🎯 Laser
ส่วนที่สองเค้าใช้คำเท่ ๆ ว่า “Laser” ความหมายมันก็คือให้โฟกัสแหละครับ โฟกัสกับงานที่เป็น “Highlight”
เชื่อมั้ยครับมีการเก็บข้อมูลในปี 2016 ว่าคนเราปลดล็อคโทรศัพท์มือถือวันละประมาณ 80 ครั้ง แถมมีการหยิบมือถือถึงวันละ 2,617 ครั้ง!!! ฟังแล้วไม่น่าเชื่อครับ แต่เราก็ลองเช็คตัวเราเองได้ อย่างใน iPhone เราสามารถดูได้ว่าเราหยิบกี่ครั้งต่อวัน
ที่เค้าจะบอกเราก็คือพวกมือถือหรืออุปกรณ์ต่าง ๆพวกนี้แหละครับเป็นตัวการที่ทำให้เราหลุดกับสิ่งที่เราจะโฟกัส หรือเรียกว่า “Distraction” เพราะฉะนั้นทางผู้เขียนก็ได้แนะนำไว้ว่าให้ “Create Barriers” ขึ้นมาครับ คือให้ทำไงก็ได้ให้เรามีความยากลำบากในการจะหยิบมือถือมาเล่น หรือใช้งาน ซึ่งเค้าแนะนำไว้หลายอย่างมาก เช่น การปิดการแจ้งเตือน (notifications), การ log out ออกจาก account ทุกครั้งหลังเล่นเสร็จ พอเราจะหยิบมาเล่น มันเกิดความยากแล้วใช่มั้ยครับเพราะว่าเราต้องใส่ username รวมถึง password ใหม่ หรือ การโยนมือถือไปไว้ไกล ๆ ผมว่าอันนี้ค่อนข้างดีและช่วยพอสมควร วันก่อนผมฟังรายการของคุณรวิศ หาญอุตสาหะ คุณรวิศเล่าว่ามีการศึกษาให้เด็กมาทำข้อสอบโดยการวางมือถือไว้ให้เห็นกับไม่เห็นมือถือเลย ปรากฏว่าเด็กที่ไม่เห็นมือถือนั้นทำข้อสอบได้ดีกว่าอย่างชัดเจน
แต่ก็มีบางอย่างผมมองว่ามันยากที่จะทำได้จริงครับ เช่น การลบแอปพวก social ออกไปจากมือถือ ค่อยลงใหม่เวลาเล่น หรือการตัด internet หรือแม้กระทั่งตั้งเวลาการใช้ internet
1
นอกจากนี้เค้าก็เน้นเรื่องการเช็คอีกเมล์อย่างที่กล่าวไปข้างต้นแล้วครับว่ามันเป็นอีกอย่างเลยที่ทำให้เราไม่โฟกัสกับงาน เค้าบอกว่าเมือปี 2012 มีการศึกษาครับพบว่าคนเราเนี่ยทำงานจริงแค่ 39% ส่วนอีก 61% ที่เหลือคือการติดต่อสื่อสาร ประสานงานกัน ซึ่งการเช็คอีกเมล์ เขียนอีเมล์นี่แหละครับเป็นเครื่องมือหลักที่เราใช้กัน
อ้อ มีอีกเทคนิคนึงที่ผมชอบและนำไปใช้บ่อย ๆคือการกำหนด dead line ให้กับตัวเองครับ เนื่องจากว่างานบางงานคนให้งานเราเค้าไม่ได้บอกว่าเค้าอยากได้เมื่อไหร่ หรืองานบางงานมันใหญ่มาก ต้องเสร็จปีหน้า ถามว่าแล้วระหว่างนี้เราจะโฟกัสได้อย่างไร เค้าบอกให้ลองแบ่งงานใหญ่นั้น เช่น ทำ project นี้ให้จบปีหน้า ออกเป็นงานย่อย ๆ ก็คือให้เราทำแผนย่อยแยกออกมาครับว่าแต่ละกิจกรรมย่อย ๆ ต้องเสร็จเมื่อไหร่ แล้วเราก็จะโฟกัสได้ในแต่ละวัน
……………..
 
🎯 Energize
 
ในส่วนที่ 3 เค้าพูดถึงการเติมพลังงานครับ ให้เรามีพลังงานเต็มที่ในการทำงาน ซึ่งข้อนี้จริง ๆมันคือเรื่องพื้นฐานเลย เช่น เรื่องการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การรับประทานอาหารที่ดี การนอนหลับให้เพียงพอและมีคุณภาพ
2
แต่มีอยู่จุดนึงน่าสนใจ เค้าพูดถึงเรื่องของคาเฟอีนครับว่าเราจะ “Optimize Caffeine” อย่างไรตลอดวัน สำหรับคนทำงาน ผมว่าหลายคนทีเดียวครับรวมทั้งตัวผมเองด้วยที่ขาดคาเฟอีนไม่ได้ เหมือนจะขาดใจ 555 ถึงขนาดช่วง work from home ผมต้องลงทุนไปซื้อเครื่องชงกาแฟแบบแคปซูลมาไว้ที่บ้านเลยครับ
1
เค้าเล่าว่าคนเราตื่นนอนมา เราจะมีสารคอร์ติซอล (Cortisol) หลั่งออกมาครับ เค้าบอกว่าในช่วงที่สารตัวนี้หลั่งออกมามาก การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนจะไม่ค่อยช่วยเท่าไหร่ สมมุติว่าตื่นนอนประมาณ 6 โมงเช้า เค้าแนะนำให้เริ่มดื่มแก้วแรกประมาณ 9 โมงครึ่งครับ เพราะเค้าอ้างว่าคอร์ติซอลมันจะหลั่งมากสุดตอน 8-9 โมงเช้า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นมันก็แล้วแต่บุคคลด้วย คงไม่มีสูตรตายตัว เค้าก็พูดไว้เหมือนกันครับว่าสุดท้ายให้เราลองทดลองทำดูว่าเราดื่มเวลาไหนแล้วพลังงานในแต่ละวันของเราดีครับ แต่ทางดีที่อย่าดื่มหลังบ่ายสามโมงนะครับ เพราะมีความเสี่ยงสูงที่จะทำให้เรามีปัญหาการนอนหลับ
อีกสิ่งหนึ่งที่เกี่ยวกับการดื่มคาเฟอีนคือเค้าบอกให้เราลองดื่มในช่วงที่เราเริ่มง่วงเริ่มล้าครับ หลังจากดื่มให้งีบซัก 15 นาทีครับ (Caffeine Nap) ตื่นมาเราจะสดชื่นมาก เทคนิคในข้อนี้คงจะทำได้เฉพาะในช่วงพักเที่ยงนะครับ ถึงแม้ว่าจะ work from home กันก็ตามนะครับ 5555
……………..
🎯 Reflect
1
สำหรับข้อสุดท้ายเลยคือการทำ “Reflection” ก็คือพอหมดวันให้เราลองสังเกตตัวเองดูครับ แล้วดูว่าวันนี้เราเป็นยังไงบ้าง ทำอะไรได้ดี ทำอะไรได้ไม่ดี เราได้ทำ “Highlight” นั้นสำเร็จรึเปล่า เวลาที่เราใช้ทำจริงกับเวลาที่เราวางแผนไว้เป็นยังไงบ้าง เทคนิคไหนเราใช้แล้วเออมันเวิร์ค อันไหนลองแล้วไม่เวิร์ค แนะนำให้เขียนออกมาครับ คล้าย ๆ กับการทำ Journal เพราะถ้าเรานั่งนึกอย่างเดียวเดี๋ยวมันก็จะลืมครับ เพราะอะไร ก็เราทำ Reflection ก็เพื่อที่เราจะใช้นำไปปรับปรุงในวันต่อ ๆ ไปไงครับ 😊
1
📍 ต้องบอกว่าหนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือแนวเพิ่ม productivity ที่ค่อนข้างครบเครื่องเลยครับในทุกแง่มุม ใครชอบหรือยังไม่เคยอ่านแต่สนใจแนวนี้ เล่มนี้ค่อนข้างจะตอบโจทย์ครับ ผมให้คะแนน 8/10 ครับแล้วยังมีเทคนิคอีกหลายอย่างที่ผมยังไม่ได้เล่าแต่ก็น่าสนใจ
1
การมี productivity ในทุกวันนี้คงไม่ได้แค่หมายถึงการทำงานให้เยอะที่สุดเท่าที่จะทำได้แล้วนะครับ แต่มันน่าจะหมายถึงการใช้เวลาทำสิ่งที่มีคุณค่า ตอบโจทย์เป้าหมายของตัวเองและทำให้เรามีความสุขครับ
 
สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ คุณได้เริ่มทำมันแล้วรึยัง?
1
⏱ Start “Someday” Today ⏱
1
วันนี้ทุกคนได้ “Make Time” กันรึยังครับ?
#MakeTime #BookReview #สิงห์นักอ่าน
โฆษณา