15 ม.ค. 2021 เวลา 05:13 • ไลฟ์สไตล์
Ep5: ความลับของเด็กEP🤫
“ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น”
EP ย่อมาจาก English Program หรือที่คุ้นเคยกันในภาษาไทยชื่อว่า “โครงการภาคภาษาอังกฤษ”
เป็นที่ทราบกันว่านักเรียนที่เรียนในโครงการภาคภาษาอังกฤษจะใช้ภาษาอังกฤษในการเรียนการสอนทุกวิชา ยกเว้นวิชาภาษาไทยและวิชาศิลปะดนตรี และนาฏศิลป์ ในที่นี้หมายถึง ทั้งหนังสือ ทั้งภาษาที่ใช้ในห้อง สื่อการสอน และทุกๆอย่างที่อยู่ในตึกโครงการภาคภาษาอังกฤษ จะเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด รวมถึงคุณครูบางท่านเป็นคุณครูชาวต่างชาติ หลายชาติหลายสำเนียงกันเลยทีเดียว5555 หรือถ้าเป็นคุณครูชาวไทยก็จะเป็นครูที่เรียนจบมาจากต่างประเทศหรือจบ ดร. หรือจบในดีกรีอื่นๆ แต่สิ่งสำคัญคือต้องสอนเป็นภาษาอังกฤษ
ถึงแม้ว่าบางบทเรียนจะจำเป็นต้องใช้ภาษาไทยในการสอนหรืออธิบายเพิ่มเติม ก็ยังจำเป็นต้องสอบเป็นภาษาอังกฤษอยู่ดี
1
ถ้าหากว่ามองในด้านการเรียน EP ถือเป็นอีกหนึ่งหลักสูตรที่ดีมากๆๆๆ ที่สร้างบรรยายการใช้ภาษาอังกฤษตลอดทั้งวัน และนักเรียนยังได้ใช้ภาษาในหัวข้อต่างๆนอกเหนือจากชีวิตประจำวัน ทั้งชีวะ ทั้งคณิต ทั้งวิชาการอ่าน วิชาการแปล วิชาสังคม พละ สุข คอมพิวเตอร์ และอีกหลายๆวิชา
แต่วันนี้เราจะมาแชร์ความลับของเราอย่างหนึ่งในฐานะเด็กยักเรียน EP
สมัยเด็กตั้งแต่อนุบาล1-ป.6 เราเรียนในโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่งซึ่งเป็นภาคปกติ เรียนเป็นภาษาไทย ยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษที่ก็ต้องเป็นภาษาอังกฤษเนอะ555 แต่ก๋ยังใช้ภาษาไทยในการอธิบายอยู่ดี
ในตอนที่เราจะขึ้นม.1 ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวงเลยคือ คุณพ่อคุณแม่ อยากให้เราเรียนEP ที่โรงเรียนหญิงล้วนในนนทบุรี
คงเป็นเรื่งปกติของเด็กป.6ที่ติดเพื่อนยังอยากอยู่กับเพื่อนยังยึดติดกับสังคมเก่าๆ สังคมเดิมๆ แถมได้ข่าวว่าโรงเรียนนี้ต้องตัดผมสั้นติ่งหูด้วย🥲🥲🥲 ไม่อยากไปสุดๆ5555
พ่อแม่เราก็กล่อมเราอยู่นานจนสุดท้ายเราก็ติวหนังสือไปสอบเข้าและพบว่า เค้ายกเลิกกฎตัดผมสั้นไปแล้ว ถือเป็นเรื่องที่ดีอีกเรื่องหนึ่ง55555
การสอบเข้าก็เหมือนโรงเรียนอื่นๆที่ต้องสอบข้แเขียนและสอบสัมภาษณ์ เราจำได้ว่าครูที่สัมภาษณ์เรามาทราบหลังว่าเขาเป็นครูคณิตศาสตร์พื้นฐาน เค้าพยายามพูดช้ามากๆ และชัดมากๆให้เราเข้าใจเพราะตอนนั้นภาษาอังกฤษเราแค่หาข้าวกินคงยังไม่ได้แต่เก็งข้อสอบที่คิดว่าเขาจะถามไปแล้วเค้าก็ถามจริงๆ5555
หลังจากนั้นไม่นานผลสอบก็ประกาศและก็ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงแรกในชีวิตเราและของที่บ้านเรามากๆเนื่อฃด้วยเราเป็นลูกคนโต เราสอบติด!!!!
หลังจากสอบติดเราก็เริ่มอ่านหนังสือทวนก่อนเรียนแล้วก็ซื้อเครื่องแบบ ตอนนั้นเราตื่นเต้นมากเพราะไม่เคยคิดว่าจะได้ใส่ชุดม.ต้นแบบที่เป็นคอตัดและคอซองสีน้ำเงินเพราะของโรงเรียนเก่าเราเป็นเครื่องแบบคอนแวนต์ เรารู้สึกตอนเช้าไม่ต้องมานั่งถักเปียด้วยแค่มัดหางม้าและผูกโบก็จบเลย555
หลังจากนั้นก็เข้ากระบวนการมอบตัว จ่ายค่าเทอม ปฐมนิเทศ ปรับพื้นฐานและอื่นๆอีกมากมาย
วันแรกของการเข้าปรับพื้นฐานเราเหมือนต้องเรียนรู้ระบบใหม่ ว่าที่นี่เค้าเรียนกันยังไง เราต้องปรับพื้นฐานภาษา และละลายพฤติกรรมกับครูผู้สอนและเพื่อนในห้อง โรงเรียนเราดีอย่างหนึ่งคือคุณครูทุกคนสอนแบบต่างประเทศคือนีกเรียนเป็นศูนย์กลาง(ครูเป็นฝรั่ง) เราทุกคนสามารถยกมือถามตอบได้ตลอดเวลา ขอไปห้องน้ำก็ง่ายนิดเดียว เวลาดื่มน้ำก็ไม่ต้องขอ(โรงเรียนเก่าเราขอ แต่เราก็มองว่าเป็นการฝึกระเบียบ) ส่วนเพื่อนๆก๋คือนักเรียนใหม่กันหมดทำความรู้จักกันใหม่หมดเลย แล้วการปรับพื้นฐานก็ผ่านไปด้วยดี
หลังจากจบการปรับพื้นฐานมาแต่ละคนก็จะเริ่มรู้ระดับภาษาตัวเองในห้องเรียนแล้วมบางคนก็มาจากภาคปกอย่างเรา บางคนก็จบนอกมาแล้วมาเรียน EP แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเพราะเราช่วยกันเรียนมากๆ
(ในปรับพื้นฐานหัวข้อจะเป็นภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวัน ทำกิจกรรมอนะนำโรงเรียน)
คาบแรกของการเปิดเทอม เราจำได้ว่าเป็นวิชาคณิตศาสตร์ครูคนที่สัมภาษณ์เรานี่แหละ5555
2
พอเริ่มคาบเรียนผลปรากฏว่า “เราฟังไม่รู้เรื่องเลย” ไม่เข้าใจเลยสักกอย่างเดียว ว่าเค้าสอนอะไร คำศัพท์ในหนังสือก็อ่านไม่ออก teacher ก็เริ่มเรียกถาม บทเรียนแรกจำได้ขึ้นใจเลยเรียนเรื่องเศษส่วน แล้วเหมือนทุกอย่างเป็นเรื่องใหม่ คำศัพท์ที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์เราไม่รู้เลย ทำให้รู้ว่าที่ผ่านมาติวไม่ตรงจุดเลย คาบที่2ก็เรียนไม่รู้เรื่อง เพื่อนๆคนอื่นยกมือตอบๆๆกันระวิง เรานั่งเงียบๆอยู่อย่างงงๆว่าเค้าเรียนอะไรกัน มีวิชาเดียวที่เราพอจะตอบได้คือภาษาไทย
2
วันนั้นกลับบ้านไปเราท้อมากเราเข้าห้องไปนั่งร้องไห้ว่าเรียนไม่ไหว (เราบอกก่อนว่าในโรงเรียนเก่าเราถือเป็นนักเรียนที่เรียนดีคนหนึ่งไม่สอบตกไม่เคยได้เกรดไม่ดีเลยเรียนรู้เรื่องตลอด พอมาเจอแบบนี้เป็นการล้มครั้งแรกเลยช็อกไปนิดนึง555)
1
หลังจากอาทิตย์แรกที่เราท้อแท้กับการเรียนEP เราก็คิดได้ว่า เราต้องอยู่ไปอีก6ปี เราจะท้อแท้แบบนี้ไม่ได้ คนอื่นทำได้เราก็ต้องทำได้!!!
2
พอเราคิดได้แบบนั้นเราก็ตะบี้ตะบันอ่านหนังสืออย่างหนักหน่วง กลับบ้านมาเราก็ขึ้นห้องอ่านหนังสือ ช่วงนั้นน้ำหลักลงมากๆ คนอื่นทำ1เราต้องทำ3 เราท้อแท้มากๆที่เหมือนว่าอ่านไปก็ไม่มีผล แต่เราก็คิดว่าทำดีกว่าไม่ทำ
เราอ่านหนังสือฝึกภาษาไปเรื่อยๆประมาณเทอมนึงได้ จนวันนึงพ่อเราเปิดหนังภาษาอังกฤษแล้วเราไปนั่งดู ผลคือเราฟังนู้เรื่อง70%ได้เลย เกรดออกมาก็ไม่แย่ แล้วโรงเรียนเราจะสอบวัดระดับภาษาทุกเทอม ระดับก็ไม่แย่มาก โดยรวมคือสิ่งที่พยายามมามันมีผล
3
ภาษาอังกฤษเราพัณนาแบบก้าวกระโดด อีกอย่างคงเป็นเพราะครูเราเต็มใจที่จะสอนเราพอเรามีคำถามหลังเลิกเรียนก็ไปถามได้ แถมในคาบเคาก็คุยเล่นเป็นกันเองทำให้ความกลัวที่จะพูดภาษาอังกฤษ ของเราเริ่มลดลงแทนที่ด้วยความมั่นใจในการพูด พอเราพูดผิดแทนที่เขาจะดุเราเขาก็สอนเราให้พูดให้ถูก สอนออกเสียงสอนแกรมม่าทำให้เรามีกำลังใจมากๆ
3
เรียนไปเรียนมา ถึงแม้แต่ละปีจะมีอุปสรรคมีโปรเจ็คใหญ่แต่ละเทอมมีงานหินๆมาให้เราทำ มีเรื่องแปลกใหม่เกิดขึ้นตลอด แต่เราก็ผ่านมาได้จนถึงม.6 ปีนี้ก็ปีสุดท้ายแล้ว เราต้องย้อนกลับไปขอบคุณพ่อแม่ที่แกมบังคับให้เราเรียน ขอบคุณตัวเองในวันนั้นที่พยายามมากๆที่เชื่อฟังพ่อแม่ ขอบคุณบุคลากรทุกคนที่สอนเรา ขอบคุณเพื่อนๆๆที่ต้อนรับเราและช่วยกันเรียนจนรอดมาถึงม.6ด้วยเกรดที่ค่อนข้างดีมากๆ
2
เราอยากมาแชร์เรื่องราวนี้ของเราเพื่อเป็นกำลังใจให้คนที่กำลังท้อแท้ไม่ว่าจะกับเรื่องอะไร ทุกคนต้องเคยผ่านเรื่องร้ายๆมาแน่ๆ เราของเอาเรื่องของเราเป็นแรงบันดาลใจให้พยายาม ซักวันต้องเป็นวันของเราค่ะ
สู้ๆนะคะทุกคน✨✌️
ขอบคุณที่อ่านมาจนถึงตรงนี้นะคะ💖✨
2
โฆษณา