17 ม.ค. 2021 เวลา 01:09 • ประวัติศาสตร์
ความสัมพันธ์ไทย-รัสเซีย อดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ตอนที่ 2)
นอกจากนี้ ประเทศรัสเซียได้กล่าวว่าจะดำเนินการไกล่เกลี่ยอย่างเป็นเอกเทศโดยสมบูรณ์คือการที่ไม่เข้าข้างใครและไม่ขึ้นอยู่กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง และนายอา.เย โอรารอฟสกี้ จะต้องทำให้ผู้แทนฝรั่งเศสรู้จักความพอดีเพื่อทำให้ผู้แทนของประเทศฝรั่งเศสนั้นหันมาเอาใจใส่ต่อคำเรียกร้องอันชอบธรรมของประเทศสยามมากขึ้น และพยายามไม่ให้ประเทศฝรั่งเศสท้าท้ายประเทศอังกฤษเพราะถ้าประเทศฝรั่งเศสทำแบบนั้นแล้ว ก็จะทำให้ประเทศอังกฤษมีข้ออ้างในการดำเนินกลอุบายในบริเวณฝั่งแม่น้ำ (หอจดหมายเหตุการเมืองระหว่างประเทศ จักรวรรดิรัสเซีย หมวดจีน ต้นฉบับ
ภาษารัสเซีย. หมายเลขแฟ้มเอกสาร 103 (3-21)).
ดังนั้น การกระทำของท่านในทุกๆ ด้านที่กล่าวมาแล้วต้องมีลักษณะเป็นการไกล่เกลี่ยซึ่งสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของนโยบายของประเทศรัสเซียและสอดคล้องกับความจำเป็นในการขจัดข้ออ้างทุกอย่าง ซึ่งผู้ที่เป็นปรปักษ์กับประเทศรัสเซียใช้ใน\การแทรกแซงกิจการภายในของประเทศสยาม
ภาพเรือรบฝรั่งเศสขณะมุ่งสู่ปากน้ำเจ้าพระยาพร้อมเล็งปืนใหญ่เข้าหาพระสมุทรเจดีย์
และสาเหตุสำคัญที่ประเทศไทยต้องการดำเนินการทางการทูตกับประเทศรัสเซียก็เพราะว่า ได้เกิดเหตุการณ์การล่าอาณานิคมเพื่อขยายอิทธิของประเทศอังกฤษและ
ประเทศฝรั่งเศส เหตุการณ์ต่างๆ เหล่านี้เป็นปัจจัยที่สำคัญที่ทำให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตัดสินพระทัยเสด็จไปประพาสยุโรปเป็นระยะเวลานาน 9 เดือน ในระหว่างวันที่ 7 เมษายน จนกระทั่ง 16 ธันวาคม ปี ค.ศ. 1897 ซึ่งมันเป็นการแสดงให้เห็นถึงการดำเนินการทางการทูตเพื่อต้องการที่จะยกระดับฐานะของไทยและทำการแสวงหาพันธมิตรเพื่อคานอำนาจกับประเทศฝรั่งเศสและเพื่อให้ประ
จักษ์แก่สายตาของประเทศมหาอำนาจยุโรปว่า พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ทรงเป็นมิตรที่ดีและน่าเกรงขามของประเทศไทย เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงได้พบกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ในวันที่ 3-11 กรกฎาคม ปี ค.ศ. 1897 ทำให้นำไปสู่การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการระหว่างทั้ง 2 ประเทศเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ. 1897 เพื่อการใช้ประเทศรัสเซียมาช่วยถ่วงดุลอำนาจกับ
ทางประเทศอังกฤษและประเทศฝรั่งเศส
สยามต้องยอมเสียดินแดนแก่ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับการดำรงไว้ซึ่งเอกราช
จากนั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงเล่าถึงเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นกับเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ถึงเรื่องที่กำลังถูกคุกคามจากชาติมหาอำนาจในยุโรป ซึ่งก็หมายถึง ประเทศฝรั่งเศส โดยหลังจากนั้นทั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ทรงมีการฉายพระบรมรูปคู่กัน และหลังจากนั้นพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ได้ทรงมีรับสั่งให้นำภาพนี้ไปลงหน้าแรกของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับที่ออกในเมืองหลวงของประเทศต่างๆในยุโรป และเมื่อภาพนี้ได้ไปปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ที่กรุงปารีส ก็ได้เกิดผลในทันที เพราะประเทศฝรั่งเศสได้สั่งถอนกองทัพทหารของตนเองออกไปจากเมืองจันทบุรี และได้ยุติการรุนรานประเทศไทยนับตั่งแต่นั้นเป็นต้นมา
การกระทำของพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ 2 ครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงการดำเนินวิเทโศบายชั้นสูง หรือทรงแสดงการทูตชั้นเยี่ยม เพื่อยับยั้งการรุกรานประเทศไทยของชาติมหาอำนาจในยุโรป โดยแสดงให้ทั่วโลกเห็นประจักษ์ถึงความสัมพันธ์อันดีระหว่างพระกษัตริย์ของทั้ง 2 ประเทศ เท่ากับกับการประกาศให้ชาติอื่นๆ รับรู้ว่า “กษัตริย์องค์นี้เป็นเพื่อนของฉันนะ” ชาติที่คิดจะรุกรานประเทศไทยต่อไป ก็ต้องหยุดชะงัก เพราะในสมัยนั้น ประเทศรัสเซียเป็นที่น่าเกรงขามของชาติอื่นๆ ในยุโรป
แต่อย่างไรก็ตาม ประเทศรัสเซียก็ไม่สามารถแสดงบทบาทได้มากมายนักในความขัดแย้งระหว่างประเทศไทยและประเทศฝรั่งเศส เพราะประเทศรัสเซียเป็นพันธมิตรของประเทศฝรั่งเศส อีกทั้งยังต้องมีการพึ่งพาทางการเงินจากประเทศฝรั่งเศส ดังนั้นบทบาทของรัสเซียเป็นไปในเชิงสัญลักษณ์มากกว่าการกดดันทางการทูต เพราะประเทศรัสเซียเองก็ยังมีปัญหาทั้งภายในและภายนอก ประเทศรัสเซียจึงไม่สามารถ
แสดงบทบาทได้มากเท่าที่ประเทศไทยต้องการ
ภายหลังจากการปฏิวัติสังคมนิยม ความสัมพันธ์ของประเทศไทยและประเทศรัสเซีย ได้ยุติความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันลงชั่วคราว เพราะประเทศไทยได้หวั่นเกรงภัยคุกคามจากการปฏิวัติสังคมนิยม ทำให้ไทยขอส่งตัวผู้แทนทางการทูตที่ดูแลประเทศรัสเซียกลับมายังประเทศไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยกับประเทศรัสเซียได้มีความพยายามในการร่วมมือต่อกันในหลายๆ ด้าน เพื่อนำมาซึ่งการกระชับความสัมพันธ์ โดยมีกลไกความสัมพันธ์ทวิภาคีด้านการเมืองเป็นเครื่องผลักดันและนำไปสู่การพัฒนาความร่วมมือในสาขาอื่นๆ
ที่ลึกและรอบด้านมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ประเทศไทยและประเทศรัสเซียได้มีการจัดตั้งกลไกต่างๆเพื่อดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างกัน ทั้งกลไกทางการทูต การหารือประจำปีระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศไทย-รัสเซีย และการประชุมคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทวิภาคี (JC) ไทย-รัสเซีย ซึ่งเป็นกลไกถาวร นอกจากนี้ยังมีการแลกเปลี่ยนการเยือนในระดับต่างๆ และการประชุมความร่วมมือในกรอบ
พหุพาคี UN, ASEAN-Russia, ACD รวมทั้งกลไกอื่นๆ ที่นำมาใช้เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างกันในทุกระดับ
จากแนวนโยบายและความจำเป็นของทั้งไทยและรัสเซียทั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองจึงนำไปสู่การพยายามกระชับความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งของทั้งสองประเทศ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เกิดขึ้นนั้น แม้ไม่มีแรงกดดัน แต่ทั้งไทยและรัสเซียก็ต้องขยายความสัมพันธ์ไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ในกรอบของโลกาภิวัตน์อยู่แล้ว และขณะที่โลกในทางภูมิรัฐศาสตร์เปลี่ยนแปลงไป ประเทศเกิดใหม่เกิดขึ้นมากมาย จีน อินเดียและอาเซียนต่างก็มีบทบาททางการเมืองและเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นจึงถือว่าการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศรัสเซียจึงเป็นแนวโน้มที่ต้องเกิดขึ้นอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศรัสเซียในครั้งนี้ก็ถือว่ามีนัยยะทางการเมือง โดยไทยต้องการแสดงออกทางสัญลักษณ์ว่า ไทยก็ยังมีทางออกด้วยการพึ่งพาประเทศอื่นๆ นอกจากนั้นยังเป็นการแสดงออกถึงท่าทีต่อประเทศสหรัฐฯ ว่าประเทศไทยยังมีประเทศพันธมิตรอื่นๆ อีกด้วย ดังนี้การการกระทำที่แสดงถึงการบีบบังคับประเทศไทยมากเกินไป อาจจะทำให้ประเทศสหรัฐฯ หันกลับมาทนทวนความสัมพันธ์ระหว่างกันใหม่ เพราะประเทศไทยรู้ดีว่า ประเทศสหรัฐฯ กำลังถ่วงดุลอำนาจจากประเทศจีน (Pivot Asia) ดังนั้นการเป็นพันธมิตรกับประเทศไทยอย่างแนบแน่นจึงเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ
“ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับประเทศรัสเซียแม้จะมีเนื้อหาที่เป็นรูปธรรมของความเชื่อมโยงมากขึ้นจากในอดีต แต่สิ่งสำคัญตอนนี้คือประเทศไทยกำลังแสดงออกทางสัญลักษณ์ให้ประเทศสหรัฐฯ ได้รับรู้มากกว่า”
อ้างอิง: ภาคนิพนธ์ ความสัมพันธ์ ไทย-รัสเซีย ในกรณีศึกษา “การเปรียบเทียบปัจจัยการประพาสรัสเซียของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ในช่วงปี ค.ศ.1897) กับการเยือนรัสเซียอย่างเป็นทางการของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา (ในช่วงปี ค.ศ. 2014 - 2016) ชื่อผู้เขียน นางสาวลลิตา รวดเร็ว
โฆษณา