15 ม.ค. 2021 เวลา 02:07 • นิยาย เรื่องสั้น
"แม่แม่ ถ้าวันหนึ่งหนูโตขึ้น มีเงินเท่านี้ เท่าโลกเลยนะ หนูจะเลี้ยงดูแม่แม่เอง"
แก้วตา เด็กน้อยวัย 7 ขวบ ใบหน้าผอมเรียว มัดผมเปียสองข้างฝีมือแม่แม่ กำลังใช้มือทั้งสองทำท่าประกอบขณะนอนคุยกับแม่แม่ในมุ้งหลังเก่า ที่ไม่แน่ใจนักว่าแรกเริ่มมุ้งหลังนี้เคยเป็นสีอะไรมาก่อน
แม่แม่ ได้แต่อมยิ้มกับคำพูดเกินเด็กของลูกน้อย พร้อมกับลูบหัวเบาๆ
"หนูจะซื้อขนมเปียกปูนที่แม่แม่ชอบ ให้กินทุกวันเลย หนูจะซื้อบ้านและทำห้องกว้างๆ เพิ่มหน้าต่างหลายบานไปเลย แม่แม่จะได้หายใจโล่งๆ หนูจะซื้อดิน ซื้อจอบ ซื้อบัวรดน้ำไว้เยอะๆ ให้แม่แม่ปลูกผักที่แม่แม่ชอบ หนูจะซื้อไฟฟ้ามาไว้ในบ้านเราให้เต็มฝาบ้านไปหมดเลย หนูจะ....เอ่อออ...."
เด็กน้อยนิ่งคิดชั่วครู่ พูดขึ้นด้วยใบหน้าห่อเหี่ยวช่างต่างจากใบหน้าเมื่อครู่คล้ายมีอะไรไม่สบายใจ แล้วพูดว่า
"แต่แม่แม่รู้ไหมว่า หนูต้องทำอะไรหลอคะเรา 2 คนถึงจะมีเงินมากมายขนาดนั้นได้"
หญิงวัยสี่สิบต้นๆ อาศัยอยู่กับลูกสาววัย 7 ขวบ ในบ้านมุงสังกะสี ที่ไม่มีแม้กระทั่งไฟฟ้าใช้ พึ่งพาก็แต่โซล่าเซลล์อุปกรณ์แจกจ่ายจากทางการ หากวันไหนฝนตกหนัก แบตเตอรี่ที่กักเก็บจะมีไม่เพียงพอ สลับมาใช้ตะเกียงบ้าง เพียงเพื่อต้องการความสว่างยามค่ำคืนก็เท่านั้น
แม่แม่ชะงักกับคำถามลูกน้อย จู่ๆ น้ำใสๆ จากดวงตาทั้งสองเอ่อล้นเบ้าออกมา แต่ต้องรีบเอามือปาดอย่างไว เพื่อไม่ให้ลูกน้อยเห็น
"หนูอยากทำอย่างนั้นให้แม่แม่จริงๆหลอ"
แม่แม่เบี่ยงบ่ายการตอบคำถามลูกน้อย เธอรู้ตัวดีว่าไม่มีปัญญาตอบคำถามนี้ ขนาดจะส่งเสียให้ลูกได้เรียนหนังสือเหมือนเด็กคนอื่นๆ ยังไม่มีปัญญาเลย ทำได้แค่เอาเงินออมจากการรับจ้างทำขนมขายในแต่ละวัน เจียดไปซื้อสมุดภาพระบายสีบ้าง สมุดฝึกเขียนสำหรับเด็กอนุบาลบ้าง บางครั้งได้รับอุปกรณ์เครื่องเขียนเหลือใช้จากเพื่อนบ้านมาบ้าง แล้วแต่โอกาสจะมี
"ค่ะ หนูจะต้องหาเงินมาเยอะๆ เราจะต้องได้ไปเที่ยวทะเลด้วยไงคะ แม่แม่บอกหนูว่า แม่แม่อยากไปเที่ยวทะเล หนูก็อยากรู้เหมือนกันค่ะ ว่าน้ำทะเลมันเค็มอย่างที่อันดาบอกไว้หรือเปล่า"
อันดาเป็นเพื่อนข้างบ้านรุ่นเดียวกับแก้วตา เธอมักจะชวนแก้วตาไปเล่นที่บ้านอยู่บ่อยๆ อันดาเป็นเด็กน่ารัก ใจดี แถมครอบครัวอันดาชอบให้ขนมติดไม้ติดมือแก้วตากลับมาบ้านอยู่บ่อยครั้ง
แม่แม่ได้แต่มองใบหน้าอันไร้เดียงสาของลูกน้อยท่ามกลางไฟตะเกียงสลัวๆ
บทสนทนาของแม่ลูกลากยาวไปเรื่อยๆ จนทำให้แก้วตาลืมคำถามที่อยากรู้ก่อนหน้านี้ไป
เวลาล่วงเลยมาดึกมากแล้ว หญิงผู้เป็นแม่จึงเบรกบทสนทนาของลูกน้อยด้วยการเล่านิทานก่อนนอนให้ฟัง ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน
04:00น.
เป็นเวลาที่หญิงผู้เป็นแม่ต้องตื่นเป็นกิจวัตร เพราะต้องลุกไปรับจ้างทำขนมขายให้กับเพื่อนบ้านคนนึง ได้เงินพอประมาณที่สามารถเอาไปซื้อกับข้าว และเก็บหอมรอมริบได้เล็กน้อย
ก่อนที่เธอจะออกไปทำงาน เธอไม่ลืมทำอาหารเช้าไว้สำหรับลูกน้อยในทุกๆ เช้า
แก้วตาเคยชิน จึงทำให้สามารถลุกขึ้นมาจัดการตัวเองได้ แก้วตาตื่นนอนพร้อมกับจัดเก็บที่นอนเป็นระเบียบเรียบร้อย ลุกไปอาบน้ำ และกินข้าวเสร็จ ก็นั่งขีดๆ เขียน ลงบนสมุดภาพที่แม่แม่ซื้อให้ อีกใจนึงก็รอแม่แม่กลับมา ด้วยท่าทางชะเง้อออกไปตามถนนทางเข้าบ้านอยู่ถี่ๆ
ชะเง้อสักพัก เงาแม่แม่โผล่มา เด็กน้อยดีดตัววิ่งไปหาแม่แม่ พร้อมตะโกนออกไป
"แม่แม่กลับมาแล้ว แม่แม่กลับมาแล้ว"
ท่าทางดีใจฉบับเดิมที่เกิดขึ้นในทุกๆ เช้าหลังจากที่เห็นแม่แม่เดินกลับมา
"แม่แม่เหนื่อยไหมจ๊ะ"
ผู้เป็นแม่เมื่อได้เย็นคำนี้จากลูกน้อย ความเหนื่อยหายเป็นปลิดทิ้ง และวันนี้เธอก็มีข่าวดีมาบอกลูกน้อยสุดที่รักของเธอด้วย ดังนั้นเธอจึงเอ่ยถามหนูน้อยแก้วตาทันที
"แก้วตาลูก หนูอยากไปโรงเรียนเหมือนอันดาหรือเปล่า?"
หนูน้อยวางดินสอลง เงยหน้ามองไปยังแม่ของตน
"หนูอยากไปทุกวันเลยค่ะ แต่ถ้าแม่แม่ไม่มีเงินซื้อชุดนักเรียนกับกระเป๋าสะพายสีชมพู ก็ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูอยากอยู่กับแม่แม่มากกว่า นี่แม่แม่เห็นไหม หนูเขียน ก-ฮ ได้หมดแล้วนะ หนูเก่งไหมคะแม่แม่"
"จ้าหนูเก่งมากๆ เลยล่ะ ลูกแม่แม่น่ะเก่งที่สุดเลย"
เด็กน้อยยิ้มให้กับแม่แม่ด้วยฟันหลอ ช่างน่าขันเสียจริง
"พรุ่งนี้เราไปโรงเรียนกันนะ"
หญิงผู้เป็นแม่พูดด้วยรอยยิ้มพร้อมกับมองใบหน้าลูกสาว
วันนี้ขณะที่ช่วยทำขนม เพื่อนบ้านได้ชวนพูดคุยเรื่องแก้วตา เขาบอกว่าสงสารเจ้าหนู ไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนเพื่อนๆ เลยจะบริจาคชุดนักเรียนของหลานๆ ให้แก้วตา และเนื่องจากบ้านแก้วตาห่างไกลจากโรงเรียน เขาจึงให้ลูกชายไปช่วยรับส่งแก้วตาด้วย ถึงแม้จะอยู่คนละทาง แต่ด้วยความที่อยากให้แก้วตาได้รับโอกาสการศึกษาเหมือนเด็กคนอื่นๆ เขาจึงอาสาช่วยเหลือครอบครัวนี้
แก้วตาเข้าโรงเรียนไปประมาณ 1 เทอม ผลการเรียนของเธอดีมาก เธอสนุกกับการเรียน แก้วตาเป็นเด็กขยันเรียนจนสอบได้ลำดับที่ 2 ของห้อง ทุกคนแปลกใจมาก แม้กระทั่งครูประจำชั้นเองก็ตาม
แก้วตาเป็นเด็กเรียนเก่ง ประพฤติดี แต่ฐานะยากจน ด้งนั้นเธอจึงได้รับทุนการศึกษาประเภทเรียนดี จนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 แต่มีข้อแม้ว่าต้องรักษาระดับผลการเรียนและความประพฤติของตนเอง
หญิงผู้เป็นแม่ได้รับข่าวดี ถึงกับน้ำตาไหล โผเข้าไปกอดลูกน้อยด้วยความดีใจไร้ซึ่งคำบรรยาย
และแล้วบ้านแก้วตาก็ถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น มีไฟฟ้าใช้ สะดวกขึ้นมาระดับหนึ่ง เมื่อเทียบกับเมื่อก่อน
9 ปีผ่านไป....
แก้วตาเรียนจบม.3 แล้ว
แก้วตาโตเป็นสาวย่างเข้าสู่วัยรุ่น เธอเริ่มรู้จักความรัก เธอรู้จักกับเพื่อนผู้ชายคนนึง จึงตัดสินใจคบหาดูใจกัน
แต่แก้วตาไม่ได้บอกแม่ว่าเธอมีแฟน กลัวจะทำให้แม่ไม่สบายใจ
"แม่ ปีหน้าหนูขอเรียนต่อม.4 ในตัวเมืองได้เปล่า โรงเรียนนั้นเป็นโรงเรียนระดับจังหวัดเลยนะแม่ ใครจบจากที่นั่น สามารถสอบติดมหา'ลัยดังๆ เยอะเลยนะแม่ หนูอยากไปเรียนที่นั่นค่ะแม่"
แก้วตาอ้อนวอนแม่ สาเหตุที่นอกเหนือจากความต้องการของตนแล้ว ยังมีอีกหนึ่งสาเหตุที่เธออยากไปเรียนที่นั่น
คือชายที่เธอคบหากำลังจะย้ายบ้านไปอยู่ในเมือง และย้ายโรงเรียนที่เดียวกันกับที่เธอบอกแม่ไป
ในใจคนเป็นแม่ ไม่อยากให้ลูกอยู่ไกลตัว อยากเห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่อยากให้เราแม่ลูกต้องห่างกัน ไม่ว่าจะเป็นระยะทางหรือห่างทางความรู้สึกก็ตามแต่
แม่นิ่งคิดพักใหญ่ ก่อนที่จะตอบกลับไป
"ถ้ามันเป็นอนาคตที่ดีของลูก แม่ก็ไม่กล้าคั่นโอกาสของลูกหรอก เอาที่หนูคิดว่าดีต่ออนาคตหนูเลยจ่ะ"
แก้วตาเข้าไปเรียนโรงเรียนใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ที่นี่มีแต่การแข่งขัน ด้วยลักษณะนิสัยของแก้วตาแล้ว เธอเป็นคนขยัน ใฝ่เรียน และเพื่อรักษาผลการเรียนของตัวเองในข้อตกลงของทุนฯ ที่ได้รับ เธอจึงไม่ย่อท้อ ในที่สุดเธอก็เรียนจบม.6 ด้วยผลการเรียนที่ดีเยี่ยม และสอบติดคณะแพทยศาสตร์ตามที่เธอตั้งใจ
ย้อนไประหว่างที่เธอเรียนมัธยมปลายที่นี่ แม่มักจะโทรมาหาเธอบ่อยๆ เธอเรียนหนักจนพลาดการรับสาย หรือไม่ก็เบี่ยงรับสายอยู่เสมอ ไม่มีแม้กระทั่งโทรกลับไป บางครั้งแม่โทรมาถี่ๆ ด้วยความคิดถึงและเป็นห่วงลูกสาว เธอรับสาย พูดด้วยน้ำเสียงไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย จนทำให้แม่น้อยใจ แอบเสียน้ำตานับครั้ง
และในเวลาเดียวกันแก้วตาก็ได้เลิกรากับแฟนหนุ่มที่คบหาดูใจมา 4 ปี ด้วยสาเหตุใดไม่สามารถทราบได้
แก้วตากลายเป็นนิสิตคณะแพทยศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ชีวิตมหา'ลัย ยิ่งตอกย้ำความไม่มีเวลาว่าง แก้วตาเรียนหนักมาก จนกระทั่งลืมไปเลยว่ามีแม่คอยโทรหาถามสารทุกข์สุกดิบ ลืมไปเลยว่ามีใครคนนึงคอยอยู่ตลอดเวลา แก้วตากลายเป็นแก้วตาอีกคนที่ไม่เคยรู้จัก ตั้งแต่เธอตัดสินใจย้ายโรงเรียน เธอไม่ใช่แก้วตาคนเดิมอีกต่อไป
6 ปีผ่านไป ....
แก้วตาเรียนจบมหาวิทยาลัย คณะแพทยศาสตร์
ด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง
ผู้เป็นแม่ไม่สามารถเข้าร่วมแสดงความยินดีกับงานรับปริญญาของเธอได้ เนื่องจากแม่มีอาการป่วย หลายโรครุมเร้าจนทำให้ร่างกายทรุด
แก้วตาเพิ่งทราบข่าวการป่วยของแม่ก็ตอนที่เรียนจบแล้ว
จากเพื่อนบ้าน แต่แม่ยังยืนกรานว่าไม่เป็นอะไรมาก ยังสบายดี
หลังจากเรียนจบแก้วตาก็ได้ประจำอยู่โรงพยาบาลในเมืองใหญ่ จนไม่มีเวลากลับไปหาแม่
"แก้วตา สบายดีไหมลูก ไม่ต้องห่วงแม่นะ แม่สบายดี รู้ว่าลูกเหนื่อย แต่อย่าลืมกินข้าวด้วยนะ แม่เป็นห่วง"
ขณะนั้นแก้วตาหารู้ไม่ว่า ผู้เป็นแม่ที่กำลังคุยโทรศัพท์อยู่นั้น เธอถูกส่งตัวมารับการผ่าตัดโรงพยาบาลแห่งนี้
เธอไม่กล้าบอกแก้วตา เพราะกลัวรบกวนการทำงานของลูก
มีเคสฉุกเฉินเข้ามาพอดี ทำให้แก้วตาไม่ทันตอบแม่ แต่เธอรีบวิ่งไปยังผู้ป่วยรายนั้นทันที
วันต่อมามีข่าวจากห้องผ่าตัด มีเคสผู้ป่วยเสียชีวิต 1 ราย คนๆ นั้นคือ แม่แม่ของเด็กน้อยแก้วตาช่างพูดในวันนั้น ไม่มีใครรู้จักหน้าตาแม่ของแก้วตา จึงไม่มีใครแจ้งแก้วตาให้ทราบโดยตรง แต่ทันที่ที่แก้วตาได้เห็นชื่อของผู้ตาย เหมือนมีพายุก้อนมหึมากระทบตัวเธอทำให้เธอไร้เรี่ยวแรง เข่าทรุดลงกับพื้นโดยไม่รู้ตัว เธอตะโกนทั้งน้ำตา
"แม่!!!!!!!! หนูขอโทษ!!!!! หนูขอโทษ หนูขอโทษ.....ฮือๆๆๆๆ แม่....หนูขอโทษ!!!"
เธอพูดประโยคนี้อย่างสะอึกสะอื้น จนสลบไป
ไหนล่ะคำสัญญาที่เด็กน้อยคนนั้นเคยเอ่ยกับแม่แม่....
"หนูจะซื้อขนมเปียกปูนที่แม่แม่ชอบ ให้กินทุกวันเลย หนูจะซื้อบ้านและทำห้องกว้างๆ เพิ่มหน้าต่างหลายบานไปเลย แม่แม่จะได้หายใจโล่งๆ หนูจะซื้อดิน ซื้อจอบ ซื้อบัวรดน้ำไว้เยอะๆ ให้แม่แม่ปลูกผักที่แม่แม่ชอบ หนูจะซื้อไฟฟ้ามาไว้ในบ้านเราให้เต็มฝาบ้านไปหมดเลย"
ไหนบอกว่าจะเลี้ยงดูแม่แม่เอง ไหนบอกว่าจะพาแม่แม่ไปสัมผัสน้ำทะเล.....
ไหนเจ้าหนูแก้วตาคนเดิมคนนั้น หนูแก้วตาที่รักแม่คนนั้นไปไหนเสียแล้ว
📍หนุ่มๆ สาวๆ เอ๋ย เธออย่ามัวแต่วุ่นอยู่กับการเติบโตของตัวเอง จนลืมว่าใครคนหนึ่งก็กำลังแก่ลงเช่นกัน ยุ่งแค่ไหนก็พยายามมีเวลาให้ท่านบ้าง
ปล. หากคุณอ่านจนจบเรื่อง ขอแสดงความยินดีด้วย คุณคือนักอ่านตัวยง คุณคือนักอ่านเต็มตัวแล้ว📖
"คิดถึงแม่แม่จังเลยค่ะ"
โฆษณา