ในเมื่อช่วงนี้ยังไปเที่ยวต่างประเทศไม่ได้เนื่องจากโควิดยังคงระบาดอยู่ งั้นทางเพจขอเอาที่เที่ยวเก่ามาเล่าใหม่เผื่อเป็นไอเดียที่ท่องเที่ยวหลังช่วงโควิดสำหรับใครที่ผ่านมาเห็นก็แล้วกัน คืออย่างนี้ แอดมินเคยมีโอกาสไปเที่ยวที่นึง ที่ที่ไม่เคยคิดเหมือนกันว่าตัวเองจะได้ไป แต่ไปแล้วกลับหลงรักมากๆ อยากจะกลับไปอีกแน่ๆ อย่างที่ใครๆเขาว่าแหละ ว่ามาที่นี่ ถ้าไม่รักก็คงเกลียดเลย ที่ที่ว่านี้ก็คือประเทศอินเดีย
แอดมินได้ไปเที่ยวทั้งส่วนที่เป็นธรรมชาติสวยงามอย่างเลห์ และอินเดียภาคพื้นปกติที่คนส่วนใหญ่มักจะติดภาพความลำบากและไม่กล้าไปท่องเที่ยวกัน วันนี้แอดมินขอนำเสนอสวรรค์บนดินอย่างเลห์ ลาดัก (Leh Ladakh) ก่อนแล้วกัน
จริงๆที่ตัดสินใจไปเลห์เนี่ยเพราะมีความรู้สึกอยากไปที่แปลกๆสักครั้ง ที่ได้ผจญภัย ที่ๆได้เจออะไรที่คาดไม่ถึง ซึ่งก็คาดไม่ถึงสมใจอยากเลย บวกกับตอนนั้นมีเพจท่องเที่ยวพูดถึงเลห์เต็มไปหมด เลยตัดสินใจว่าจะไปเที่ยวเลห์นี่แหละ โดยไปเที่ยวเลห์ประมาณ 7 วัน และอินเดียภาคพื้นปกติ 2 วันเพราะอยากไปเห็นทัชมาฮาล ตอนแรกถามเพื่อนทั้งหมดที่มีในชีวิต ซึ่งก็ไม่ได้เยอะอ่ะนะ ก็ตามคาดไม่มีใครกล้าไปเพราะมันดูจะลำบากมากๆ คือทุกคนดูไม่อินกับการพาตัวเองไปในที่ที่ลำบาก (555+) เลยตัดสินใจว่าจะโพสใน IG อีกครั้ง ถ้าไม่มีใครไปก็คงจะต้องล้มเลิก ปรากฏมีเพื่อนคนนึงสนใจ และเพื่อนเอาทริปไปเสนอเพื่อนของเพื่อนต่อ ทำให้ได้สมาชิกครบ 5 คนและทริปนี้จึงเกิดขึ้น
เราจองสายการบิน Air India จากสุวรรณภูมิไปนิวเดลี และ Go Air จากนิวเดลี ไปเลห์ ซึ่งมันก็ส่อแววจะล่มอยู่หลายรอบ เนื่องจากสายการบินส่งเมลมาเลื่อนเวลาบ่อยมาก แล้วเรา 5 คน ทุกคนมีงานโกโก้ จะให้เปลี่ยนวันลาไปเรื่อยๆตามที่สายการบินส่งมามันก็ไม่ได้มั้ย ต้องส่งอีเมลไปวีนอยู่หลายรอบว่าเราไม่สามารถลางานได้จนสุดท้ายก็ได้ไปในเวลาใกล้เคียงเดิม
การไปเที่ยวเลห์มันเหมือนเป็น social detox อย่างนึงเลย เพราะไม่มีซิม และซิมซื้อยากถ้าไม่ใช่คนท้องถิ่น ไม่มีสัญญาณใดๆทั้งสิ้น ไวไฟก็ชีพจรอ่อนลมหายใจเฮือกสุดท้ายมากๆ อ่อนจนโพสอะไรไม่ได้ ดังนั้นเราจึงมีเวลาจดจ่ออยู่กับธรรมชาติและได้คุยเล่นกับเพื่อนๆอย่างจริงจัง คนที่เลห์ใจดีมากๆ ยิ้มแย้ม ทุกอย่างยังมีความดิบของธรรมชาติที่ไม่ว่าจะกดชัตเตอร์ยังไงมันก็สวย สวยโดยไม่มีอะไรกั้น สวยแบบไม่ต้องพึ่งมีดหมอ แต่อีกหน่อยเลห์อาจจะไม่ธรรมชาติมากขนาดนี้แล้ว เนื่องจากถ้าผันตัวไปเป็นเมืองท่องเที่ยวจริงจังก็คงต้องมีการก่อสร้างหลายๆอย่างรองรับนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น
แอดไปเที่ยวเลห์ตอนเดือนตุลาคม เราว่าเป็นช่วงที่ดีเลยนะ เพราะใบไม้เปลี่ยนสี และนักท่องเที่ยวน้อยเพราะมันเริ่มจะเข้าหน้าหนาว ส่วนใหญ่คนไทยจะไปเที่ยวช่วงเดือนพฤษภาคม – กรกฏาคม ที่อากาศกำลังดี แต่แอดชอบตุลาคมมากว่า เพราะใบไม้เปลี่ยนสีมันสวยมากจริงๆ แม้จะต้องแลกมากับสภาพอากาศอันหนาวเหน็บระดับปากแตกแล้วแตกอีก แม่สิตางค์ก็สั่งให่หยุดไม่ได้
ใครที่ยังมีกำลัง อายุยังไม่มาก ข้อเข่ายังดี และมีหัวใจนักสู้ มีความอดทนไม่ย่อท้อ ทนต่อสภาพอากาศอันหนาวเหน็บ (ตอนแอดไปก็มีตั้งแต่ 10 องศา จนถึงติดลบ 30 องศาเลย ยิ่งขึ้นสูงยิ่งหนาว) และความลำบากไหว (เช่นห้องน้ำ open air วิวร้อยล้าน) และสามารถนั่งรถยาวนาน ฝ่าฟันโค้งและสภาพดินลูกรังได้แนะนำให้มาเที่ยวเลห์กัน ไม่ผิดหวังแน่นอน แนะนำให้จ้าง local guide ขับให้นะ มันอันตรายมากจริงๆ เพราะมันคือเหว ต้องมีความชำนาญในการขับมากๆ ค่าไกด์ไม่แพงนะถ้าหารกับเพื่อนๆ จริงๆทริปอินเดียไม่แพงเลย ที่แพงที่สุดน่าจะตั๋วเครื่องบินแหละ แต่มันมีโปรออกมาบ่อยมากๆสำหรับอินเดีย
อาหารอินเดียมันก็ไม่ถูกปากคนไทยขนาดนั้นหรอก เพราะเครื่องเทศมันแรง แต่ส่วนใหญ่ที่เครื่องเทศแรงๆจะเป็นอินเดียภาคพื้นปกตินะ ส่วนอาหารเลห์มันจะคล้ายๆจีนบอกไม่ถูก เช่น ผัดมาม่า ข้าวผัดไข่ แต่ที่เด็ดสุดที่ยังไงก็ต้องกินคือชาชัยของอินเดีย มันจะเป็นชาใส่ผงมาซาร่าถ้าจำไม่ผิด ชาร้อนๆกินตอนอากาศหนาวๆ เอาเงินล้านมาแลกก็ไม่ยอมจริงๆ
ไปเลห์ครั้งนี้ สถานที่ที่แอดไปหลักๆก็จะมี Leh Palace, Leh Market, Nubra Valleh, Pangong Lake, Tsomoriri Lake (ที่นี่แหละที่ทำให้พบกับอากาศอมหิตลบ 30 องศา T^T), Hemis Monastry, Lamayaru Monastry, Shanti stupa และมีที่อื่นๆอีกตามทาง ระหว่างทางขณะนั่งรถก็ไม่น่าเบื่อเลยแม้ไม่มีอินเตอร์เน็ต เพราะวิวข้างทางสวยมากๆ ธรรมชาติสรรค์สร้างได้อย่างลงตัว มันสวยมากจริงๆนะ ถ้ามีโอกาสแอดมินกลับไปอีกแน่นอน ลองดูภาพเรียกน้ำย่อยไปก่อนนะ หลังโควิดใครมองหาที่เที่ยวอยู่ ลองนึกถึงเลห์ไว้เป็นตัวเลือกก็ได้ :)