18 ม.ค. 2021 เวลา 14:12 • กีฬา
แดง(ไม่)เดือดจริงหรือ !? | ลุงขี้บ่น
หลังเกมแดงเดือดในคืนวันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม 2021 ณ แอนฟีลด์ จบลงไป ด้วยผลสกอร์ 0 - 0 เรามา "บ่น" ในประเด็นของเกมคู่นี้ใต้โพสต์นี้กันได้เลยครับ
Picture : SkysSports
- เจ้าบ้านลิเวอร์พูลสถิติเล่นในบ้านในฤดูกาลนี้เรียกได้ว่าแข็งแกร่งและดีที่สุดในลีก (ชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 0) มาในระบบ 4-3-3 นำทัพมาโดย 3 ประสานแดนหน้าอย่าง ฟีร์มีโน่หัวหอก ขนาบข้างซ้ายขวาด้วย ซาดิโอ มาเน่ และ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กองกลาง 3 คนได้ ติอาโก้ อัลคันทาร่า กลับมายืนคุมเชิงในมิดฟิลด์ตรงกลาง พร้อมทั้ง จี้ดี้ ไวนัลดุม เซอร์ไพรส์ด้วยการให้ แจร์ดัน ชากิรี่ ออกสตาร์ทตัวจริง
- โดยตำแหน่งแบ็กโฟร์น้ัน คู่เซ็นเตอร์แบ็กได้ขยับเอากัปตัน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนจับคู่กับ ฟาบินโญ่ เป็นตัวเลือกแรกแทนที่ แนธาเนียล ฟิลิปส์ และ รายส์ วิลเลียม แบ็กซ้ายและขวาเป็น ร็อบโบ้ โรเบอร์สัน และ เทรนด์ อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ ผู้รักษาประตูเป็นจอมหนึบอย่าง อลิสัน เบ็กเกอร์
Picture : Pool via REUTERS
- ทีมเยือนปีศาจแดงนั้นก็ไม่น้อยหน้ามาเหยียบรังแอนฟีลด์ด้วยสถิติฤดูกาลนี้ในฐานะทีมที่เล่นนอกบ้านได้ดีที่สุดเช่นกัน (ชนะ 7 เสมอ 1 แพ้ 0)
- ทีมเยือนมาในระบบ 4-2-3-1 นำทัพมาโดย ดาบิด เดเคอา ผู้รักษาประตู แบ็กโฟร์เป็น ชอว์ - แฮรี่ แมกไกวร์ - วิคตอร์ ลินเดเลิฟ และ อารอน วานบิสซาก้า เซอร์ไพรส์แฟนบอลโดยการให้ วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ทำหน้าที่แทน เอริค ไบญี่ ที่ลงเล่นเป็นตัวจริงมาต่อเนื่อง
- สัมปทานแดนกลางมดงาน 2 คนคอยไล่บอล เฟร็ด จับคู่ สก็อต แมคโทมิเนย์
ตัวรุกแดนกลาง 3 ประสาน ฝั่งซ้ายเป็น อองโธนี มาร์กซิยาล ขวาเป็น พอล ป็อกบา ขับเคลื่อนเกมโดย บรูโน่ แฟร์นานเดส และ มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นหัวหอกศูนย์หน้า
- ผู้ตัดสินในเกมแดงเดือดวันนี้เป็น พอล เทียร์นีย์ สถิติในการลงตัดสินของ เชิ๊ตดำ ผู้นี้ค่อนข้างทำให้แฟนปีศาจแดง เรียกได้ว่า "อุ่นใจ" ขึ้นมาได้สักนิดหนึ่งนั่นก็คือ
ลงทำหน้าที่ตัดสิน แมนฯ ยูไนเต็ด 10 เกมหลัง เป่าให้จุดโทษปีศาจแดงถึง 5 ครั้ง !
- ส่วน "เดอะค็อป" นั้นคงไม่ค่อยสบอารมณ์กับตาเชิ๊ตดำผู้นี้สักเท่าไหร่ ด้วยสถิติสุด
ตรงข้ามกับปีศาจแดง ด้วยการตัดสินเกมที่ ลิเวอร์พูล ลงสนาม 11 นัด ชนะ 8 เสมอ 2 แพ้เพียง 1 นัด และไม่เคยเป่าจุดโทษให้เลย...
- อีกทั้งยังเป็นโจทก์เก่าสำหรับ เยอร์เกน คล็อป อีกด้วย
โดยเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นในเกมที่ “หงส์แดง” เอาชนะ แอสตัน วิลล่า ได้ 2-0 ประตู เมื่อฤดูกาลที่แล้ว ซึ่งในเกมนั้น คล็อปป์ ไม่พอใจและโวยแหลกใส่ เทียร์นี่ย์ ที่ไม่เปาฟาล์วให้ในจังหวะที่ จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม โดนสกัดล้มลง
- ซึ่งหลังจบเกม เทียร์นี่ย์ ก็ยอมรับว่าตนตัดสินผิดพลาดจริงแหละ แต่ก็ลืมๆ มันไป
เหอะ ใครๆ ก็พลาดได้ โดยกล่าวหน้าตาเฉยหลังจบเกมว่า “ใช่ ผมทำผิดพลาด ผมตัดสินผิด แต่ผมก็เหมือนนักเตะแหละ ทำพลาดกันได้ ลืมๆ มันไปเถอะ”
- เรียกได้ว่าก่อนเกมนั้นแฟน "เดอะ ค็อป" คงหัวร้อนกันตั้งแต่ก่อนไลน์อัพทีมนั้นจะโผล่มาเสียอีก..
Picture : Pool via REUTERS
- เริ่มเกมมา จังหวะยิงครัั้งแรกในเกมเป็นของทางฝั่งเจ้าบ้านเกิดขึ้นในนาที่ 14
ติอาโก้ ส่งบอลสั้นมาถึง ฟีร์มีโน่ เข้าเหลี่ยมเท้าขวาข้างถนัด หาช่องยิงติดบล็อค แฮรี่ แมกไกวร์ บอลปลิ้นมาเข้าทาง ร็อบโบ้ ซัดใต้บอลข้ามคาน อย่างน่าเสียดาย
- ถัดมาไม่กี่อึดใจในนาทีที่ 20
เป็นจังหวะซัดครั้งที่สองของเจ้าบ้าน ร็อบโบ้เลี้ยงตัดเข้าในจากริมเส้นฝั่งซ้าย ตวัดบอลเร็วให้ แจร์ดัน ชากิรี่ จับบอลหนึ่งจังหวะ บริเวณหัวกะโหลก ซัดด้วยซ้ายข้างถนัดบอลติดบล็อค แฮรี่ แมกไกวร์ ออกหลังไปแบบมีลุ้นชนิดที่ ดาบิด เดเคอา ต้องพุ่งเช็คเสา
- จังหวะน่าได้ประตูขึ้นนำของลิเวอร์พูลในครึ่งแรกมาในนาทีที่ 22
จากจังหวะสวนกลับ เทรนท์ วางบอลยาวให้ ซาดิโอ มาเน่ เอาชนะกับดักล้ำหน้ามาได้ พักบอลลงแล้วไหลให้ ฟีร์มีโน่ ที่วิ่งสอดมาจากทางด้านซ้ายล็อคบอลเข้าขวาหนึ่งจังหวะ ก่อนจะซัดติดเท้า ลินเดเลิฟ อย่างหวุดหวิด บอลเป็นใจกระดอนมาเข้าทาง ซาลาห์ วิ่งมาวอลเลย์ด้วยซ้าย บอลหลุดออกนอกกรอบ
- ทีมเยือนได้ลุ้นจากฟรีคิกระยะบริเวณหน้าหัวกะโหลกเยื้องไปทางซ้ายของประตู จากการตัดเกมส์ของ ชากิรี่ ในจังหวะนี้ทำให้เจ้าตัวได้รับใบเหลืองแรกในเกม
และเป็น บรูโน่ แฟร์นานเดส รับหน้าที่สังหารลูกยิงฟรีคิก บอลข้ามกำแพงแต่หลุดกรอบออกอย่างน่าเสียดาย ถือเป็นโอกาสยิงครั้งแรกและครั้งเดียวในครึ่งแรกของทางฝั่ง "ปีศาจแดง"
Picture : Pool via REUTERS
- เกมในครึ่งเวลาแรกนั้นส่วนใหญ่เป็นของฝั่งเจ้าบ้านลิเวอร์พูลที่ได้เดินหน้าบุกเข้าใส่อย่างดูดีและมีหมัดเด็ดมากกว่าทางฝั่งทีมเยือนอย่างเห็นได้ชัด ทั้งเปอร์เซ็นต์การครองบอลที่เหนือกว่่า 67% ต่อ 33% โอกาสยิงเจ้าบ้าน 9 ครั้ง (เข้ากรอบ 1) ทีมเยือน 1 ครั้ง (เข้ากรอบ 0)
- เจ้าบ้านในครึ่งแรก เน้นการครองบอล เล่นบอลกับเท้าได้ดีเป็นจุดแข็งของ ลิเวอร์พูล เสมอมา ใช้การแปะชิ่งหน้ากรอบเขตโทษเพื่อทำเกมและใช้การยิงจากแถว 2 ในหลายๆจังหวะ จี้ดี้ ชากิรี่ ฟีร์มีโน่ ซาลาห์ ล้วนได้โอกาสยิงกันทั้งสิ้น แต่ยังเปลี่ยนเป็นสกอร์ไม่ได้จนจบครึ่งเวลาแรก
- ทีมเยือนในครึ่งเวลาแรก เน้นการตั้งรับและรอสวนกลับตามแบบฉบับที่ถนัด โดยใช้ความเร็วจาก มาร์คัส แรชฟอร์ด เป็นหลัก แต่ไม่สามารถเอาชนะกับดักล้ำหน้าได้ โดยมีการล้ำหน้าของทางฝั่ง แมนยูฯ ในครึ่งแรกถึง 8 ครั้ง
- ครึ่งเวลาหลังจังหวะน่าขึ้นนำของทางปีศาจแดง ในนาทีที่ 75
จังหวะ แรชชี่ เก็บตกบอลได้ทางฝั่งซ้ายเลี้ยงจี้ เทรนท์ ก่อนเปิดให้ชอว์ที่เติมเกมขึ้นมา ครอสกลับไปยังจุดนัดพบให้ บรูโน่ แปด้วยขวาเน้นๆบอลตรงกรอบแต่ อลิสัน เบ็กเกอร์ สุดยอดกว่าด้วยการใช้เท้าซ้ายเซฟบอลให้รอดพ้นจากอันตรายไปได้
- ถัดมาในนาทีที่ 77 โอกาสทองของเจ้าบ้านก็มาถึง
ติอาโก้ อัลคันทาร่า พาบอลหนีตัวประกบอย่าง เฟร็ด ได้อย่างสวยงามก่อนเจ้าตัวจะลากมาบริเวณเกือบหัวกะโหลก ซัดบอลด้วยขวาเต็มแรง บอลพุ่งผ่านกองหลังแต่ยังไม่วาย ดาบิด เดเคอา โชว์ซูเปอร์เซฟกระโดดทุบบอลออกหลังจากลูกยิงของเพื่อนร่วมทีมชาติเอาไว้ได้ ออกแรงซูเปอร์เซฟกันไปคนละฝั่งสำหรับนายทวารทั้งสอง ถือเป็นจังหวะที่น่ากลัวและเป็นจังหวะที่จะแจ้ง น่าได้ประตูมากๆสำหรับลูกยิงไกลของ ติอาโก้ ในจังหวะนี้
- อลิสัน เบ็กเกอร์ ต้องรับบทหนักขึ้นในช่วงท้ายเกม นาทีที่ 82
อารอน วานบิสซาก้า พาบอลตะลุยขึ้นมาทางด้านขวาเปิดบอลตัดเข้าในแฉลบ ร็อบโบ้ บอลมาเข้าทางปืนของ พอล ป็อกบา จับบอลจังหวะแรกได้สวยงามก่อนจะตะบันด้วยขวาข้างถนัด บอลพุ่งแรง ชนิดที่ว่าแฟนบอลปีศาจแดงเฮไปก่อนแล้ว
แต่ไม่เป็นเช่นนั้นกับการปฎิเสธด้วยลูกยิงด้วย ซูเปอร์เซฟของนายด่าน อลิสัน เบ็กเกอร์ ทุบบอลออกไปอย่างเหลือเชื่อ ถึงแม้จะเป็นลูกยิงที่ตรงตัว แต่ต้องถือว่าปฎิกิริยาของ อลิสัน นั้นทำได้อย่างดีเยี่ยม ปัดลูกยิงออกไปให้พ้นดาบสองได้อย่างหวุดหวิด
- จบเกมทั้งสองทีมทำอะไรกันไม่ได้ผลเสมอ 0-0 แบ่งแต้มกันไป
แต่เรียกได้ว่าเป็นเกมแดงเดือดที่ไม่น่าเบื่อ เป็นบอลแท็คติคแต่ก็เรียกได้ว่ามีจังหวะให้ลุ้นกันทั้งสองทีม เชื่อได้เลยว่าแฟนบอลของทั้งสองทีมนั้นก็มีจังหวะร้อนๆหนาวๆ ไปตามๆกันในแต่ละจังหวะ เรามา "บ่น" ถึงประเด็นต่างๆในเกม และ MOM ของเกมส์แดงเดือดคู่นี้ในมุมมองขอ ลุงขี้บ่น กันครับ
1| 3 ประสานในแดนหน้าของลิเวอร์พูล ทำประตูกันไม่ได้มาติดต่อกันถึง 3 เกมติด
4 เกมหลังสุดลิเวอร์พูลยิงได้ 1 ประตู ใน 20 ทีมของพรีเมียร์ลีก ไม่มีทีมไหนยิงได้น้อยขนาดนี้ในช่วง 4 นัดหลัง โดย 1 ประตูที่เกิดขึ้นล่าสุดกับ ลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีก คือเกมที่เจอกับ เวชบรอมวิชอัลเบียน โดย ซาดิโอ มาเน่ เท่ากับว่า 3 ประสานในเกมรุกของลิเวอร์พูลนั้น ยิงไม่ได้รวมกันในพรีเมียร์ลีก 3 เกมติดต่อกัน (นิวคา่สเซิล , เซาธ์แธมตันท์ และ แมนยูฯ) นี่คือหนึ่งในสิ่งที่ คล็อป และ 3 ประสานนั้นต้องปรับจูนกันให้เข้าที่เข้าทางให้เร็วที่สุด
เกมนี้ลิเวอร์พูลยิงรวมกันทั้งเกม 17 ครั้ง ตรงกรอบ 3 ครั้ง หลุดกรอบ 3 ครั้ง และติดบล็อค 8 ครั้ง แบ่งเป็น ยิงในกรอบเขตโทษทั้งหมด 9 ครั้ง ในกรอบ 6 หลา 2 ครั้ง และในกรอบเขตโทษ 7 ครั้ง ยิงนอกกรอบเขตโทษ 8 ครั้ง โอกาสยิงเยอะที่สุดในทีมลิเวอร์พูลเป็นของ ฟีร์มีโน่ มากถึง 5 ครั้ง แต่ไม่สามารถเปลี่ยนเป็นประตูได้
Picture : Siamsports
2| เกมรับจำเป็นของของฟาบิญโญ่ และ เฮนโด้
ทั้ง 2 คนไม่ใช่ เซ็นเตอร์แบ็ค มืออาชีพแต่ถือว่าทำได้ดีในเกมเมื่อคืนที่ผ่านมา จัดการกับกองหน้าความเร็วสูงทั้ง มาร์กซิยาลรวมไปถึง แรชชี่ ได้อยู่หมัด รวมไปถึงความสุดยอดของ อลิสัน เบ็กเกอร์ ที่เซฟลูกยิงสำคัญในครึ่งเวลาหลังไปถึง 2 จังหวะเน้นๆ ส่วนเทรนท์ นั้นยังดูเสียความมั่นใจจากเกมที่แล้วอยู่พอสมควร มีจังหวะโหม่งคืนหลังพลาดจนเสียเตะมุมในนาทีที่ 51 แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไรมากนัก ในส่วนเกมรุกนั้นยังสามารถทำได้ดีมีจังหวะเติมขึ้นไปยิง วางบอลยาว เรียกได้ว่าในเกมรุกนั้นสามารถรักษามาตรฐานได้อย่างดี
3| แผงแบ็กโฟร์ของ ยูไนเต็ด ถือว่าทำได้ดีโดยเฉพาะ แฮรี่ แมกไกวร์ มีสถิติที่สำคัญคือการบล็อคลูกยิงไปทั้งหมด 5 ครั้งในเกมเดียวสูงที่สุดในสนาม ซึ่งลูกบล็อคสำคัญเกิดขึ้นในนาทีที่ 59 ที่ฟีร์มีโน่เข้าชาร์จลูกครอสจาก ร็อบโบ้ รวมไปถึง วิคตอร์ ลินเดเลิฟ ที่กลับมายึดตำแหน่งตัวจริงก็ทำผลงานได้ดีในเกมนี้โดยมีจังหวะเคลียร์บอลมากที่สุดในสนาม อยู่ที่ 9 ครั้ง รวมไปถึง อารอน วานบิสซาก้า และ ลุค ชอว์ ที่จัดการทั้ง ซาดิโอ มาเน่ และ ซาลาห์ ได้อย่างอยู่หมัด
Picture : Pool via REUTERS
4| Man of the Match
Whoscored นั้นได้ให้ ติอาโก้ อัลคันทาร่าเป็น MOM เรทติ้งสูงถึง 8.5 โดยตัดบอลได้มากที่สุดในสนามถึง 6 ครั้ง แท็คเกิ้ลมากที่สุดของทีมลิเวอร์พูล 6 ครั้ง รวมไปถึงสร้างโอกาสยิงให้ทีม 2 ครั้งโดยใน 1 ใน 2 ครั้งนั้นเป็นลูกยิงไกลนอกกรอบเขตโทษที่ทำให้ เดเคอา ต้องบินปัด
สำหรับ ลุงขี้บ่น แล้ว ขอยกให้ แฮรี่ แมกไกวร์ เป็น MOM โดยมองว่าการที่กัปตันทีม ในแดนรับสร้างผลงานการเล่นลูก Open play ได้อย่างสวยสดงดงาม ตามที่ได้กล่าวไปในหัวข้อก่อนหน้า สำหรับแมกไกวร์นั้น อาจจะมีช่วงที่ฟอร์มแกว่งไปบ้าง แต่ในฤดูกาลนี้ในพรีเมียร์ลีกทุกนัด แฮรี่ แมกไกวร์คือยืนหนึ่งในเรื่องแนวรับ ทุกนัด ถ้าไม่เจ็บต้องมีกัปตันคนนี้เสมอ
5| ตัวสำรอง
- โอเล่ กุนนาร์ โซลชาร์ ใช้โควต้าเปลี่ยนตัวทั้งหมด 2 คน เอดิสัน คาวานี่ แทน มาร์กซิยาล ในนาทีที่ 60 และ กรีนวู้ด แทน บรูโน่ ในนาทีที่ 89
จะเห็นได้ว่า มาร์กซิยาล มีอาการเหมือนไม่ฟิตเต็มถังเนื่องจากเกมที่พบเกมเบิร์นลี่ล่าสุด มีอาการเจ็บแฮมสตริง แต่ผ่านเช็คฟิตขั้นสุดท้าย โซลชาร์ เลยไว้ใจให้ลงตัวจริง แต่อย่างที่เห็นว่า ไม่สามารถใช้ความเร็วในการทำลายเกมของคู่ต่อสู้ได้มากนัก
คาวานี่ลงมาทำเกมรุกในแดนหน้าดูวูบวาบกว่าตอนมี มาร์กซิยาล อยู่ในสนามด้วยการวิ่งฉีกตัวประกบ วิ่งทำทาง รวมถึงวิ่งไล่บอลในแดนหน้า ส่วน เมสัน กรีนวู้ด ลงมาในสนามไม่ถึง 10 นาที ไม่มีเวลาทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันมากนัก
- ทางฝั่ง เยร์เก้น คล็อป นั้นส่ง เคอธิส โจนส์ลงมาแทน แจร์ดัน ชากิรี่ ในนาทีที่ 76 , ดิว็อค โอริกี แทน ฟีร์มีโน่ นาที 85 และ เจมส์ มิลเนอร์ แทน จี้ดี้ นาที 89
โจนส์ ลงมากระชากลากเลื้อยแทน ชากิรี่ ที่มีใบเหลืองติดตัว รวมไปถึง โอริกี ที่ใช้ความแข็งแกร่ง ความใหญ่ เบียดกองหลังปีศาจแดง ในช่วงเวลาที่เหลือได้ค่อนข้างดี
6| จังหวะแรชฟอร์ดควรเลี้ยงหรือควรจ่าย ?
นาทีที่ 81 บรูโน่จ่ายทะลุมาให้แรชฟอร์ด วิ่งแซนเฮนโด้มา จากภาพเราจะเห็นว่า คาวานี่ วิ่งทำทางไปทางด้านซ้ายของ แรชชี่ ให้แล้ว เพียงแต่แรชเลือกที่จะ เลี้ยงตัดออกด้านขวา ทำให้มุมไม่เพียงพอต่อการยิงและส่ง จนทำให้คาวานี่ออกอาการหัวเสีย
โดยส่วนตัวของ "กระผม" นั้นคิดว่าจังหวะนี้คนที่ควรชมมากที่สุดคือ "หมอปลา ฟาบิญโญ่" ครับ ฟาบิญโญ่เลือกที่จะไม่พรวดในจังหวะแรกเพราะรู้ว่าถ้า แรชชี่ แทงจังหวะเดียวก็จะมีโอกาสหลุดไปดวลเดี่ยวกับ อลิสัน ได้เลย แต่ประคองเพื่อให้ ร็อบโบ้ วิ่งสอดไปเพื่อจะให้ตัวเองอยู่ในตำแหน่งที่เล่นถนัด เพราะว่า แรชฟอร์ด ถนัดเท้าขวา ไม่มีทางที่ แรชฟอร์ดจะเลี้ยงตัดเข้าไปด้านซ้ายนอกจากจะจ่ายจังหวะแรกให้ คาวานี่
ซึ่งก็ถือได้ว่าเป็นประเด็นที่น่าถกเถียงกันมากที่สุดสำหรับแฟน ปีศาจแดง อยู่เหมือนกัน เพราะจังหวะเล็กน้อยเพียงไม่กี่จังหวะ หากอยู่กับคนที่ใช่ในจังหวะที่ใช่จริงๆ
อย่าง เอดิสัน คาวานี่ เพียงแค่ 1 จังหวะเท่านั้น กองหน้าผมสลวยอาจเปลี่ยนให้เป็นประตูชัยได้ในทันที
Picture : Twitter (Mr. Bose @DieforUTD)
7 | ผล 0-0 แบ่งแต้มแต่ปีศาจแดงยังคงรั้งฝูง
ปีศาจแดง ยังคงรั้งตำแหน่งจ่าฝูงมีแต้มอยู่ที่ 37 คะแนน ส่วน หงส์แดง หล่นไปอยู่อันดับ 4 มี 34 คะแนน คู่แข่งที่น่ากลัวในการชิงจ่าฝูงคงต้องเป็น แมนฯซิตี้ อย่างแน่นอน เมื่อ แมนฯซิตี้ อยู่อันดับ 2 มี 35 คะแนน แต่แข่งน้อยกว่า แมนฯยู 1 นัด นั่นหมายความว่า ถ้าชนะนัดตกค้างได้ แมนฯซิตี้ จะถีบปีศาจแดงลงจากตำแหน่งจ่าฝูงในทันที ฉะนั้นการเสมอในค่ำคืนที่ผ่านมาอาจเป็นผลดีต่อทั้ง ปีศาจแดง และ หงส์แดง แต่ผู้ที่ได้เปรียบที่สุดในการเสมอครั้งนี้ดูท่าจะเป็น "เรือใบสีฟ้า" เสียแล้ว ยังไม่ได้นับรวมถึง "จิ้งจอกสยาม" ที่ฟอร์มร้อนแรงอย่างต่อเนื่องหลังจากได้ผู้เล่นตัวหลักกลับมาลงสนามพร้อมสรรพอีก โดยแข่ง 18 นัด เท่าแมนฯยู มี 35 คะแนน ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญเช่นกัน
มีความคิดเห็นอย่างไรบ้างครับ สำหรับเกมแดงเดือดเมื่อคืนที่ผ่านมา เพื่อนๆทุกคนสามารถแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างเต็มที่ พื้นที่ใน Blockdit นี้ของ "ลุงขี้บ่น" เปิดให้สำหรับทุกคนที่อยาก บ่น กันได้แบบเต็มๆ แต่ขอให้อยู่บนพื้นฐานของการเคารพความคิดเห็นซึ่งกัน ใช้ถ้อยคำสุภาพกันด้วยนะครับ
บทความโดย : ลุงขี้บ่น
#liverpool #manutd #ลุงขี้บ่น
โฆษณา