18 ม.ค. 2021 เวลา 03:44 • ประวัติศาสตร์
หนีทาส สุดขอบฟ้า
หนีทาส สุดขอบฟ้า
"ห้ามมิให้ผู้ใดพาทาสผิวดำขึ้นรถไฟไปจากที่นี่ โดยไม่ได้รับอนุญาต!"
เมื่อสิ้นเสียงเจ้าหน้าที่ ณ ชานชาลาอันคราคร่ำไปด้วยฝูงชน แต่ทุกอย่างกลับเงียบสงัดสำหรับเราสองคน ท้องฟ้าที่เคยสดใสพลันเปลี่ยนเป็นสีขาวหม่น หัวใจเราเต้นแรงจนแทบเอ่อล้น
ฤา เส้นทางแห่งอิสรภาพจะจบลงตรงนี้
สุดท้ายก็คงต้องกลับไปถูกกดขี่ พลีชีวิตให้นายทาส
ได้ค่าตอบแทนเป็นแส้ฟาด และตายจากไปอย่างอนาถ
ย่อยสลายกลายเป็นแร่ธาตุ กลับคืนสู่ธรรมชาติอย่างขมขื่น
ภาพแฟลชแบคทั้งหลายประดังประเดเข้ามาในห้วงเวลาสุดท้ายของทาสหนีตายทั้งสองคน เรื่องราวตั้งแต่เกิด เติบโต โดนกดขี่ ย้อนกลับมาให้เห็นทีละฉาก
ท่านผู้อ่านครับ สวัสดีปีใหม่ และขอเชิญท่านขึ้นรถไฟท่องไปในอดีตกับย่อยประวัติ เพื่อย้อนดูเรื่องราวของ William และ Ellen เมื่อ 180 ปีก่อน กับการหนีตายออกจากดินแดนแห่งเสรีภาพที่มีการค้าทาสรุนแรงที่สุดในโลก
อย่ารอช้า ไปกันเลยครับ
.
.
ระบบทาสในอเมริกาเกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1619 หรือเมื่อราว 400 ปีก่อน ทาสอัฟริกันกลุ่มแรกจำนวน 20 คนซึ่งชาวอังกฤษซื้อมาจากเรือค้าทาสโปรตุเกสขึ้นฝั่ง ณ เมือง Jamestown, รัฐเวอร์จิเนีย
ชาวยุโรปที่ย้ายมาตั้งรกรากบนแผ่นดินโลกใหม่หรืออเมริกาในตอนแรกมีข้ารับใช้ติดตัวมาด้วย เป็นพวกคนยุโรปที่มีฐานะยากจน ต่อมาจึงเกิดความสนใจในตัวทาสผิวดำ เพราะแข็งแรง อึด ทนทาน มีข้อได้เปรียบทางร่างกาย สามารถใช้งานได้ดีกว่าคนรับใช้เดิม
วงการค้าทาสจึงถือกำเนิดขึ้นและได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว จากทาสกลุ่มแรก 20 คน เมื่อมาอยู่แผ่นดินใหม่ก็ให้กำเนิดลูกหลาน ซึ่งแน่นอน ทุกคนเกิดมาพร้อมกับความเป็นทาส รวมถึงมีการไปไล่จับทาสจากอัฟริกามาเพิ่มเรื่อยๆ จนเมื่อราวปี 1750 ว่ากันว่ามีทาสอยู่ในอเมริกาถึง 6 ล้านคนทีเดียว
ไม่นานก็เกิดสงครามระหว่างอเมริกากับอังกฤษ หรือที่รู้จักกันในนามสงครามประกาศอิสรภาพ (The Revolutionary War) ระหว่างปี 1775-1783 เหล่าทาสผิวดำจำนวนมากพร้อมใจเข้าร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝั่งอเมริกาในสงครามอันดุเดือด จนได้รับชัยชนะและประกาศตั้งประเทศได้ในที่สุด
หลังจบศึกหลายปี อะไรๆ ก็ดูดีขึ้นสำหรับทาสผิวดำ ด้วยเป็นเพื่อนแท้และสหายร่วมรบของชาวอเมริกัน ทำให้รัฐทางตอนเหนือเริ่มคิดได้ว่า การที่เราไปกดขี่ทาส มันช่างไม่ต่างอะไรกับอังกฤษที่เคยกดขี่เราเลย เพราะฉะนั้น เรื่องพวกนี้จำต้องหมดไปจากแผ่นดินเรา รัฐฝ่ายเหนือจึงประกาศ
"ไม่เอาอีกแล้วการค้าทาส"
แต่รัฐทางใต้หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ประเทศอังกฤษที่เคยรบกันเอาเป็นเอาตายขณะนี้เข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมและมีความต้องการผ้าฝ้าย (Cotton) เป็นจำนวนมาก ซึ่งผ้าฝ้ายนี้นิยมปลูกกันทางตอนใต้ของอเมริกา ทำให้หลายรัฐเห็นโอกาสทำกำไรจากมัน แต่ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นต้องใช้แรงงานเพิ่ม ด้วยปัจจัยนี้เอง ตลาดค้าทาสจึงกลับมาบูมอีกครั้งในรัฐตอนใต้
และถึงแม้รัฐสภาสหรัฐจะผ่านกฏหมายห้ามนำเข้าทาสจากอัฟริกาในปี 1808 แต่ก็ไม่สามารถหยุดยั้งเทรนด์การค้าทาสภายในประเทศได้เลย
.
ประชากรทาสมีมากถึง 30% ของประชากรรัฐตอนใต้ทั้งหมด ส่วนมากใช้ชีวิตอยู่ในไร่ผ้าฝ้าย ถูกบังคับให้ทำงานหนักทั้งวันทั้งคืน เจ้านายส่วนใหญ่จะมีทาสในสังกัดประมาณ 50 คน
ชีวิตทาสไร่เริ่มต้นตั้งแต่เช้ามืดในกระท่อมเล็กๆ กลางไร่ฝ้ายที่ไม่มีอะไรเลยนอกจากเตียงไม้แข็งหลังหนึ่ง ทาสจะอาบน้ำ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าเก่าขาดวิ่น และออกมาทำงานไร่ตั้งแต่ตะวันขึ้นยันตะวันตก
ทาสจะอยู่ในสายตาของผู้คุมทาสผิวขาวซึ่งเป็นลูกน้องของเจ้านายทาสอีกที ระหว่างวันพวกเขาจะได้พักกินอาหารรสชาติห่วยๆ หนึ่งครั้ง แต่บางครั้งก็อาจไม่ได้กินเลย หากกิจการของเจ้านายไปได้ไม่สวย
ผู้คุมทาสมีหน้าที่รีดแรงงานทุกหยดออกจากทาสคนหนึ่ง คำนิยามของผู้คุมทาสที่ดีคือ "ผู้ที่สามารถใช้แรงงานทาสได้มากที่สุดโดยทาสไม่ตาย" ส่วนวิธีการก็มีหลากหลาย ตั้งแต่การข่มขู่ ข่มขืน งดให้อาหาร ทุบตี ไปจนถึงเฆี่ยนโบย
และด้วยความยากลำบากในไร่นี้เอง ความฝันของทาสจึงเป็นการย้ายไปสังกัดในบ้านเจ้านาย เราเรียกทาสประเภทนี้ว่า "Domestic Slaves" หรือทาสเรือน มีหน้าที่ทำความสะอาด ดูแลบ้าน ทำอาหาร ปรนนิบัติและสนองตัณหาเจ้านายในบางครั้ง
สบายกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด ทำให้เกิดการแบ่งชั้นวรรณะกันเองในหมู่ทาส ทาสเรือนก็จะไม่สุงสิงกับพวกทาสไร่ และถ้าหากทาสในเรือนให้กำเนิดลูกน้อยกับเจ้านายเมื่อไหร่ก็จะสบายขึ้นอีกนิดหน่อย แต่เธอและลูกก็ยังคงเป็นทาสอยู่ดี
ที่สุดของการกดขี่เห็นจะเป็นกฏหมายที่เรียกว่า "Slave Codes" หรือกฏแห่งความเป็นทาส ซึ่งในแต่ละรัฐก็จะมีความแตกต่างกันไป แต่ผู้เขียนได้รวมกฏบางข้อที่เหมือนกันในทุกรัฐมาให้พิจารณากันครับ.
"ทาส คือผู้อยู่ภายใต้อำนาจของเจ้านายทาสซึ่งมีสิทธิถูกต้องตามกฏหมายในการขาย, ละทิ้ง, หรือกระทำการใดๆ โดยห้ามมิให้ทาสขัดขืน
ทาสไม่สามารถครอบครองสิ่งใด, หรือซื้อหาสิ่งใด, ทาสจักเป็นเพียงสมบัติตามกฏหมายของเจ้านายทาสเท่านั้น"
2
"เจ้านายทาสผู้กระทำให้ทาสใต้ปกครองถึงแก่ความตาย จักต้องรับโทษสถานหนัก ยกเว้นกรณีถูกคุกคามโดยทาสเสียก่อน จึงอนุญาตให้เจ้านายทาสตัดสินโทษได้ตามความเหมาะสม"
1
"ห้ามมิให้ผู้ใดทำกิจกรรมกับทาสโดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้านายทาสเสียก่อน ทาสสามารถถูกจำหน่ายให้เป็นรางวัลต่างๆ ได้ เช่น การจับฉลากของขวัญ, รางวัลจากการพนัน, ให้ยืมเพื่อความปลอดภัย, หรือโอนย้ายถาวรในฐานะของกำนัล"
"ห้ามมิให้ทาสมีอาวุธไว้ในครอบครอง หากถูกจับได้ ทาสจะต้องรับโทษโบย 39 ครั้ง และยึดอาวุธเสีย"
"ห้ามมิให้ทาสขึ้นเป็นพยานในการไต่สวนคดีที่เกี่ยวของกับคนผิวขาว"
"การให้การศีกษาแก่ทาสคือสิ่งต้องห้ามเด็ดขาด ผู้ใดเปิดโรงเรียนสอนการอ่าน-เขียนแก่ทาสจะต้องถูกปรับ $500 และจำคุก 6 เดือน"
"ห้ามมิให้ทาสชุมนุมกัน โดยไม่มีคนผิวขาวสังเกตการณ์"
"การแต่งงานระหว่างทาสไม่นับเป็นการแต่งงานถูกต้องตามกฏหมาย ดังนั้น เจ้านายทาสมีสิทธิขายแยกครอบครัวทาสทอดตลาด".
ณ เวลานั้น คงไม่มีสถานที่ใด
เหมาะสมกับคำว่า 'นรกบนดิน'
มากไปกว่านี้อีกแล้ว
.
ปี 1848
รัฐ Georgia ทางตะวันออกเฉียงใต้ของสหรัฐ
William Craft และ Ellen Craft อยู่กินกันมาได้สักระยะหนึ่ง ถึงแม้ชีวิตความเป็นอยู่ในฐานะทาสเรือนจะทำให้พวกเขามีความสบายทางกายมากกว่าทาสส่วนใหญ่ แต่ความเจ็บปวดทางใจยังคงหลอกหลอนทั้งคู่อยู่ชั่วขณะจิต
William Craft เป็นชายผิวดำร่างใหญ่ เขามีคุณสมบัติครบทุกประการเพื่อจะเป็นทาสที่ดี มีพ่อ แม่ และพี่น้องร่วมท้องทั้งหมด 3 คน โดยเขาเป็นบุตรคนกลาง
ในวัยเด็ก เขาเกิดมาอยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้านายทาสที่ฝักใฝ่ศาสนาคริสต์ และมีจิตโอบอ้อมต่อเพื่อนมนุษย์ ทาสใดๆ ต่างพากันอิจฉาครอบครัวเขาที่มีเจ้านายดี แต่กระนั้น เรื่องเงินก็ไม่เข้าใครออกใคร
ครอบครัว William รับรู้ได้ถึงความฝืดเคืองของกิจการเจ้านายซึ่งเปลี่ยนให้เขากลายเป็นคนแสวงหาผลกำไร เจ้านายเริ่มพูดคุยกับนักค้าทาสมากขึ้น ที่สุดก็ตัดสินใจ ขายพ่อและแม่ของ William ทอดตลาด ด้วยเหตุผลว่า
"หากเราเลี้ยงทาสเหล่านี้ต่อไปจนแก่ตัวลง ชะรอยเราจะขายได้ราคาตกต่ำลงเรื่อยๆ"
ครอบครัวขาดสะบั้น, ความมั่นคงในชีวิตสูญสิ้น, แต่ละวันแทบไม่มีจะกิน, เหลือเพียง William และพี่น้องต้องสู้กันต่อไป สุดท้ายเจ้านายก็แบกรับกิจการไร่น้ำตาลของเขาไม่ไหว จึงต้องนำทั้งสามขึ้นงานประมูลกับธนาคาร และถูกขายกระจัดจาย ชีวิตครอบครัวจึงจบลงโดยปริยาย.
ชะตากรรมของ Ellen ไม่ได้ต่างกันนักก่อนที่เธอจะพบกับ William พ่อของเธอเป็นเจ้านายทาสผิวขาวที่ปลุกปล้ำทาสเรือนผิวดำเป็นงานอดิเรก จนกระทั่งแม่เธอตั้งครรภ์
Ellen เกิดมาเป็นลูกครึ่งที่เรียกว่า 'Quadroon' มีความเป็นคนผิวดำอัฟริกันอยู่เพียง 25% ทำให้เธอมีผิวขาวเฉกเช่นคนขาวทั่วไป และแทบไม่มีเค้าแห่งความเป็นทาสอยู่เลย แต่ด้วยแม่ของเธอเป็น Ellen จึงไม่ต่างกัน
1
แม่ของ Ellen เป็นเพียงทาสเพื่อบำบัดความใคร่ นานๆ ไปเจ้านายก็เบื่อ แม่ของเธอจึงถูกขายทอดตลาดได้ราคางาม ในขณะที่ Ellen เองถูกส่งไปเป็นของขวัญแก่เพื่อนเจ้านายซึ่งมีอาชีพเป็นแพทย์ ณ เมือง Macon รัฐ Georgia นาม Dr.Robert Collins.
ในครอบครัว Collins นี้เอง Ellen จึงได้พบกับ William ขณะนั้นทั้งคู่อายุ 14 ปีเท่ากัน Ellen ทำงานบ้านได้เป็นอย่างดี ทั้งด้านความสะอาด เย็บปักถักร้อยและหุงหาอาหาร เธอได้รับความไว้วางใจจากคนทั้งบ้าน เข้านอกออกในได้อย่างชำนิชำนาญ ในขณะที่ William ถูกเจ้านายทาสฝึกหัดให้เป็นช่างไม้ ทั้งนี้เพื่อปล่อยเช่าให้เพื่อนบ้านที่ต้องการแรงงาน ทำกำไรมากโขให้แก่ครอบครัว Collins
กระทั่งอายุ 20 ปี ทั้งคู่จึงแต่งงานกันอย่างไม่ถูกกฏหมาย (Slave Codes) และเริ่มอยู่กินในฐานะคู่สมรส ซึ่งเจ้านายทาสก็ไม่ได้ว่าอะไร William เองอยากมีลูก แต่ Ellen ก็ถามว่า "คุณอยากให้ลูกเราเกิดมาเป็นทาสอีกหรือ?"
ถึงคุณภาพชีวิตจะดีเพียงใด สุดท้ายมันก็คือทาส ไม่มีสิทธิ ไม่มีเสียง ไม่มีการศึกษา ไม่สามารถอ่าน-เขียน ไม่สามารถครองทรัพย์สิน ตัวทาสต่างหากที่เป็นทรัพย์สิน เปรียบได้ดั่งนก ที่สิ้นไร้โอกาสฝึกบิน
ทางเลือกมีเพียงสองทาง จะสู้ด้วยความรุนแรงหรือจะหนีด้วยสติปัญญา
หลังจากถกเถียงกันเป็นเวลานาน คู่สามี-ภรรยาจึงเลือกชอยส์ที่สอง
"ถ้าเราไม่หนี ก็ใช้ชีวีเยี่ยงทาส"
.
1
ทั้งคู่เริ่มวางแผนโดยการใช้เวลาหลังจากทำไร่ จินตนาการถึงวิธีเดินทางต่างๆ เพื่อไปให้ถึงทางตอนเหนือ โดยมีจุดหมายหลักคือ Philladelphia รัฐทางตะวันออกเฉียงเหนือของสหรัฐ ซึ่งเป็นชายแดนระหว่างอิสรภาพและการค้าทาส
ผ่านไป 2 วันแผนการก็ยังไม่คืบหน้า ทุกวิธีที่ทั้งสองช่วยกันระดมสมองเพื่อหลบหนี กลับถูกหักล้างด้วยอุปสรรคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระยะทางไกลนับ 1,000 ไมล์ผ่านรัฐค้าทาสต่างๆ, นักล่าทาส (Slave Detectives) ที่พร้อมปฏิบัติการลากคอทาสกลับไร่ตลอด 24 ชั่วโมง และหมาล่าเนื้อของพวกเขา, ชาวบ้านที่รังเกียจนิโกรซึ่งยินดีจะรายงานต่อทางการตลอดเวลา, กระทั่งตำรวจที่ไม่เคยใส่ใจใดๆ ต่อทาส และพร้อมทำงานเอาหน้าผู้บังคับบัญชาอำนาจนิยม
จนวันที่ 3 ทั้งคู่จึงเริ่มสำรวจว่าตนมีทรัพยากรอะไรอยู่บ้าง
Ellen มีความรักความเอ็นดูของเจ้านายทาสต่อเธอ ซึ่งสามารถทำให้เธอลาพักร้อนเดินทางไปต่างจังหวัดได้ช่วงคริสมาสต์ โดยเจ้านายซื้อตั๋วรถไฟให้, เธอมีฝีมือในการตัดเย็บเสื้อผ้า, ไม่มีเงินเก็บ, ไม่สามารถอ่าน-เขียนได้เลย, และมีผิวสีขาว
William มีฝีมือในการด้านช่างไม้ ซึ่งตัวเขาเองก็แอบรับงานฝิ่น (งานนอก) อยู่บ้างตอนออกไปทำงาน ทำให้เขามีเงินเก็บอยู่ประมาณหนึ่ง, อ่านหนังสือไม่ได้เช่นเดียวกัน, และมีคุณลักษณะทาสผิวดำที่ดี
...
ยูเรก้า!
William โห่ร้องไชโย และเริ่มอธิบายไอเดียพิลึกพิลั่นของเขาให้ Ellen ฟัง
คู่สมรสจะใช้ประโยชน์จากสีผิวของ Ellen ในการเดินทาง โดยแสร้งว่าเธอเป็นคนขาว และตัว William จะรับบททาสผู้ติดตาม แต่ด้วยความที่ในยุคนั้น ผู้หญิงผิวขาวจะไม่เดินทางกับทาสผู้ชายผิวดำเพียงลำพัง ทั้งคู่จึงจะใช้สเต็ปแบบละครหลังข่าวไทย
คือให้ Ellen ปลอมตัวเป็นเจ้านายผู้ชาย!
Ellen ไม่เห็นด้วยกับแผนการนี้อย่างยิ่งยวด แต่เมื่อเวลางวดเข้ามาและเริ่มพิจารณา นี่อาจเป็นวิธีเดียวในการหักด่านต่างๆ ไปให้ถึงฟิลาเดลเฟีย
William เริ่มจากการตัดผมทรงผู้ชายให้เธอ ซึ่งก็เว้าแหว่งพอสมควรแต่ก็พอดูได้ Ellen ตัดเย็บเสื้อผ้าบุรุษให้ตัวเองใส่ และหาแว่นเลนส์สีเขียวอ่อนมาใส่เพื่ออำพรางสีตาของเธอ
เธอให้ William ช่วยซ้อมบทและกิริยาท่าทางเยี่ยงสุภาพบุรุษชั้นสูงซึ่งทั้งคู่จำมาจากเจ้านาย มีปัญหาอยู่นิดหน่อยตรงที่ Ellen อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ และระหว่างทางจะต้องมีการเซ็นชื่อเพื่อขึ้นรถไฟ รวมถึงเข้าพักตามโรงแรม William จึงออกอุบายเอาผ้าสำหรับคนแขนหักมาคล้องเพื่อไม่ให้ Ellen เซ็นเอกสารใดๆ และเอาผ้านั้นคล้องรอบใบหน้าอีกทีประหนึ่งคนบาดเจ็บหนัก เพื่อเลี่ยงการสนทนาโต้ตอบ และปิดบังใบหน้าขาวเนียนเนื้อละเอียดของเธอ
หลังซักซ้อมแผนการอยู่สองวัน รวบรวมเงินทั้งหมดที่เก็บสะสมไว้ และขออนุญาตเจ้านายไปพักผ่อนช่วงคริสมาสต์ รวมแล้วใช้เวลาวางแผนเพียง 4 วัน
1
ทั้งคู่นอนก่ายหน้าผากตลอดคืนก่อนเดินทาง บ่นพึมพำว่านี่คือแผนการหนีที่โง่เง่าที่สุดสำหรับทาสในเรือนผู้ไร้การศึกษาและไม่เคยออกไปไหน โอกาสรอดมีอยู่เพียงแค่ 1%
แต่พวกเขาเลือกที่จะตายเพื่อ 1% แห่งอิสรภาพ
ดีกว่าการไม่สู้แล้วอยู่อย่างทาส
.
22 ธันวาคม ปี 1848
William และ Ellen เลือกเดินทางออกจากบ้านตอนเช้าตรู่ หัวใจพวกเขาเต้นแรงขณะย่องเงียบออกทางหน้าต่างและเดินไปตามถนน หวั่นใจว่าจะมีทรราชหน้าไหนนึกอุตริตื่นเช้าออกมาเจอเจ้านายทาสรูปร่างอ้อนแอ้นพร้อมทาสนิโกรสูงใหญ่ และจับพวกเขากลับเข้ากรงขังตามเดิม
เกือบครึ่งวัน ทั้งคู่ก็มาถึงสถานีรถไฟเมือง Macon ด่านแรกของการเดินทาง Ellen ที่ตอนนี้อยู่ในมาดเจ้านายซื้อตั๋วสองใบไปยังเมืองท่าเรือชื่อ Savannah
พนักงานจัดให้เจ้านายน้อยนั่งในโบกี้สุภาพบุรุษ และ William โดยสารไปกับโบกี้ขนของ ในขณะที่รถไฟใกล้จะเคลื่อนออกจากสถานี William เหลือบไปเห็นชายผิวขาวร่างท้วมคนหนึ่ง ซึ่งทำให้เขาตกใจสุดขีด
เขาคือเพื่อนบ้านที่เคยจ้าง William ไปต่อตู้เสื้อผ้าไม้ให้นั่นเอง ชายคนนั้นยืนพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ด้วยอากัปกิริยาเร่งร้อน และอยู่ดีๆ ก็มุ่งตรงมาทางโบกี้ขนของที่เขาอยู่ด้วยความรวดเร็ว!
1
William หดตัวให้เล็กที่สุดเหมือนตัวเขาเป็นหอยทาก หลับตาปี๋และคิดว่าตนคงโดนลากลงจากขบวนเป็นแน่ แต่ก็ไม่ ชายเพื่อนบ้านละจากโบกี้ขนของไป ทั้งสองยังไม่พ้นขีดอันตรายเพราะเขาเดินกลับไปที่โบกี้สุภาพบุรุษ ที่ Ellen เจ้านายจำแลงนั่งอยู่ เขากวาดตามองไปรอบๆ และสะดุดเข้ากับ Ellen ที่โพกผ้าพันแผลรอบใบหน้า สายตาทั้งสองคู่ประสานผ่านแว่นตาเลนส์สีเขียว
2
"ไม่น่าใช่ เราคงคิดมากไปเองกระมัง"
ชายเพื่อนบ้านกลับไปยังที่นั่งของตน รถไฟเคลื่อนออกจากชานชาลาช้าๆ
.
เป็นระยะทาง 200 ไมล์กว่าจะถึงที่หมายคือเมืองท่าเรือ Savannah ทั้งสองจะต้องใช้เวลาอยู่บนรถไฟราว 6 ชั่วโมง William หลับไปด้วยความอ่อนเพลีย ส่วน Ellen ก็พยายามควบคุมสติอยู่ในโบกี้ของชนชั้นสูง
หลังจากหยุดที่สถานีกลางทาง มีบุรุษผิวขาวร่างสูงใหญ่เดินมานั่งข้างๆ Ellen เธอคาดว่าเขาคงขึ้นมาบนขบวนจากสถานีล่าสุด พอรถไฟเริ่มเคลื่อนตัว เธอก็ชายตาไปดูเขาแว้บหนึ่ง
เป็นคิวของ Ellen บ้างที่หัวใจเธอหล่นไปอยู่ตาตุ่ม ชายผู้นั้นคือ Mr. Cray เพื่อนเก่าแก่ของเจ้านาย Ellen ซึ่งเห็นเธอมาตั้งแต่ยังเล็ก คอเธอหันขวับกลับไปทางหน้าต่างอัตโนมัติ เหงื่อกาฬแตกพลั่ก ไม่กล้าแม้แต่จะหันกลับไปมอง
"วันนี้อากาศดีนะครับท่านสุภาพบุรุษ" Mr.Cray ร้องทัก Ellen เธอนิ่งเงียบ ไม่หัน ไม่ตอบ
"อะแฮ่มม วันนี้อากาศดีนะท่านสุภาพบุรุษ" เขาพูดด้วยเสียงดังขึ้น แต่ปฏิกิริยาของ Ellen ไม่ต่างไปจากเดิม
"อะแฮ่มม! ผมพูดว่า วันนี้อากาศดีนะครับท่านสุภาพบุรุษ!" เห็นได้ชัดว่า Mr.Cray ไม่สบอารมณ์กับความไร้มารยาทของ Ellen เธอยังคงเรียบเฉย และหันมามองหน้าเขาช้าๆ ก่อนตอบว่า
"ครับ..."
ผู้โดยสารอีกคนที่นั่งตรงข้ามทั้งสองถึงกับหัวเราะลั่นออกมา ก่อนบอกให้ Mr.Cray เลิกยุ่งกับสุภาพบุรุษท่านนี้เถอะ เพราะเห็นได้ชัดว่าเขาน่ะหูหนวก
"จริงของคุณ และด้วยความที่เขาหูหนวกนี้เอง ผมจึงควรปล่อยให้เขาอยู่ตามลำพัง"
Ellen เอาตัวรอดไปได้อย่างฉิวเฉียด และไม่หันกลับไปอีกเลย
.
เจ้านายและทาสหนุ่มเดินทางมาถึงท่าเรือ Savannah ในช่วงเวลาผีตากผ้าอ้อม ทั้งสองกระโดดขึ้นรถม้าเพื่อไปต่อเรือกลไฟอันมีปลายทางคือเมือง Charleston รัฐ South Carolina
ทันทีที่ขึ้นเรือ ผู้โดยสารบนเรือมองพวกเขาด้วยท่าทีแปลกประหลาด ไม่เคยมีใครนำทาสผิวดำจากรัฐทางใต้ซึ่งเป็นที่ๆ ทาสควรจะอยู่ ออกเดินทางไปรัฐอิสระทางเหนือ (Free States) กัปตัน, ลูกเรือ ก็มองพวกเขาอย่างพินิจพิเคราะห์เช่นเดียวกัน
เจ้านายจำแลง Ellen ได้รับการดูแลอย่างดีเยี่ยงสุภาพบุรุษผิวขาว เธอถูกพาไปยังห้องนอนส่วนตัวหรูหรา ในขณะ William กำลังวุ่นอยู่กับการหาที่นอนที่ปลอดภัย และเมื่อหาไม่ได้ เขาจึงจำใจนอนบนดาดฟ้าเรืออันหนาวเหน็บ
วันที่ 22 ธันวาคม ทั้งสองตื่นแต่เช้าตรู่เพื่อรับประทานอาหารเช้า Ellen ได้รับเลือกให้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะกับกัปตันเรือและแขกผู้ทรงเกียรติอีก 2-3 ท่าน เห็นได้ชัดว่าคนบนเรือให้เกียรติเธอเป็นอย่างมาก และจัดเธอนั่งติดกันกับนายเรือ
ด้วยความที่ Ellen สวมผ้าคล้องแขน William ทาสคนสนิทจึงต้องออกไปตักอาหารให้เพื่อความแนบเนียบ และในขณะที่ William เดินออกไปนั้นเอง กัปตันจึงเริ่มบทสนทนา
"พ่อหนุ่ม คุณมีทาสที่มีใจบริการดีมาก แต่ทันทีที่คุณไปถึงตอนเหนือ จงจับตาดูเจ้าทาสคนนี้ไว้ให้ดี มันพร้อมจะกระซวกไส้คุณและหนีไปได้ทุกเมื่อ ผมเตือนด้วยความดี" กัปตันกล่าว สายตาจ้องมอง Ellen เขม็ง
ทันใดก็มีผู้โดยสารผิวขาวอีกคน หน้าตาดูกรำศึก โพล่งออกมาเสียงดังด้วยสำเนียงแยงกี้ว่า
"เป็นข้า ข้าก็ไม่พาไอ้มืดนี่ไปรัฐเหนือหรอก พวกมันน่ะเลี้ยงไม่เชื่องรู้ไหม นี่เจ้าหน้าอ่อน สนใจจะขายทาสคนนี้ให้ข้าไหมล่ะ ให้ราคางามเชียวนะ จะเลี้ยงดูให้อย่างดีเลย"
Ellen บอกปฏิเสธทันที แต่นั่นยิ่งเพิ่มความก้าวร้าวให้ชายซึ่งต่อมาเธอทราบว่าเป็นพ่อค้าทาสมากขึ้น
"ข้าพนันเลย 100 bucks (เหรียญ) ว่าทันทีที่แกข้ามชายแดนเข้าฟิลาเดลเฟีย แกจะต้องตายกลายเป็นผีจากฝีมือเจ้ามืดนี่แน่นอน!"
บรรยากาศบนเรือตึงเครียดถึงขีดสุด ผู้โดยสารหลายคนมาล้อมมุงดู William เองได้แต่ยืนตัวแข็ง และเมื่อพวกเขามองไปรอบๆ อย่างถ้วนถี่ เรือกลไฟลำนี้เต็มไปด้วยคนรัฐใต้, นายทหารรัฐใต้, เจ้านายทางใต้ และพ่อค้าทาสทางใต้
เรือลำนี้บรรทุกคนชังทาสมาเต็มอัตราศึก...
นายทหารรัฐใต้นายหนึ่ง รับหน้าที่เดินเข้ามาไกล่เกลี่ยและพา Ellen กับ William แยกไปอีกห้อง ตัวเขาเองก็มีทาสผิวดำคนหนึ่งติดตัวมาด้วยเช่นกัน แต่กระนั้น ก้ยังดูเป็นคนดีมีมนุษยธรรม
ภาพลักษณ์อันดีงามของนายทหารคนนั้นมลายหายไปทันทีที่เขาเริ่มพูดกับทาสของตัวเองด้วยน้ำเสียงโกรธกริ้ว คู่สามีภรรยาขวัญผวาเป็นอย่างมาก เพราะเหมือนกับการหนีเสือปะจรเข้ ส่วนนายทหารก็ขออภัยที่ทำให้ตกใจ โดยให้เหตุผลว่า
"ถ้าเราไม่ตวาดพวกทาส มันก็จะไม่อยู่ในโอวาท สมควรแล้วที่จะพูดจาแบบนี้กับพวกมัน"
นี่มันเรืออะไร ทั้งสองมองหน้ากันด้วยความสั่นกลัว ทันใดนั้นเอง เสียงหวูดของเรือก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่า ฝั่งอยู่อีกไม่ไกล ช่างเป็นหนึ่งวันอันยาวนานราวกับหนึ่งปี พวกเราจะได้ลงจากเรือลำนี้เสียที!
.
ถึงจุดนี้ เหลืออีกเพียงสองต่อก็จะถึงฟิลาเดลเฟียแล้ว ขั้นต่อไปคือการต่อเรือกลไฟจาก Charleston, South Carolina ไปยัง Baltimore เพื่อจะนั่งรถไฟเข้าเขตฟิลาเดลเฟีย
William จัดแจงเรื่องการซื้อตั๋วให้เจ้านายเสร็จสรรพ แต่เขาก็ไปสะดุดเข้ากับผู้คุมท่าเรือผิวขาวคนหนึ่ง รูปร่างกำยำ หน้าตาดูใจร้าย
"เฮ้ย ไอ้หนู แกเป็นทาสของสุภาพบุรุษท่านนี้หรือเปล่า?" ผู้คุมท่าเรือถาม
"ใช่ครับท่าน"
พนักงานขายจึงยื่นตั๋วให้ Ellen เองก็พยายามเก็บทรงเจ้านายให้มากที่สุดและจ่ายเงิน
"เซ็นชื่อคุณตรงนี้ ชื่อของเจ้านิโกรตรงนี้ และต้องจ่ายค่าธรรมเนียมในการพาทาสขึ้นเรือด้วย"
ไอ้ค่าธรรมเนียมน่ะไม่ใช่ปัญหาหรอก ปัญหาอยู่ที่ทั้งสองคนเขียนหนังสือไม่ได้เลยนี่สิ ด้วยความจวนตัว Ellen จึงร้องขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยเซ็นชื่อให้เธอหน่อย เพราะแขนเธอหักเซ็นไม่ได้ และนั่นทำให้เจ้าหน้าที่ยิ่งสงสัยหนักขึ้นไปอีก
"ถ้าเซ็นชื่อไม่ได้ ก็ไม่ต้องขึ้นเรือ!" ผู้คุมท่าเรือตวาด บรรยากาศกลับมาคุกรุ่นอีกครั้ง ทำไมอุปสรรคมันถึงเยอะอย่างนี้
ในขณะที่ทั้งสองยืนหัวหมุนพลางคิดหาทางเอาตัวรอดจากผู้คุมท่าเรือสุดโหด โชคชะตาก็เข้าข้างพวกเขาอีกครั้ง ตัวละครสุดประหลาดจากทริปเรือกลไฟรอบที่แล้วก็โผล่เข้ามาในซีน
"ผมเดินทางกับพวกเขาบนเรือลำที่แล้ว สุภาพบุรุษท่านนี้โอเค รับประกันด้วยตำแหน่งของผม"
เป็นนายทหารรัฐใต้ผู้ชอบตวาดทาสนั่นเองที่เข้ามาช่วยไว้แบบฉิวเฉียด!
.
การเดินทางจากเมือง Charleston ไปยังเมือง Baltimore ถือว่าเป็นทริปเรือกลไฟระยะทาง 917 กม. ที่ค่อนข้างราบเรียบ William ได้พูดคุยกับทาสคนอื่นๆ บนเรือบ้าง และได้ยินข่าวเกี่ยวกับกลุ่ม Abolitionists หรือ 'ขบวนการต้านการค้าทาส' ที่ปฏิบัติการอยู่ในรัฐตอนเหนือ ทำให้เขาเริ่มใจชื้น และหวังจะขอความช่วยเหลือจากขบวนการ
พวกเขาไปถึงเมือง Baltimore รัฐ Maryland ในช่วงค่ำของวันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม ปี 1848 คริสมาสต์อีฟ
เมือง Baltimore ในขณะนั้นเป็นเมืองที่มีการตรวจตราทาสอย่างเข้มข้น ด้วยเป็นปราการด่านสุดท้ายสู่เมืองเหนือ การทุบตีทาสหลบหนีมีให้เห็นเป็นปกติตามท้องถนน ทาสบางคนถูกนักล่าทาสลากไปกับเกวียนกลับไปยังภูมิลำเนา เป็นที่เวทนาแก่ผู้พบเห็นทั่วไป
ยิ่งเข้าใกล้จุดหมายเท่าไหร่ ความอันตรายยิ่งมีมากเป็นเท่าตัว ตอนนี้ขาข้างหนึ่งของทั้งคู่ก้าวเข้าสู่อิสรภาพแล้ว เหลือเพียงยกเท้าหลังตามไปเท่านั้น มันใกล้มากแล้วจริงๆ
William และ Ellen ตรงดิ่งไปที่สถานีรถไฟ และจัดการซื้อตั๋วได้อย่างราบรื่น Ellen ทำตามสเต็ปเดิม เธอขึ้นโบกี้สำหรับสุภาพบุรุษและหาที่นั่งเจอด้วยความรวดเร็ว เมื่อ William เห็นภรรยาเข้าที่แล้ว จึงปีนขึ้นโบกี้ขนของ
แต่ก้าวขึ้นไปเพียงก้าวเดียวเขาก็ต้องหยุดกึก จากเสียงสำเนียงแยงกี้ของผู้คุมผิวขาวผมแดงเพลิง ก่อนจะเดินปรี่เข้ามา ตบไหล่เขาเบาๆ และถามว่า
"เฮ้ย ไอ้ทาส แกกำลังจะไปไหนน่ะ?"
คุณผู้อ่านเคยมีอาการตัวเย็นไหมครับ ในระหว่างที่เรากำลังตกใจสุดขีด ความเย็นจะแผ่ขยายไปทั่วร่าง หัวใจหล่นหายไปไหนสักแห่ง
"เอ่อ ผมจะไปฟิลาเดลเฟียครับ" นั่นคือคำตอบที่ห่วยที่สุดในฐานะทาสคนหนึ่งจะตอบได้
"แกจะไปทำอะไรที่ฟิลาเดลเฟีย ห้ะ?" ผู้คุมชานชาลาถาม
"ผมจะไปเที่ยวกับเจ้านายครับ เขานั่งอยู่ในโบกี้สุภาพบุรุษข้างหน้านี้เอง" William ตอบด้วยเสียงสั่นเครือ
"งั้นรีบไปเรียกเจ้านายแกลงมาเดี๋ยวนี้ เรามีเรื่องต้องคุยกันอีกยาว"
William เดินไปตาม Ellen ซึ่งนั่งสงบพร้อมโบยบินสู่ดินแดนเสรี พร้อมบอกกับเธอว่า "ลงมาเถอะ เรามีปัญหาแล้วล่ะ"
.
.
"ห้ามมิให้ผู้ใดพาทาสนิโกรขึ้นรถไฟไปจากที่นี่ โดยไม่ได้รับอนุญาต!"
"ทำไมล่ะ"
"ก็เพราะว่าที่ Baltimore นี้ ขบวนการต้านการค้าทาสอาละวาดหนัก พวกมันเร้นกายมาในร่างสุภาพบุรุษผิวขาวมาดดี แต่ทีเผลอกลับพาทาสผิวดำหลบหนีไปรัฐตอนเหนือ เรายอมมันมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่ใช่ครั้งนี้แน่!"
"ถ้าท่านมีเอกสารยืนยันใดๆ นี่เป็นเวลาที่เหมาะแล้วในการแสดงเอกสารนั้น"
แน่นอน William และ Ellen ไม่มีเอกสารอะไรติดตัวมา มีแต่ใจที่โหยหาความเป็นธรรมเท่านั้น
"ไม่ เราไม่มีเอกสารใด นอกจากตั๋วที่เราซื้อจากเมือง Charleston เพื่อไปยังฟิลาเดลเฟีย ท่านไม่มีสิทธิจะควบคุมตัวเราไว้"
"มีสิทธิหรือไม่หาได้สำคัญ พวกท่านไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่าน"
หัวใจของสามีภรรยาแทบแตกสลายโดยพลัน ผู้คนหันมามองกันทั้งชานชาลา เวลาชั่ววินาทียาวนานนับชั่วโมง การใช้ชีวิตอย่างไร้ความหวังนั้นเจ็บปวด แต่รวดร้าวยิ่งกว่าหากเราเริ่มหวังและถูกขยี้ลงต่อหน้าต่อตา
...
"เฮ้ นายนั่นเอง! ว่าไง จะขายทาสคนนี้ให้ฉันไหมล่ะ ฉันพร้อมจะจ่ายเป็นเงินสดเลยนะ กำลังจะขึ้นรถไฟไปฟิลลี่กันล่ะสิ?"
ไม่มีใครรู้ว่าพ่อค้าทาสที่เจอบนเรือกลไฟโผล่มาจากไหน ยังคงพูดจายียวนสไตล์แยงกี้เช่นเดิม แถมยังช่วยยืนยันให้แก่ผู้คุมว่าเดินทางมาพร้อม William และ Ellen อีกด้วย!
เป๊งง!
เสียงกระดิ่งดังลั่น อันเป็นสัญญาณว่ารถไฟกำลังจะออก ตอนนี้แรงกดดันถูกย้ายไปยังฝั่งผู้คุมแล้ว พ่อค้าทาสทำให้เขาสับสน หนำซ้ำยังถูกบีบด้วยเวลาให้รีบตัดสินใจ
"เอาล่ะ ผมก็ไม่รู้ว่าจริงไหม แต่คิดว่าน่าจะโอเค พวกคุณเป็นอิสระแล้ว"
พวกคุณเป็นอิสระแล้ว...
.
.
เมื่อพูดถึงการหนีทาสส่วนใหญ่คงไม่พ้นภาพการวิ่งหนีอย่างสะบักสะบอม ถูกไล่ล่าโดยนักล่าทาสพร้อมหมาล่าเนื้อ เนื้อตัวมอมแมม ลัดเลาะตามป่าเขา เสี่ยงภัยกับสัตว์ร้ายนานาชนิดกับความหวังอันริบหรี่
แต่ใครจะรู้ว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่งซึ่งไม่เคยเจอโลกภายนอก อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ หลบหนีจากความตายด้วยวิธีอันโก้เก๋ ดินเนอร์ใต้แสงเทียนบนเรือกลไฟหรู ทานอาหารเช้ากับกัปตันเรือ นั่งรถไฟเฟิร์สคลาสตลอดการเดินทาง และแทบไม่ต้องเซ็นเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น
ขอเพียงมีปัญญา และแรงปราถนาที่จะหลุดพ้น
มนุษย์ทุกคนล้วนเกิดมาเท่ากัน
ไม่มีเรื่องอื่นใดที่สลักสำคัญ
เท่ากับความฝันแห่งสิทธิมนุษยชน.
.
.
เกร็ดเล็ก: หลังไปจากไปถึงฟิลาเดลเฟีย เจ้านายทาสของ William และ Ellen ก็ทราบเรื่อง และจัดการส่งนักล่าทาสฝีมือฉกาจออกไปทันที
แต่ด้วยความช่วยเหลือจากขบวนการต้านการค้าทาสในการให้ที่พักพิงและพาหลบหนี พวกเขาจึงรอดมาได้หวุดหวิด และตัดสินใจขึ้นเรือข้ามมหาสมุทรไปยังเมืองลิเวอร์พูลประเทศอังกฤษ ที่ซึ่งทั้งสองกลายเป็นคนดังจากการเป็นนักพูดให้กำลังใจผู้คน
เกร็ดน้อย: ในปี 1865 ประธานาธิบดี Abraham Lincoln ชนะสงครามกลางเมืองสหรัฐอเมริการะหว่างรัฐฝ่ายเหนือและรัฐฝ่ายใต้ ส่วนชนวนสงครามคุณผู้อ่านคงน่าจะเดากันได้นะครับ
- Xyclopz
โฆษณา