[June Jakita] 📍:: ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature):: (ตอน 1) ปรกติเวลาเราทำสัญญาไม่ว่าจะเป็นสัญญาอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแสดงเจตนาในการเข้าทำสัญญาในรูปของคำเสนอ (offer) และคำสนอง (acceptance) โดยสั

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

18 ม.ค. 2021 เวลา 06:29 • ธุรกิจ

📍:: ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ (E-Signature):: (ตอน 1)

ปรกติเวลาเราทำสัญญาไม่ว่าจะเป็นสัญญาอะไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการแสดงเจตนาในการเข้าทำสัญญาในรูปของคำเสนอ (offer) และคำสนอง (acceptance) โดยสัญญาจะเกิดขึ้นเมื่อคำเสนอและคำสนองต้องตรงกัน หรือ meeting of minds

การทำสัญญาเป็นหนังสือ หลักฐานการแสดงเจตนาว่าเรายอมรับในข้อความ จะใช้วิธีลงลายมือชื่อ หรืออาจจะแสดงเจตนาโดยวิธีอื่น เช่น พิมพ์ลายนิ้วมือ ตราประทับ แกงได (รอยกากบาทหรือรอยขีดเขียนที่อ่านไม่ออกเป็นชื่อ) ซึ่งมักใช้ในกรณีคนที่ไม่รู้หนังสือ โดยกฎหมายกำหนดให้มีพยานลงลายมือชื่อรับรองอย่างน้อยสองคน จึงจะเทียบเท่ากับลายมือชื่อได้

นอกจากนี้ การทำธุรกรรมบางอย่างเช่น ตั๋วเงิน ตั๋วแลกเงิน เช็ค กฎหมายกำหนดให้ต้องลงลายมือชื่อเท่านั้น ไม่รับลายพิมพ์นิ้วมือ

ซึ่ง พ.ร.บ. ว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ได้กำหนดว่า คำเสนอหรือคำสนองในการทำสัญญาอาจทำเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ก็ได้ และห้ามมิให้ปฏิเสธการมีผลทางกฎหมายของสัญญาเพียงเพราะเหตุที่สัญญานั้นได้ทำคำเสนอหรือคำสนองเป็นข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์

สรุปง่าย ๆ คือ ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทำหน้าที่คล้าย ๆ การลงลายมือชื่อธรรมดา เช่น ลงลายมือชื่อท้ายสัญญาเพื่อรับรองว่าจะปฏิบัติตามข้อความ

ก็เหมือนกับการลงลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับรองข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์นั่นเอง

ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ ตามพระราชบัญญัติว่าด้วยธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ พ.ศ. ๒๕๔๔ มี 3 ประเภท คือ

✏- ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป (มาตรา 9)

✏- ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อถือได้ (มาตรา 26)

✏- ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อถือได้ซึ่งใช้ใบรับรองที่ออกโดยผู้ให้บริการออกใบรับรอง (มาตรา 28)

✏ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ทั่วไป (มาตรา 9)

ผู้ใช้ลายมือชื่อประเภทนี้มีภาระในการพิสูจน์ความถูกต้องแท้จริงว่ากระบวนการลงลายมือชื่อแลักระบวรการยืนยันตัวตนของผู้ลงลายมือชื่อนั้นน่าเชื่อถือ

มีองค์ประกอบ 3 ข้อ คือ

I. ระบุตัวผู้เป็นเจ้าของได้ โดยมีการพิสูจน์และยืนยันตัวตนที่น่าเชื่อถือ

II. แสดงเจตนาของเจ้าของได้ โดยมีกระบวนการหรือหลักฐานที่แสดงได้ว่าบุคคลได้ยอมรับการแสดงเจตนาที่ตนได้ลงลายมือชื่อ

III. ใช้วิธีการที่น่าเชื่อถือ (ในการระบุตัวตนและแสดงเจตนาของเจ้าของลายมือชื่อ)

<<ตัวอย่าง>>

การพิมพ์ชื่อท้ายอีเมล, การสแกนภาพลายมือชื่อที่เขียนด้วยมือและแนบกับเอกสารอิเล็กทรอนิกส์, การใช้สไตลัส (Stylus) เขียนลายมือชื่อบนหน้าจอหรือบันทึกในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์, การคลิกปุ่มยอมรับหรือตกลง, การทำเครื่องหมายในช่องแสดงการยอมรับ, รหัสล็อกอิน, พาสเวิด, OTP, การ scan ลายนิ้วมือ, การใช้ระบบงานอัตโนมัติ (automated workflow system) ที่มีการยืนยันตัวตนของผู้ใช้

✏ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ที่เชื่อถือได้ (มาตรา 26)

มีข้อดีคือ จะได้ประโยชน์จากข้อสันนิษฐานของกฎหมาย โดยผู้ที่โต้แย้งความน่าเชื่อถือของลายมือชื่อตามหลักเกณฑ์มาตรานี้ ต้องหาหลักฐานมาพิสูจน์ว่าไม่น่าเชื่อถืออย่างไร

ลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามมาตรา 26 มีองค์ประกอบ 3 ข้อ คือ

I. ข้อมูลที่ใช้สร้างลายมือชื่อ เชื่อมโยงไปยังเจ้าของลายมือชื่อได้

II. ข้อมูลที่ใช้สร้างลายมือชื่อ อยู่ภายใต้การควบคุมของเจ้าของลายมือชื่อ

III. สามารถตรวจพบการเปลี่ยนแปลงลายมือชื่อและข้อความได้

<<ตัวอย่าง>>

ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) ที่อาศัย เทคโนโลยีระบบรหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public Key Cryptography) หรือ ระบบรหัสแบบอสมมาตร (Asymmetric Key Cryptography)

💡ลายมือชื่อดิจิทัล (Digital Signature) หมายความว่า ข้อความหรือสัญลักษณ์ที่สร้างขึ้นทางอิเล็กทรอนิกส์โดยการคำนวณทางคณิตศาสตร์เข้ารหัสอัลกอริทึมแบบอสมมาตร (Asymmetric Key Algorithms) บนพื้นฐานวิทยาการเข้ารหัสลับ (Encryption) และใช้กับระบบคู่กุญแจ (Key Pair) โดยนำไปคำนวณรวมกับกุญแจส่วนตัว (Private Key) ของผู้ลงลายมือชื่อในข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ ในลักษณะที่สามารถจะใช้กุญแจสาธารณะ (Public Key) ของผู้ลงลายมือชื่อตรวจสอบได้ว่าลายมือชื่ออิเล็กทรอนิกส์นั้นได้สร้างขึ้นโดยกุญแจส่วนตัว (Private Key) ของผู้ลงลายมือชื่อนั้นหรือไม่ และข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ที่มีการลงลายมือชื่อดังกล่าวได้มีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงภายหลังการลงลายมือชื่อหรือไม่

💡เทคโนโลยีระบบรหัสแบบกุญแจสาธารณะ (Public Key Cryptography) หรือระบบรหัสแบบอสมมาตร (Asymmetric Key Cryptography) เป็นเทคโนโลยีที่ใช้ในการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลในปัจจุบัน ซึ่งเทคโนโลยีดังกล่าวประกอบด้วยกุญแจ 2 ดอก คือ กุญแจส่วนตัว (Private Key) และกุญแจสาธารณะ (Public Key)

อสมมาตร แปลว่า ไม่เท่ากัน ดังนั้น content ของ Private Key และ Public Key จะไม่เหมือนกัน

ความสัมพันธ์ของคีย์ทั้งสองตัวนี้ก็คือ หากข้อความหรือเอกสารใดที่เข้ารหัสด้วย Private Key จะสามารถถอดรหัสได้ด้วย Public Key ที่เป็นคู่ของมันเท่านั้น และในทางกลับกัน หากข้อความหรือเอกสารใดที่เข้ารหัสด้วย Public Key จะสามารถถอดรหัสได้ด้วย Private Key ที่เป็นคู่ของมันเช่นกัน

โดยในการใช้นั้น กุญแจส่วนตัว (Private Key) จะเก็บอยู่ที่เรา มีดอกเดียว

แต่กุญแจสาธารณะ (Public Key) จะส่งให้คนอื่น มีหลายดอกได้

💡การเข้ารหัสแบบคู่กุญแจ กระบวนการหนึ่งที่นิยมคือ การเข้ารหัสแบบ RSA (Rivest-Shamir-Adleman)

ทั้งนี้ ความเป็นความลับจะเกิดขึ้นในทิศทางเดียว คือ ทิศทางที่เข้ารหัสด้วย Public Key จากผู้อื่น ซึ่งข้อความที่เข้ารหัสโดย Public Key แล้ว จะไม่มีใครสามารถถอดรหัสได้ เพราะการถอดรหัสจะต้องอาศัย Private Key ซึ่งจะมีเฉพาะเจ้าของเท่านั้นที่มี Private Key อยู่ ดังนั้นความลับจึงเกิดขึ้น

แต่ในทางกลับกัน หากเข้ารหัสด้วย Private Key แล้ว ถอดรหัสด้วย Public Key เนื่องจาก Public Key เป็นคีย์ที่แจกจ่ายอยู่แล้ว ดังนั้นแปลว่า ทุกคนสามารถจะถอดรหัสได้ ดังนั้นการเป็นความลับจึงไม่เกิด

แล้วการเข้ารหัสด้วย Private Key จะมีประโยชน์อะไร???

>>อ่านต่อตอนถัดไปค่ะ

โฆษณา

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน

ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน