18 ม.ค. 2021 เวลา 10:21 • ประวัติศาสตร์
“ดี.บี. คูเปอร์ (D. B. Cooper)” โจรผู้จี้เครื่องบินและหายไปอย่างไร้ร่องรอย
คดีของ “ดี.บี. คูเปอร์ (D. B. Cooper)” เป็นคดีการเรียกค่าไถ่กลางอากาศที่อุกอาจ และเป็นปริศนาจนถึงทุกวันนี้
เรื่องเริ่มต้นในวันที่ 24 พฤศจิกายน ค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) ได้มีชายคนหนึ่ง แจ้งว่าชื่อ “แดน คูเปอร์ (Dan Cooper)” ได้ซื้อตั๋วเครื่องบินเที่ยวเดียว เดินทางจากพอร์ตแลนด์ ไปยังซีแอตเติล สหรัฐอเมริกา
เที่ยวบินนั้นเป็นของสายการบิน Northwest Orient Airlines เที่ยวบิน 305 ที่นั่ง 18C โดยมีกำหนดการเดินทางประมาณ 30 นาที
ในทีแรก คูเปอร์ก็ดูไม่ต่างจากผู้โดยสารคนอื่นๆ เขาแต่งกายด้วยเสื้อเชิ้ตสีขาว เน็กไทสีดำ ดูเหมือนนักธุรกิจ โดยขณะอยู่บนเครื่องบิน เขาได้จุดบุหรี่สูบ และสั่งเครื่องดื่มเป็นเบอร์บอนและโซดา ก่อนจะดื่มอย่างเงียบๆ ขณะที่เครื่องบินออกจากท่าอากาศยาน
จากปากคำของพยาน คูเปอร์เป็นชายผิวขาว สูงประมาณ 6 ฟุต 1 นิ้ว (185 เซนติเมตร) อายุประมาณ 40 กลางๆ ผมสีดำ ตัดอย่างเรียบร้อย
2
แต่ไม่นาน คูเปอร์ก็ได้เรียกให้พนักงานต้อนรับหญิงคนหนึ่งเข้ามาหา ก่อนจะส่งเศษกระดาษให้ ซึ่งทีแรก พนักงานต้อนรับก็เข้าใจว่าคูเปอร์จะจีบเธอ จึงไม่ได้สนใจจะอ่าน แต่พับเก็บเศษกระดาษลงกระเป๋า ทำให้คูเปอร์ต้องเอื้อมไปข้างหน้าและกล่าวว่า
“คุณครับ คุณลองอ่านข้อความในเศษกระดาษนั้นดีกว่านะ ผมมีระเบิด”
กัปตันและพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินไฟลท์ของคูเปอร์
พนักงานต้อนรับจึงได้ลองเปิดอ่าน และพบว่าในกระดาษนั้นเขียนว่า
“ผมมีระเบิดอยู่ในกระเป๋าเอกสาร ผมต้องการให้คุณมานั่งข้างๆ ผม”
เมื่อได้อ่าน พนักงานจึงค่อยๆ นั่งข้างๆ คูเปอร์ และขอดูระเบิดที่ว่า คูเปอร์จึงค่อยๆ เปิดกระเป๋าเอกสาร เผยให้เห็นเส้นลวดที่พันกันยุ่งเหยิง แบตเตอรี่ และปุ่มสีแดงๆ ที่ดูเหมือนระเบิดไดนาไมต์
คูเปอร์กล่าวว่า “ผมต้องการเงินจำนวน 200,000 ดอลลาร์ (ประมาณหกล้านบาท) เอาเป็นเงินสด ใส่มาในเป้ และผมต้องการร่มชูชีพหลังจำนวนสองชิ้น ร่มชูชีพหน้าอีกสองชิ้น เมื่อเครื่องบินลงจอด ผมต้องการรถบรรทุกที่พร้อมจะเติมน้ำมัน ห้ามตุกติก ไม่อย่างนั้นผมจะระเบิด”
พนักงานต้อนรับรีบเดินไปแจ้งกัปตัน ในขณะที่ผู้โดยสารคนอื่นไม่ทราบถึงอันตรายที่เกิดขึ้น ก่อนที่กัปตันจะประกาศว่ามีความขัดข้องที่เครื่องยนต์ จำเป็นต้องบินวนเพื่อให้เชื้อเพลิงลดลง
ในขณะที่เครื่องบินได้บินวนเป็นเวลาประมาณสองชั่วโมง เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินก็ทำงานกันอย่างเคร่งเครียด โดยเครื่องบินได้ลงจอดที่ซีแอตเติลในเวลา 17:39 น. โดยเจ้าหน้าที่ได้เตรียมเงินพร้อมกับร่มชูชีพให้คูเปอร์แล้ว
คูเปอร์ปล่อยผู้โดยสารจำนวน 36 คนเป็นอิสระ จากนั้นก็ได้บอกกับนักบินว่าต้องการจะไปยังเม็กซิโกซิตี้ หากแต่เครื่องบินไม่มีเชื้อเพลิงพอ จึงตกลงให้แวะเติมเชื้อเพลิงได้
ก่อนเครื่องบินจะออกจากท่าอากาศยาน คูเปอร์กำหนดว่าเครื่องบินต้องบินต่ำกว่า 10,000 ฟุตและต้องบินด้วยความเร็วต่ำกว่า 200 น็อตส์ อีกทั้งประตูท้ายเครื่องต้องเปิดตลอดเวลา
เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นฟ้าในเวลา 19:40 น. เครื่องบินของกองทัพอากาศก็ได้บินตามหลังห่างๆ และคูเปอร์ก็สั่งให้พนักงานเข้าไปอยู่ในห้องนักบิน เนื่องจากอากาศหนาว
2
เมื่อเครื่อบินลงจอดยังรีโนในเวลา 22:15 น. ตำรวจก็ได้ล้อมเครื่องบินและเข้าค้นภายในเครื่องอย่างละเอียด หากแต่คูเปอร์นั้นหายไปแล้วพร้อมกับเงิน และเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะแอบหนีขณะเครื่องลงจอดโดยไม่มีใครเห็น
1
สิ่งที่คูเปอร์ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ก็คือร่มชูชีพสองชิ้นและเน็กไท
ภายหลังจากที่คูเปอร์หายไปอย่างไร้ร่องรอย เอฟบีไอก็พยายามอย่างหนักในการตามล่าหาตัวคูเปอร์ มีการสอบสวนและจำกัดวงผู้ต้องสงสัยมากมาย
จากการสอบสวน พบว่าชื่อ “แดน คูเปอร์ (Dan Cooper)” เป็นชื่อปลอม และสื่อมวลชนก็เรียกเขาว่า “ดี.บี. คูเปอร์ (D. B. Cooper)”
เอฟบีไอได้ทำการสอบสวนผู้ต้องสงสัยกว่า 800 ราย หากแต่ก็ไม่สามารถจับจอมโจรรายนี้ได้ และถึงแม้จะตรวจสอบดีเอ็นเอจากเน็กไทของคูเปอร์ หากแต่ก็ยังไม่สามารถจับตัวได้ และต้องทำการปิดคดีในปีค.ศ.2016 (พ.ศ.2559)
1
สิ่งของๆ คูเปอร์
ก็อาจจะเป็นไปได้ว่าร่มชูชีพของคูเปอร์ไม่ทำงาน และเขาอาจจะตกลงมาเสียชีวิตในสถานที่ซักแห่ง
หรือเขาอาจจะลอยนวลไปได้พร้อมกับเงินกว่า 200,000 ดอลลาร์
จนถึงวันนี้ ปริศนานี้ก็ยังไม่คลี่คลาย
แล้วคุณล่ะครับ คิดว่ายังไง?
โฆษณา