19 ม.ค. 2021 เวลา 13:29 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Man on the Moon III: The Chosen - Kid Cudi
ผู้ถูกเลือก...คืนชีพ
-เริ่มต้นคอนเทนท์รีวิวอัลบั้มเปิดปี 2021 ด้วยอัลบั้มปลายปี 2020 ที่สร้างความประทับใจให้ผมส่งท้ายปีมากพอสมควรกับการคัมแบคของผู้ชายคนนี้ Scott Ramon Seguro Mescudi (a.k.a Kid Cudi) แร็ปเปอร์และนักแสดง เจ้าพ่อ emo rap โลกหม่นที่ชูประเด็นโลกซึมเศร้าในโลกฮิปฮอปเป็นคนแรกๆ และยังเป็นหนึ่งในไอดอลศิลปินที่พึ่งทางใจของใครหลายคน ไม่ว่าจะเป็น Travis $cott ที่ร่วมงานกันบ่อยขึ้น แร็ปเปอร์สายยิ้ม KYLE ที่เคยออกตัวชัดเจนว่าเพลงของเขาคนนี้เคยช่วยชีวิตเขาไว้ และอีกหลายคนที่ได้ดิบได้ดี ล้วนเติบโตมากับเพลงของเขาแทบทั้งสิ้น นี่ก็แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นศิลปินที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นคนนึง ถือเป็น cult-like following เลยก็ว่าได้ และยังมีภาษีดีเพราะเขาคนนี้คือเด็กปั้นโดยตรงคนแรกๆของ Kanye West ที่เชิญแกไปเซ็นสัญญาค่าย G.O.O.D Music ได้ฉายแสงและมีส่วนร่วมกับหนึ่งในอัลบั้ม groundbreaking ในยุคนั้นอย่าง 808’s & Heartbreak จนได้รับการจับตามองมากเป็นพิเศษ
-ในปีต่อมาการมาของ Man on the Moon: The End of Day เดบิวต์อัลบั้มแรกของ Scott จึงเป็นการตอกย้ำคราฟต์ของ 808’s & Heartbreak ชนิดที่ฟังต่อกับงานรุ่นพี่ก็ยังได้ เพราะนี่คืองานของหนึ่งในคนเบื้องหลังอัลบั้มแห่งศตวรรษตัวจริง ซึ่งความเป็น Man on The Moon เต็มไปด้วยความทะเยอทะยานและความคิดสร้างสรรค์อันล้นเหลือ การสร้างบรรยากาศดาร์คเฉพาะในแบบที่ไม่ทับไลน์ 808’s จนเกินไป เลยเป็นที่ยอมรับชนิดที่หลุดพ้นการเป็นเด็กเส้นของ Kanye ได้ตั้งแต่เริ่มแรก
ปกอัลบั้ม Man on the Moon: The End of Day
-ความเป็นแร็ปเปอร์ผู้มีวิสัยทัศน์มากพอที่จะวางแผนในการสานต่อ Man on the Moon ให้ออกมาเป็นไตรภาคก็นับว่าเป็นความคิดที่ดี เพราะภาพจำของเฮียกลายเป็นแร็ปเปอร์สายดาร์คไซไฟไปแล้ว ไม่กี่ปีต่อมา Scott ก็สานต่อภาคสอง The Legend of Mr.Rager ที่ฉายแววความเป็นร็อคสตาร์ แร็ปติดร็อค สร้าง alter-ego อีกหนึ่งตัวละครในบทเพลงของ Scott อย่าง Mr.Rager มาเป็นตัวแทนแห่งความหม่นหมองส่วนตัวของ Scott ที่ช่วงนั้นยังคงติดเหล้า ติดยา สุขภาพจิตเริ่มครุกกรุ่นปัญหาขึ้นเรื่อยๆ เอาตามจริง ณ ตอนนั้นผมติดใจภาคนี้มากกว่าเดบิวต์อัลบั้มภาคแรก ในแง่ของอารมณ์ ความคิดความอ่าน element ที่เข้มข้นกว่า
-หลังจากภาคสองเป็นต้นไป จำได้เลยว่า ผลงานเพลงแกก็ผีเข้าผีออกอยู่เหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นการพยายามเล่นซาวนด์แต่กลับได้ความโหลงเหลงไปแทนแบบ Indicud และที่อื้อหือคือ Speedin’ Bullet 2 Heaven ที่มีหน้าปกสุดกาวในความทรงจำของใครหลายคน จนเอาไปเป็น meme กันอย่างสนุกสนาน แถมเพลงห่วยบรมชนิดที่นักวิจารณ์และนักฟังส่ายหน้าบุญไม่รับกันเป็นแถว ใครจะไปคิดว่าชีวิตแร็ปเปอร์ที่เคยเป็นดาวรุ่ง เป็นความหวังใหม่ของแร็ปเปอร์ไอคอนแห่งเมืองชิคาโก้จะมีกราฟชีวิตพุ่งดิ่งอย่างกะรถไฟเหาะ
ปกอัลบั้ม Man On The Moon II : The Legend of Mr.Rager
-อย่างที่ทราบกันดี Scott มีข้อจำกัดเรื่องของสภาวะจิตใจที่แกต้องต่อสู้กับโรคซึมเศร้ามาเป็นเวลานาน สภาพจิตใจแกเป็นเอาหนักมากถึงขั้นควบคุมอารมณ์ไม่อยู่ มี beef กับแร็ปเปอร์คนอื่นไปทั่ว ตั้งแต่ Drake ที่เคยเป็นป๋าดันให้อยู่ช่วงนึง ไม่เว้นแม้แต่ Kanye นายตัวเอง ไม่รู้ว่าโดนตัวไหนมาถึงได้ทำตัวเกรียนจนคนเอือมระอา แทบไม่ต่างกับ ส.ส.ผู้ทรงเกลียดแห่งราชบุรี ซึ่งก็ค่อนข้างหนักเลยทีเดียว ต่อให้มีอัลบั้ม Passion Pain & Demon Slaying ที่คาดหวังว่าจะเป็นการคืนฟอร์มจากอัลบั้มก่อน กลับกลายเป็นความพล่ามไปเรื่อย มีอะไรอยากพูดเยอะเกินความพอดี ตอนผมฟังอัลบั้มนี้ตอน release ใหม่ๆ แทบอยากจะหลับใส่อยู่เหมือนกัน ณ ตอนนั้นก็นับว่า Scott ยังคงอยู่ในสภาวะค่อนข้าง so-so ไม่สู้ดีเท่าที่ควร
-จนกระทั่ง Kanye จบการ beef ด้วยการชวน Scott มาร่วมโปรเจ็ค 7 แทร็ค ฟอร์มคู่หูดูโอ้ Kids See Ghosts ปล่อยผลงาน collaboration ที่โคตรดีต่อใจแฟนเพลงทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าคุณจะติดตามเส้นทางของ Scott เข้มข้นหรือไม่ก็ตาม อย่างน้อยถ้าคุณได้ติดตาม Kanye จะรู้ว่า Scott ก็คือคนที่ชะตานำพาให้เกิดมาเป็นคู่หูของซุปตาร์รุ่นพี่อย่างเห็นได้ชัด ในขณะเดียวกันก็โล่งใจที่คู่หูคู่ซี้ก้าวข้ามความบาดหมางที่มีต่อกันได้อย่างสนิทใจ และดูเหมือนว่านายของเขาจะช่วยชีวิต Scott ให้กลับมาเชิดหน้าชูตาขึ้นมาอีกครั้ง ตามมาด้วยการได้ร่วมงานกับศิลปินรุ่นใหม่ที่เติบโตมากับเพลงของเขาด้วยเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็น A$AP Rocky, Travis $cott จนสามารถเรียกศรัทธาจากแฟนเพลงกลุ่มเดิมและคนรุ่นใหม่ได้เหมือนกัน
ปกอัลบั้ม Kids See Ghosts
-ที่ร่ายไทม์ไลน์ซะยืดยาว อยากให้ลองมองย้อนเส้นทางชีวิตของแร็ปเปอร์ที่ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมามากมายเสียจนผ่านจุดตกต่ำในชีวิตมาแล้ว และก็ปฏิเสธไม่ได้จริงๆถึงความมี talent หรือ charisma บางอย่างที่หล่อหลอมให้ตัวเขาเป็นศิลปินที่มีคาแรคเตอร์ที่ชัดเจนมากสุดคนนึง จนมีสาวกเป็นกลุ่มเป็นก้อนไม่แพ้ศิลปินระดับแมสคนอื่นๆ นี่คงเป็นเวลาอันสมควรที่จะต้องปล่อยอัลบั้มภาคสุดท้ายที่เป็นได้มากกว่าการหากินกับงานคลาสสิคในแบบฉบับของแกเอง แต่เป็นการ represent การตกตะกอนความคิดจากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมาด้วยสภาวะจิตใจที่ stable กว่าเดิม อย่างที่แกเคยให้สัมภาษณ์กับ Zane Lowe ด้วยว่า เพลง Reborn จากโปรเจ็ค Kids See Ghosts คือสิ่งที่แกอยากจะบอกคนฟังถึงกลับมาของแกอย่างจริงจัง สิ่งที่แกเอ่ยไปก็ไม่ใช่แค่ลมปากแต่อย่างใด The Chosen ถือเป็นงานคืนฟอร์มของจริง
-ในที่สุด Man on The Moon คนนี้ก็ได้ Reborn เป็นเรื่องเป็นราวเสียที จากที่ได้ฟังสังเกตได้เลยว่า แกลด ego ส่วนตัวลงเยอะ ขับเคลื่อนสาสน์ด้วยสภาวะจิตใจที่มั่นคงหนักแน่นยิ่งกว่าเดิม ถึงจะไม่เน้นโชว์เหนือเหมือนที่ผ่านมา แต่ละเพลงมีลูกเล่นที่หวือหวาพอตัวเลยฮะ ถึงจะมี 18 แทร็คก็เถอะ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคต่อการตะลุยแต่อย่างใด Scott และพรรคพวกโปรดิวเซอร์มากมายไล่ตั้งแต่โปรดิวเซอร์คู่บุญ Dot da Genius, MIKE DEAN, Take a DayTrip และอีกมากมายที่ควบคุม vibe ให้ออกมาต่อเนื่อง น่าฟังตลอดต้นยันปลายม้วน และยังคงซึ่งพลังงาน hype ด้วยต่างหาก ทำได้ดีไปพร้อมๆกัน
“ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา Scott Mescudi ได้ตกอยู่ในขุมนรกเป็นเวลานาน หลังจากที่เขาเคยคิดว่าโลกของเขาได้จบลงไปแล้ว เขาเห็นความหวังที่จะเอาชนะความมืดมิดที่กัดกินชีวิตเขามาเป็นเวลานานได้ แต่ความสุขไม่จีรังยังยืน ความสงบสุขที่เขาเคยคิดว่ามี กลับกลายเป็นฝันร้ายที่ทำให้เขาอยู่ในสภาววะพ่ายแพ้กับการจัดการความเจ็บปวดในอดีตที่เขาไม่เคยรู้สึกรู้สามานานแล้ว ในค่ำคืนหนึ่งเขาต้องต่อสู้เพื่อกู้คืนจิตวิญญาณเก่าๆของเขากลับคืนมาจากปีศาจตัวร้ายนามว่า Mr.Rager ให้จงได้”
-นี่คือคอนเซ็ปท์ปิดไตรภาค Man on The Moon ที่อยู่บน back cover ของอัลบั้มที่ดีไซน์ให้ล้อกับปกหลังของหนังแผ่น DVD บอก tracklist มีการแบ่งเป็น 4 องก์ แถมแปะรูปตัวอย่างฉากหนังอีกต่างหาก เหมือนเป็นการทำให้เข้าตีม เพลงส่วนใหญ่ขับเคลื่อนด้วยความ cinematic แทบทั้งสิ้น จริงๆแล้วการแบ่งองก์ในลักษณะนี้ฟังดูซับซ้อน แต่เปล่าเลย เหมือน 2 ภาคที่ผ่านมา Scott ไม่ได้คิดพล็อตนิยายคู่ขนานให้ซับซ้อน ชนิดที่ต้องไปย้อนฟังให้รู้เรื่องปะติดปะต่อ เริ่มต้นด้วยภาคนี้ก็สามารถเข้าถึงได้ เผลอๆถ้าคุณได้อ่านที่ผมท้าวความเส้นทางชีวิตของ Scott คุณอาจจะเข้าใจสิ่งที่เขาสื่อในอัลบั้มชุดนี้ก็ย่อมได้
-เผื่อคนไม่รู้พื้นเพความเป็นมา สตอรี่ Man on The Moon อ้างอิงจากการพยายามเอาชนะกับโรคซึมเศร้านี่แหละ บางทีก็คิดได้บางอย่าง แต่บางทีก็โดนดึงดูดไปกับสิ่งยั่วยุเหมือนกัน การแบ่งองก์จึงไม่เป็นอุปสรรคเพิ่มความซับซ้อนจนเกินไป และด้วยสุขภาพจิตส่วนตัวที่เริ่มกลับมาดีขึ้น เราจึงเสพย์งานชุดนี้ได้ไม่ยากเย็น
ACT 1: RETURN 2 MADNESS
-องก์แรกเปรียบเสมือนการวกกลับสู่วังวน แทนที่จะ tense แต่แกทำออกมาอย่างสนุก แค่อินโทรเปิดอัลบั้ม Beautifu Trip ที่ออกมาเกริ่นนำสั้นๆ แต่ท่อน outro จังหวะ countdown 3 2 1 ช่างกระตุ้นให้เราอยากเดินทางไปพร้อมๆกับ Scott มาก เป็นการปล่อยยานที่ทำออกมาได้รวบรัดตัดความก็จริง แต่โคตรเฉียบ Tequila Shot โดดเด่นด้วยลวดลายของซาวน์ด ได้อารมณ์ get high สมชื่อเพลงที่กูขอกระดกซักช็อตจะเป็นไรไป สอดคล้องกับที่มาของเพลงนี้ที่ Take a Day Trip โปรดิวเซอร์ประจำแทร็คนี้เล่าเบื้องหลังเพลงนี้ให้ฟังว่า Scott ได้ไอเดียและเริ่มอัดเพลงนี้ทันที หลังจากที่เพลง The Scotts ผลงานคอลแลปกับทายาทอสูรอีกคนอย่าง Travis Scott เปิดตัวอันดับ 1 billboard chart ไม่แปลกใจที่เพลงจะเต็มไปด้วยอารมณ์เฉลิมฉลอง อย่างไรก็ดีด้วยอารมณ์ชิวล์เช่นนี้ก็เหมาะเหม็งกับการเป็นแทร็คเปิดอัลบั้ม
-ต่อเนื่องด้วย Another Day ที่แร็ปด้วยน้ำเสียงสุดเข้มที่ฟังแล้วโคตรคูล โทนดนตรีที่เริ่ม tense ขึ้น มีหลายวลีที่ตรงกับที่บอกไว้ในเรื่องย่อที่เจ้าตัวจั่วไว้ที่ปกหลังตามที่ผมได้แปลไปเนี่ย ถือเป็นใจความสำคัญของการวกกลับเข้าไปสู่วังวนของการพยายามทำให้อาการซึมเศร้าของเขาด้านชาด้วยการข้องแวะกับแอลกอฮอลล์ หญิง ยา ปาร์ตี้แบบที่เคยเป็นใน The Legend of Mr.Rager นั่นแหละ Scott ได้งัด alter-ego ดังกล่าวออกมามีบทบาทอีกครั้ง เช่นเดียวกับ She Know This ที่ใส่ความโดดเด้งให้คนฟังรู้สึก alert ไม่ตึงเกินไป แถมมีการ switch beat ได้น่าฉงนสนเท่ห์ เหมาะไปเปิดในผับก็ดูดีไม่น้อยฮะ สายแมสน่าจะชื่นชอบเพลงนี้เป็นอันดับแรกอย่างแน่นอน มาพร้อมกับแซมเปิ้ลจากบทสนทนาในหนังแฟนตาซีสุดมันส์เรื่อง Scott Pilgrim vs. The World ดูเหมือนว่าแกจะชื่นชอบหนังเรื่องนี้เป็นพิเศษ ตั้งแต่ที่แกตั้งชื่อเพลง Scott Mescudi vs. The World ล้อกับชื่อหนังชนิดที่ไม่ต้องสืบหนังโปรดของตัวเองอีกต่อไป Dive เพลงปิดท้ายขององก์แรกด้วยท่วงทำนองอิเล็กทรอนิกส์บีทสุดฟุ้ง สวนทางกับเนื้อหาที่ดำดิ่งสู่วงวนแห่งความมืดมิดยิ่งกว่าเดิม
ACT 2: THE RAGER, THE MENACE
-องก์สองเปิดด้วย Damaged ชื่อเพลงออกแนว negative ซึ่งก็ไปทางลบจริงๆแหละ อารมณ์เหมือนคนหลอนด้วยฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หรืออะไรซักอย่าง แค่เสียงเข้มๆยานๆของแกก็ทำให้มองภาพคนมึนเมาได้ออก โดยไม่ต้องพึ่งออโต้จูนเลยฮะ บอกแล้วเสียงเค้าเอกลักษณ์จริงๆ อย่างไรก็ดีภาคดนตรีค่อนข้างโลดแล่นโจนทะยานเหมือนกัน ลดความตึงได้เช่นเคย Heaven on Earth ชื่อเพลงทำให้แอบคิดนิยายแฟนตาซีไปไกล ยิ่งมีเสียงของ music box แม่งใช่เลย แต่จริงๆแล้วสวรรค์บนโลกในสายตาของ Scott คือปาร์ตี้ในแสงนีออนสลัวๆนั่นเอง ชอบการ scream Yeah ลากยาวประกอบ background เพลง แม่งโคตรเท่ห์ เป็นความ echo ที่โคตรมีชั้นเชิง
-กระตุ้นอะดรีนาลีนต่อด้วย Show Out มาในสไตล์ Drill โดยฟีทกับผู้นำเทรนด์ที่ดันตายไปเสียก่อนอย่าง Pop Smoke กลิ่นอายชวนนึกถึงโปรเจกต์ Meet The Woo 2 เหมือนกัน Skepta มาเพิ่มความบู๊ด้วยแร็พสไตล์ทะมัดทะแมงอันเป็นเอกลักษณ์ ปิดองก์สองด้วย Mr.Solo Dolo III ที่ปรับโหมด R&B ให้ท่วงทำนองฟังง่ายกว่าเพลงภาคก่อนที่แล้วมา Solo Dolo พาร์ทนี้ยังคงวกกลับสู่ความมืดแปดด้านเหมือนที่แล้วมา ถึงจะไม่เป็นที่จดจำเท่ากับ Solo Dolo (Nightmare) เพลงจากภาพแรก แต่ก็เป็นเพลง transition ที่เข้าท่าในการที่จะงัดนายเปลี่ยวเหงาออกมา represent
ACT 3: HEART OF ROSE GOLD
-ชื่อองก์นี้ฟังดูโลกสวย แต่ก็ไม่แลดูซอฟท์จนเกินไป เป็นพาร์ทที่ซึมใช้ได้เลย เพลงส่วนใหญ่ไปทางช้าๆ เปิดองก์ด้วยเพลงสไตล์บัลลาด Sad People ตรงไปตรงมาในตัวมัน ไม่เล่นภาษาที่ซับซ้อน เหมือนได้ฟังการอธิบายคนเป็นโรคซึมเศร้าได้ดีเหมือนกัน ชอบการประยุกต์เครื่องสายที่ให้กลิ่นอาย Asian Folk หน่อยๆ แต่เป็นอะไรที่เสนาะหูมากกว่าที่จะต้องมาเค้นความดาร์คไปให้มากกว่านี้ เสียงร้องแกก็คีย์ต่ำอยู่แล้ว ดึงให้คนฟังจมปลักได้เหมือนกัน ดูเหมือนจะมีเพลงที่หลุดตีมจากเพลงอื่นๆอย่าง Elsie’s Baby Boy (Flashback) ที่อยู่ดีๆก็ใส่ความคันทรี่เข้ามาเฉ๊ย แอบเชยไปหน่อย ท่อน Outro ทำออกมาได้น่าฟังยิ่งกว่าทั้งเพลงเสียอีก
-Sept. 16 vibeเพลงไปทางล่องลอยไปเรื่อย มีความละเมอเพ้อพบโหยหาความรัก ที่ไหนได้ที่มาของเพลงดันโรแมนติก เพราะชื่อเพลงอิงจากวันเกิดของแฟนสาวคนปัจจุบันของ Scott นั่นเอง ที่เซอร์ไพร์สผมมากๆก็คงเป็นการได้ FINNEAS โปรดิวซ์เซอร์ผู้เป็นพี่ชาย Billie Eilish มาเป็นหนึ่งในทีมโปรดิวซ์เพลงนี้แบบที่ไม่คิดว่าจะมาโคจรพบเจอกันได้ บางทีเพลงนี้อาจจะเข้าความเป็น Heart of Rose Gold ก็เป็นได้
-ปลุกใจด้วย The Void หนึ่งเพลงที่ดีที่สุดในแง่ของพลังการสื่อสารต่อแฟนเพลงอย่างฮึกเหิม ขอบคุณที่ไม่หายไปไหน คอยอยู่ซัพพอร์ตจนถึงทุกวันนี้ และเป็นการพยายามต่อสู้เอาชนะความป่วยจิตของตัวเอง ทำยังไงก็ได้ที่จะหลีกเลี่ยงพลังงานลบ ต่อให้กลับไปสู่ความว่างเปล่าก็ขอยอม ปิดท้ายองก์สามด้วย Lovin’ Me บัลลาดสุดไพเราะ self-love anthem สุดหนักแน่นที่ได้ Phoebe Bridgers มาร่วม Featuring เป็นอีกครั้งที่ Scott มักจะเชิญศิลปินอินดี้นอกสายฮิปฮอปมาร่วมแจม
ACT 4: POWERS
-องก์สุดท้ายแห่งการมอบพลังความสนุกและกำลังใจไปพร้อมๆกัน เป็นองก์ที่ให้อารมณ์ชิวล์สุด ชนิดที่ละทิ้ง mood หม่นๆออกไป แล้วไหลไปตามเพลงอย่างอิสระ เริ่มด้วย The Pale Moonlight โดดเด่นด้วยบีทสแคลชจาก Ratatat โปรดิวซ์เซอร์ที่ร่วมงานกันบ่อยตั้งแต่อัลบั้มแรก Rockstar Knights เข้าสู่โหมด swag trap เต็มสูบประสานพลังกับรุ่นน้อง Trippie Redd ไม่เน้นเดือด แต่เฟี้ยวเงาะมากๆ
4 da Kidz เป็นการมอบพลังกำลังใจให้คนฟังได้เรียบง่ายทั้งภาษาและบีทเพลง ยังไม่มีอะไรมากเท่ากับ Lord I Know เพลงปิดท้ายที่ทำออกมาได้ทรงพลัง มีลูกเล่นที่แพรวพราวกว่า สาสน์เพลงก็ซาบซึ้งเหมือนได้เห็นเจ้าของอัลบั้มเจอหนทางสว่างเป็นของตัวเอง ซึ่งผมก็หวังว่าแกจะพบความสุขที่แท้จริงเสียที ท่อน Outro เป็นอะไรที่งดงามและน่าประทับใจ เหมือนได้เจอไคล์แมกซ์เอาตอนจะปิดอัลบั้มของจริง
-To Be Continued คือประโยคสุดท้ายที่เราได้ยินในอัลบั้ม เป็นการมอบความหวังไปในตัวว่า เขาไม่หายไปแน่ ต่อให้ Man On The Moon ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายก็ตาม ทุกครั้งที่เห็นปมสุขภาพจิตส่วนตัวของศิลปินก็อดคิดกังวลไม่ได้เสียจริงว่า เขาจะหายไปนานเลยหรือไม่ ดูจากการเดินสายไปแจมกับศิลปินรุ่นน้องและรุ่นพี่ในวงการฮิปฮอปก็พอโล่งใจไปหนึ่งเปราะถึงการได้รับความเชื่อมั่นกลับคืนมา ใครจะไปคิดว่าแร็ปเปอร์ที่เคยมีอดีตตกต่ำจนแทบไม่มีความหวังที่จะกลับมาได้อย่างสง่างาม กลับกลายเป็นคนที่ยืนได้อย่างมั่นคงจวบจนปัจจุบัน เอกลักษณ์พรสวรรค์ก็ส่วนนึงที่ทำให้เขาอยู่ในจุดที่น่าพึ่งพอใจได้ เหนือสิ่งอื่นใด mindset ที่มันยังดีอยู่ก็ช่วยทำให้ Scott อยู่เป็น ฟื้นคืนชีพกลับมาแบบฆ่าไม่ตาย มีแต่ขลังและขลังขึ้นทุกวัน
-The Chosen อาจจะไม่ใช่งานท็อปฟอร์มโชว์เหนือให้เด็กดู แต่มันเต็มไปด้วยความเคารพในตัวเองสูงชนิดที่ศิลปินรุ่นใหม่หลายคนอาจจะเจริญรอยตาม ผมก็คิดเล่นๆเหมือนกันว่า เราอาจะได้เห็นงานที่ไม่ขับเคลื่อนด้วยอีโก้จัดแบบนี้ในงานเพลงอนาคตของ Travis Scott ก็เป็นได้ แปลกดีสำหรับคนที่เคยคืนชีพ Scott อย่าง Kanye กลับตกอยู่ในสภาวะตกที่นั่งลำบาก ต่อให้ยังเอาตัวเองยังไม่รอด ณ ตอนนี้ อย่างน้อยคานเย่ก็มองคนขาดไปถึงอนาคตว่า Scott คนนี้แม่งต้องมาแน่ๆ
แล้วเขาก็กลับมาผงาดได้จริงๆ
Top Tracks: Another Day, She Knows This, Damaged, Heaven on Earth, Mr.Solo Dolo III, Sad People, The Void, Lovin’ Me, The Pale Moonlight, Rockstar Knights, Lord I Know
Give 7.5/10
Thx For Readin’
See Y’all
โฆษณา