The Pursuit of Happyness
การต่อสู้ ดิ้นรน กัดไม่ปล่อย เพื่อให้มีชีวิตที่ดีขึ้นของผู้เป็นพ่อ
ผมเจอหนังเรื่องนี้โดยบังเอิญและเป็นเวลาเดียวกันกับความคิดที่ว่าอะไรควรจะเป็นโพสต์แรกของเพจดี
มันเป็นเรื่องที่เหมาะกับโพสต์แรกของเพจวิถีพ่อบ้านจริงๆ
The Pursuit of Happyness เป็นชื่อของหนังเรื่องนึงในปี 2006 นำแสดงโดยวิลล์ สมิธ และ เจเด้น สมิธ
คริส การ์ดเนอร์ (วิลล์ สมิธ) เซลล์แมนขายเครื่องเอ็กซเรย์จากซานฟรานซิสโก เขามีภรรยา (ลินดา) ทำงานเป็นคนทำความสะอาดในโรงแรมและมีลูกชาย (คริสโตเฟอร์) วัย 5 ขวบที่ต้องเข้าบ้านเลี้ยงเด็กทุกวัน เพราะพ่อและแม่ไม่มีเวลาเลี้ยงดู
หลังจากส่งลูกชายไว้ที่บ้านรับเลี้ยงเด็ก คริสก็ตะเวนขายเครื่องเอ็กซเรย์ที่เขาลงทุนซื้อมาตามโรงพยาบาลตลอดวันและตกเย็นเขาก็จะมารับลูกชายทุกวัน
คริสเป็นคนที่อยากให้ครอบครัวมีความสุขและมีชีวิตที่ดีขึ้นแต่ชีวิตมันไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
เครื่องเอ็กซเรย์ที่คริสลงทุนยังไม่ได้รับความนิยมและคริสก็ยังขายได้น้อยจนทำให้มีรายได้ไม่พอจ่ายค่าเช่าบ้านหลายเดือน ภรรยาของเขาทนไม่ไหวกับภาระค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นทั้งตัวเองยังต้องทำงานควบกะที่โรงแรมอยู่เสมอ จนในที่สุดภรรยาของคริสก็ย้ายไปทำงานที่เมืองอื่น
คริสและลูกชายวัย 5 ขวบจำเป็นต้องย้ายไปอยุ่บ้านที่เล็กลงและใช้ชีวิตอย่างไม่ค่อยจะพอมีพอกิน
ก่อนหน้านั้นคริสได้สมัครเป็นโบรกเกอร์ฝึกหัดซึ่งไม่ได้รับเงินเดือนใดใดและคริสก็ยังต้องตระเวนขายเครื่องเอ็กซเรย์ไปด้วยเพื่อให้มีเงินจ่ายค่าบ้านรับเลี้ยงเด็กและพอประทังชีวิต
เมื่อเงินหมด คริสเคยตกต่ำถึงกระทั่งเป็นคนไร้บ้าน ร่อนเร่หาที่นอน ต้องไปต่อคิวเพื่อเข้าบ้านพักที่รัฐจัดไว้ทุกวัน แต่โชคชะตาก็ไม่หยุดกลั่นแกล้งคริสแค่นั้น บางวันถ้าไปต่อคิวไม่ทันคริสและลูกชายก็ไม่ได้นอนในบ้านพัก ขนาดที่ว่าต้องไปนอนที่ห้องน้ำสาธารณะในสถานีรถไฟแทน
แต่คริสก็ไม่เคยย่อท้อต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขายังคงตั้งใจ มุ่งมั่นอ่านหนังสือเพื่อสอบเป็นโบรกเกอร์หุ้นให้ได้ และเครื่องเอ็กซเรย์ก็เป็นที่ยอมรับมากขึ้นและขายดีขึ้นเรื่อยๆ
และแล้วพระเจ้าคงเห็นใจการทำงานหนักและสู้ชิวิตของคริส บริษัทโบรกเกอร์ตัดสินใจรับคริสเข้าทำงาน คริสสอบผ่านการเป็นโบรกเกอร์ได้ เขาเป็นเพียงหนึ่งเดียวที่ได้รับคัดเลือก
หลังจากที่คริสเป็นโบรกเกอร์อยู่ได้ระยะเวลาหนึ่ง เขาก็เปิดบริษัทค้าหุ้นเป็นของเขาเองและยังได้ขายหุ้นส่วนน้อยไปบางส่วน ทำให้เขามีเงินหลายพันล้านดอลลาร์ในเวลาต่อมา
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ผู้เป็นพ่อคงเข้าใจดีว่า การทำงานหนักเพื่อเติมเต็มชีวิตของลูกๆ ต้องทุ่มเทขนาดไหน
ชีวิตจริงก็คงไม่เหมือนในหนังที่เล่ามา บางคนอาจหนักยิ่งกว่าคนไร้บ้านเสียด้วยซ้ำ
แต่ใครจะรู้ล่ะ ว่าเวลาไหนที่พระเจ้ากลั่นแกล้งหรือวันไหนที่ประทานพรกันแน่
ใครจะรู้ล่ะ ว่าสิ่งที่เรากำลังสู้อยู่ทุกวันนี้จะดีสำหรับอนาคตของครอบครัว
เราไม่สามารถคาดเดาได้เลย
มีแต่เพียงเสียงหัวเราะและรอยยิ้มของลูกเท่านั้นและที่เราสามารถรับรู้ได้ ว่ามันคือความสุข
ดวงตาใสใสและน้ำเสียงเจื้อยแจ้วนั้น เป็นกำลังใจและแรงบันดาลใจได้เป็นอย่างดี ที่จะสู้ชีวิตต่อไป
เชื่อเหลือเกินว่าโพสต์นี้จะสามารถสร้างกำลังใจให้กับผู้เป็นพ่อหรือใครก็ตามที่กำลังท้อแท้กับสภาวะ สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ ให้ก้าวข้ามผ่านอุปสรรคไปได้
เมื่อเราสู้ ดิ้นรน และกัดไม่ปล่อย ในการทำสิ่งใดแล้ว ความสำเร็จที่เราใฝ่ฝันมันจะต้องเกิดขึ้นได้อย่างแน่นอน
ลุย!!!
ขอบคุณภาพจาก medium.com
- 8
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
