21 ม.ค. 2021 เวลา 06:27 • กีฬา
Thailand by UTMB, Chiang Mai, Thailand
(October 30th 2020, 160km 7,500m+, bib 416, finished 45:06:35)
Taking Off
Thailand by UTMB อินทนนท์6 ระยะทาง170กม. ออกตัววันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม ฝนตกอย่างหนักจึงมีการเลื่อนเวลาและปรับเส้นทางเล็กน้อย จากเดิมมี15 aid stations(A1-15) ลดลงเหลือ13 aid stations(ตัดA6และ7ออกไป) ส่วนระยะเหลือ160กม.โดยประมาณ ผมไม่ขอรีวิวเส้นทางความโหดร้ายของสภาพสนามและอากาศนะครับ เอาเป็นว่าสุดๆล่ะกัน ตรงนี้ผมขอเขียนบันทึกและแชร์ประสบการณ์สุดตื่นเต้นประทับใจก่อนที่ความทรงจำจะเลือนลางนะครับ
Uncle Rob
เที่ยงตรงนักวิ่งทั้งหมดระยะนี้86คนออกตัวพร้อมกันท่ามกลางสายฝน ไม่นานนักกลุ่มก้อนของนักวิ่งก็เริ่มแตกย่อยกันไปตามเพซของใครของมัน ตลอดช่วงนี้ไปถึงช่วงบ่าย ผมพยายามเกาะลุงร็อบ เซเลปนักวิ่งชาวอังกฤษ อายุ61 ที่เพิ่งคว้าที่2 รายการ230กม.ที่เชียงรายเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา
ลุงร็อบมารายการนี้มือเปล่าคือไม่ได้ใช้ไม้โพล ผมสังเกตเห็นแผลตามตัวของแกที่เพิ่มมากขึ้นตามระยะทาง แกลงเขาได้เร็วและแข็งแรงมาก ส่วนผมอาศัยสดกว่าจะนำตอนขาขึ้นเขา ระหว่างที่ตามแกไปก็ชิดแชทกันพอเป็นพิธี ลุงเป็นคนน่ารักมาก ผมจับความรู้สึกที่คล้ายๆนักวิ่งทุกคนได้คือมีความกังวลลึกๆขณะที่วิ่ง แต่เมื่อไหร่ที่ลุงร็อบพูดแกจะไม่ลืมที่จะสร้างรอยยิ้ม เข้าaid stationทุกครั้งก็จะทักทายผู้คนด้วยอัธยาศัยที่น่ารัก หวังว่าถ้าเจอกันโอกาสหน้า คุณลุงจะจำผมได้นะครับ
Uncle Rob
Move On
Fast forwardเข้าสู่วันใหม่ ผ่านค่ำคืนที่"เลวร้ายและน่ากลัวที่สุดในชีวิต"มาได้ มาถึงA8 ระยะทางเกือบ80กม. เป็นจุดที่มีdrop bag ผมเปลี่ยนรองเท้าแล้วออกตัวมาคนเดียว ระหว่างวิ่งอยู่แบบใจลอยๆ ผมตกใจมากเพราะมีนักวิ่งสวนทางมา เอ้ย!นี่มันฝาหรั่งชาวสวีเดนที่ผมเพิ่งเจอเมื่อตะกี้ที่A8 เราสองคนงงกันมาก ต่างคนต่างมันใจว่ามาถูกทาง พยายามเปิดแผนที่ที่นาฬิกาที่โทรศัพท์แต่ก็ฟันธงกันไม่ได้ว่าควรไปทางไหน เราเสียเวลาตรงนี้กันพอควร จนผมบอกว่าตรูจะไปทางนี้แหละ ถ้าไปผิดทางก็จะย้อนไปA8 แล้วก็จะคงจะถอนตัว ส่วนอีตาฝาหรั่งบอกว่าฉันก็จะไปทางของฉัน ถ้าเจอใครสวนมาอีกคนก็จะค่อยกลับตัว โอเคconverse...ทางใครทางมัน
ผมวิ่งไปได้ซัก10กว่านาที ในความโชคร้ายก็ยังโชคดีที่ไปผ่านแอ่งน้ำที่จำได้ว่าเคยผ่านมาแล้ว shit! นี่เริ่มเบลอแล้วใช่มั้ย ผมคิดว่าสาเหตุน่าจะมีจุดที่ผมหยุดแล้วหยิบของหรือก้มทำอะไรซักอย่าง แล้วพอเงยหน้าขึ้นก็หลงทิศทาง คิดไปก็เท่านั้น เซ็งๆๆๆ รีบกลับตัวแล้วจ้ำเลย
นี่ละครับความน่ากลัวของการวิ่งระยะไกลที่คนร่วมทางน้อยๆ หลงทิศแต่ยังอยู่บนเส้นทางอาจจะเสียหายมากกว่าออกนอกเส้นทางนะครับ เพราะออกนอกเส้นทางไม่เกิน5นาทีเราจะรู้เพราะมันไม่มีmarkersหรือribbons แต่หลงทิศนี่ถ้าโชคร้ายอาจใช้เวลานานกว่าจะเจอใครตามหรือสวนมา แล้วถ้าเหตุเกิดตอนกลางคืน การที่จะจดจำจุดสังเกตจุดต่างๆก็จะยากมากขึ้นไปอีก
scary night
Combat Medic
พอมาถึงA9 ผมเห็นMattiasนั่งซดข้าวสบายเฉิบรออยู่แล้ว ผมรีบขอโทษขอโพยที่ทำให้เสียเวลา Mattiasบอกว่าไม่เป็นไรเลยโนวอรี่ มาถึงจุดนี้ผมเหนื่อยและเริ่มท้อ แม้ยังมีแรงไปต่อแต่มองไม่เห็นความเป็นไปได้ว่าจะไปได้จนสุดทาง Mattiasรับฟังเราปรับทุกข์ บอกว่าเค้าก็คิดเหมือนกัน แต่ยังไงก็จะไปต่อและหวังว่าผมจะตามไป ผมนั่งพักและมองไปรอบๆ จุดนี้มีนักวิ่งพักอยู่อีก2-3คน คนนึงต้นขาเสียดสีจนไหม้เหวอะ อีกคนโดนแมลงอะไรไม่รู้เข้าไปฝังตัวอยู่ใต้ผิวหนัง พี่สตาร์ฟบอกว่าผมเป็นคนที่18ที่เข้ามา และข้างหน้ามี2คนที่มุ่งหน้าไปถอนตัวที่A10 ส่วนลุงร็อบถอนตัวที่A8 โหดสุดๆไปเลยสนามนี้ Mattiasนี่สรุปไปจบที่11overallนะครับ ไม่ธรรมดา
The Three Musketeers
A10เป็นaid stationใหญ่ที่มีอาหารหรู มีบริการนวดด้วย แต่ผมกลับเลือกใช้เวลาในการซักรองเท้าแบบถอดออกมาตากอย่างจริงจัง ผมใช้เวลาตรงนี้มากพอควรจนมีนักวิ่งทยอยเข้ามา หนึ่งในนั้นทักผมว่า"เป็นไงบ้างพี่" ผมจำไม่ได้ว่าเคยทักกันมาก่อนหน้านี้ เราออกตัวจากA10มาด้วยกันพร้อมกับบัดดี้ของน้องอีกหนึ่งคน
"ยา"มาจากกรุงเทพ ผมไม่เคยรู้จักคนชื่อยา นึกในใจยาไหนว่ะ"ยาเสพติด"รึเปล่ากำลังต้องการอยู่พอดี มาจาก"ไชยา"ครับพี่ อีกคนชื่อ"โต๊ด" แหลงมาเลยครับคนนี้ เดินทางไกลมาจากสุราษฎร์กับเพื่อนๆ หน้าตาถอดแบบมาจากตลกโชเล่ย์ มีบุคลิกโคตรคิดบวก เหมือนคนมีของ ขอเรียกว่าพี่โต๊ด ผมก็แนะนำตัวเองไปพอสังเขป บอกกับทั้งสองคนไปว่าอยากยอมแพ้แล้ว เท้าเริ่มพัง ไม่สนุก ไม่มีไฟ แค่อยากไปให้ถึงA11 เพราะมีเพื่อนมาเป็นอาสาสมัครอยู่ที่นั่น
น้องยา-พี่โต๊ด
Confusion
A11 110กม.แล้ว แดดแรกหลังจากหนึ่งวันกว่าๆทอลงมา เห็นเต้นท์aid stationอยู่ข้างหน้า โมเมนต์นี้คือดีใจนะ อย่างน้อยก็มาเจอเปาว์ เพราะแทนที่จะถอนตัวที่A10(ใกล้ที่พักที่สุด) แล้วต้องส่งข้อความมาบอกเปาว์ว่าไปไม่ถึง แต่นี่ผมได้มาบอกเปาว์ด้วยตัวเองจนได้
ผมบอกกับเปาว์ว่าให้ดูแลยาก่อนเพราะน้องไปต่อแน่ เราไม่รีบและคงพอแค่นี้...น้ำตาคลอ พี่โต๊ดตามเข้ามาสมทบ ทั้งสองคนพักไม่นาน ชักชวนผมให้ไปด้วยกัน ผมบอกให้ทั้งสองคนไปเถอะ ณ จุดนี้ผมมั่นใจมาก ควักมือถือออกมาครั้งแรกและคอมเมนต์ไปที่โพสต์ว่าจะถอนตัวแล้ว
ผมไปเข้าส้วมมีแต่ลมออกมาเลยออกมาดราม่าต่อกับเปาว์ ภาพบรรยากาศคืนสยองขวัญที่ผ่านมามันช่างหลอน ผมไม่อยากเจอค่ำคืนอย่างนั้นอีกหนึ่งคืน จากตรงนี้วิ่งกลับไปที่พักก็ไม่ไกล ไปถึงก็แค่เย็นๆยังไม่มืด ค่ำคืนนี้ก็จะเป็นแบบอาหารมื้อใหญ่ๆจิบเบียร์รัวๆ พี่คะเดี๋ยวๆๆ น้องสตาร์ฟอีกคนทักขึ้นมาว่าทำอย่างนั้นไม่ได้นะครัช จะDNF(Did Not Finish)ก็จะต้องเรียกรถมารับคะ ภาพหลอนตอนนั่งรถDNFเมื่อ2เดือนที่แล้วฉายขึ้นมาทันที คอยก็คงนานและนั่งรถที่มีชาวดอยขับมันโคตรหวาดเสียว เปาว์ไม่ได้ห้ามปรามแม้แต่น้อยในตอนที่จะถอนตัว แต่ดูแฮปปี้มากกว่าที่ผมตัดสินใจไปตายเอาดาบหน้า แถมอุตส่าห์เดินออกมาส่งบอกว่าอยากรู้ว่าคนที่มุ่งหน้าสู้100ไมล์เค้าไปกันยังไง
A11 The Turning Point
Determination
ออกมาจากA11 สักพักก็ไล่มาเจอยากับพี่โต๊ด ทั้งสองคนดีใจที่ผมมาร่วมทางจนได้ พี่โต๊ดบอกว่าเมื่อคืนอยู่กับยามาทั้งคืน ปล่อยมุขไปหมดแล้ว ดีแล้วที่มาจะได้ช่วยสลับๆกันบ้าง ผมก็แบ่งรับแบ่งสู้ไม่รู้ว่าจะไปต่อได้แค่ไหน ถามพี่โต๊ดไปว่า ถ้าเราไปกันอย่างนี้เราจะจบได้มั้ย พี่โต๊ดตอบทันที "โถ่ ตามๆมาทางนี้เลย" "ระยะแบบนี้น่ะเราต้องเหนียวเข้าไว้" ผมตาโตทันทีเมื่อได้ยินคำคำนี้ ทิ้งความกลัวความกังวลไปหมดสิ้น และโฟกัสกับคำนี้คำเดียว..."เหนียว"
ก่อนจะถึงA12เราไล่มาเจอนักวิ่งคุณลุงชาวญี่ปุ่น จริงๆผมก็นำแกบ้างตามแกบ้างมาตลอด สภาพแกดูไม่ดีนักแต่"เหนียว"โคตรๆ ผมชักชวนแกให้เกาะไปด้วยกันในคืนที่จะถึงนี้น่าจะปลอดภัยกว่า เพราะช่วงที่เราเพิ่งผ่านกันมามันมีจุดนึงที่ริบบิ้นหายไป ซึ่งทำให้เราเสียเวลากันไปพอสมควร และถ้าผ่านจุดนั้นตอนกลางคืนคนเดียว ผมว่ามันสยองนะ
storm & rain
Fuck!!!
ถึงA12 เราวางแผนกันว่าจะใช้เวลาไม่มากที่จุดนี้ ผมถอดถุงเท้าออกมาให้สตาร์ฟดูและถามว่าสภาพแบบนี้ไปได้ไหม "โอ้ย ไอ้ยูเครนก่อนหน้านี้ เท้ามันเละกว่านี้มากมันยังไปเลยพี่" โอเคนี่ตรูโดนด่าว่าใจตุ๊ดสินะ55 ผมบอกคนอื่นให้ออกไปก่อนเลยเพราะผมจะพักเท้าให้แห้ง พี่โต๊ดยืนยันว่าจะคอย ผมรีบใส่ถุงเท้ารองเท้า เติมน้ำเสร็จ บอกให้ออกกันไปก่อนเถอะเพราะเดี๋ยวผมก็ตามไปทัน ผมรีบหยิบไฟคาดหัวออกมา กดเปิดกดปิดปิดๆเปิดๆ เปลี่ยนขั้วถ่าน ทำยังไงไฟก็ไม่ติด ชิหายแล้ว จังหวะนี้ลนลานมากมือสั่นจิตตก พี่สตาร์ฟคนเดิมมาช่วยดูบอกให้ใจเย็นๆ แกอุตส่าห์ไปเอาที่ชาร์จมาเสียบตรงให้ ไฟแดงๆกระพริบบ่งบอกว่าแม่งเจ๊งงง Fuckๆๆและฟัก ไฟสำรองง่อยๆน่ะมี แต่ดันถอดสายคาดหัวออกไปเพราะคิดว่าแค่พกตามกฎคงไม่ได้ใช้หรอก(เป็นไง...มินิมอลนักใช่มั้ยมึง) สามคนนั้นก็ออกกันไปไกลแล้วด้วย นี่คงเป็นไฟลท์บังคับให้DNFสินะ พี่สตาร์ฟบอกยังไงก็ไปเถอะ ที่A13ออกง่ายกว่าจุดนี้ อยากให้ไปถึงA13แล้วค่อยว่ากันอีกที
ปล. เทรลที่technical และอาจจะเจอกับสภาพอากาศแย่ๆ Headlampง่อยๆมันจะทำให้เราไปได้ช้ามากๆครับ ซึ่งขณะนั้นเพิ่งจะหัวค่ำประเมินแล้วไม่รอดแน่นอน
The Darkness
มุ่งสู่A13 มือข้างหนึ่งถือไฟส่อง อีกข้างก็รวบไม้โพลทั้งสองไว้ เป็นsurvival modeที่แท้ทรู ท่องในใจว่าอดทนๆ aid stationหน้าคือจบแล้ว คราวนี้จะโพสต์เรื่องDNFยังไงดีน้า อุตส่าห์ผ่านจุดต่ำๆมาก็เยอะ สู้กับมันจนกลับมาได้ สวรรค์ส่งrescue teamมาให้ ท้องฟ้าคืนนี้ก็ดูเหมือนจะเป็นใจ ดันมาตกม้าตายเพราะไฟเจ๊งบวกกับความมินิมอลโง่ๆของตัวเอง
ทางยิ่งไกลก็ยิ่งแคบ เข้าไปยิ่งลึกป่าก็ยิ่งรก น่ากลัวมาก จะไปให้เร็วก็ไปไม่ได้ต้องส่องต่ำที่พื้นทีส่องสูงหาริบบิ้นที สำคัญที่สุดสถานการณ์แบบนี้คือห้ามหลงทางเด็ดขาด ณ จุดนี้น้ำตาเริ่มคลอแล้ว คิดว่ากลับหลังไปA12อาจจะปลอดภัยกว่ามั้ย
ทันใดนั้นผมมองเห็นแสงไฟแว๊บๆอยู่ไกลๆ ตอนนั้นไม่ได้คิดว่าผีหรือคน ผมรีบปิดไฟเพื่อที่จะมองให้เห็นได้ชัดขึ้น แสงไฟจริงๆด้วย ผมเปิดไฟรีบจ้ำอย่างไม่คิดชีวิต ไล่ไปจนถึงที่มาของแสง อ่าว...คุณลุงญี่ปุ่นนี่เอง แกคงจะเจ็บมากจนไปกับสองคนนั้นไม่ไหว ผมอธิบายให้แกฟังเรื่องheadlamp บอกแกว่าตั้งใจจะมาอาศัยแสงนำทางเพื่อที่จะไปให้ถึงA13เท่านั้น แกบอกว่าเอาไฟสำรองของแกแล้ววิ่งไปเลย ผมขอบคุณแต่ไม่ขอรับ เราเดินทางไปด้วยกันคุยกันยาวนานมาก จนผมรู้สึกชินกับบรรยากาศ ตอนช่วงท้ายเลยออกตัวนำแกไปจนถึงA13
Reunion
A13 จุดdrop bag ทันทีที่เข้ามาน้องสตาร์ฟรีบเอาถุงdrop bagมาให้ ผมบอกว่าขอฝากไว้ก่อนได้มั้ย เพราะอาจจะDNFที่จุดนี้ ระหว่างที่เล่าเหตุการณ์ให้พี่โต๊ดและยาฟัง ผมก็เอาไฟหลักออกมาลองเปิดอีกที พรึ๊บ...อ่าวคราวนี้มันดันติดเว้ยเฮ้ย นี่ตรูตั้งใจจะเข้ามาDNFก็ว่าวซะงั้น ชีวิตพลิกผันรัวๆทุกaid stationจริงๆ
A13 จุดนี้130กม. ผมได้คุยกับพี่จุ๋งrace director ผมถามว่านักวิ่งแนวหลังอย่างเรามีโอกาสกันแค่ไหน พี่จุ๋งบอกว่า ณ จุดนี้มีคนจบไปแค่3คน แต่เวลายังมี ถ้าไปเรื่อยๆไม่หยุดยังมีเวลา จากที่ฟังพี่จุ๋งผมตีความได้ว่า30กม.สุดท้ายนี้ยากมาก มีคนข้างหน้าพวกเราค้างอยู่ตอนนี้ประมาณ20คน ถ้าเราเข้าไปร่วมวงเราน่าจะเป็นกลุ่มแรกที่ต้องเริ่มใช้โหมดหนีตายแล้วเพราะเท่าที่ทุกคนรู้หนังชีวิตจริงๆคือช่วงท้ายต่อไปจากนี้ ก่อนออกจากA13ผมบอกลาคุณลุงญี่ปุ่นบอกให้แกรีบตามมา แกหยิบโทรศัพท์ออกมาขอแอดเฟซบุ๊คผม...ยังมีอารมณ์555
To Smell the Roses
หนทางสู่ A14นั้นยากระดับกลางๆ เราพยายามที่จะเฉลี่ยแรงและค่อยๆประคองไป ผมใช้เวลาตรงนี้พยายามไม่คิดถึงจุดหลังจากนี้ที่ต้องขึ้นเขาสู่พระธาตุ พยายามไม่ลนลานไปกับเวลา แต่พยายามคิดบวกชื่นชมตัวเอง ขอบคุณคนรอบข้างที่ช่วยพยุงช่วยดันผมจนมาถึงจุดนี้ จริงที่เส้นชัยสำคัญเพราะเรามากันใกล้มากเกินกว่าที่จะปล่อยให้หลุดมือไป แต่สำคัญเหนือสิ่งอื่นใดคือความภูมิใจที่เราผ่านการฝึกซ้อมมาและได้ใช้มันรับมือกับความยากลำบากอย่างเต็มศักยภาพ มันเป็นความรู้สึกที่สดชื่น...เบา reborn!
เราสามคนมาถึงA14 จุดเริ่มต้นทางขึ้นพระธาตุ พี่โต๊ดควบคุมเวลาได้ดีตามที่คาดหมาย เราคุยกันว่าแม้จะอีกแค่18กิโล เราจะประมาท ไม่ได้เลย เพราะฉะนั้นรีบพักแล้วรีบขึ้นไปพระธาตุ เหมือนทุกๆครั้งที่ออกตัว ผมให้พี่โต๊ดและยาล่วงหน้าไปก่อน เท้าของผมเยินมากและรู้สึกว่าเล็บเท้านิ้วก้อยจะหลุดสดๆด้วย จุดนี้มีคุณหมอผมเลยขอให้คุณหมอดูให้ ก็เป็นไปตามคาด นอกจากคุณหมอจะไม่ทำอะไรแล้ว แกยังชมว่าเล็บเท้าสวยกว่าคุณหมออีก คุณหมอบอกว่ายังไม่อยากทำอะไรตอนนี้ ไปอย่างนี้แหละ เอาให้จบไปก่อน
Hallucinations
มุ่งสู่A15 พระธาตุดอยอินทนนท์ ผมใช้เวลาสักพักก็ไล่มาสมทบกับพี่โต๊ดและยา เริ่มขึ้นเขามาได้สักพักก็ไล่มาเจอนักวิ่งหญิงคนนึง ผมไม่คุ้นและรู้ทันทีว่าต้องเป็นหนึ่งในนักวิ่งแนวหน้าที่นำมาตลอด น้องบอกว่าน้องง่วงมากให้ผมแซงไป พี่โต๊ดบอกว่าอย่านอนบนนี้เด็ดขาด ถ้าไม่ไหวก็ให้กลับลงไปนอนข้างล่าง
เราสามคนเกาะกลุ่มกันต่อไป ช่วงนี้เจลเหลือกี่ซองผมเฉลี่ยใช้หมดเกลี้ยง คือมันเป็นทางขึ้นที่ชันและยาวมาก เกือบสองคืนเต็มแล้วที่เราไม่ได้พักหลับตาเลยแม้แต่น้อย ขาผมยังขึ้นไปได้เรื่อยๆ แต่สมองจะเริ่มเบลอๆแล้ว และจุดนี้เองที่ผมได้สัมผัสกับภาพหลอนครั้งแรกในชีวิต ทุกสิ่งที่เห็นไม่ว่าจะเป็นเงา ต้นไม้ ฉากหลังเขา พุ่มหญ้า สมองจะแปรเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นสิ่งเดียวที่เราอยากให้เป็น "พระธาตุๆๆ" พระธาตุอยู่รอบตัวเต็มไปหมด มองไปทางไหนก็พระธาตุ แต่ไปใกล้ๆแล้วไม่ใช่ ไปเท่าไหร่ก็ไม่ถึงซักที จังหวะที่ตั้งสติกลับมาได้พอแหงนหน้าขึ้นก็จะเห็นริบบิ้นสะท้อนกลับมาเป็นทางขึ้นไกลลิบ ท้อแล้วท้ออีกจนผมต้องบอกพี่โต๊ดกับยาที่ตามมาข้างหลังว่าอย่ามองไกล มองแค่พื้นตรงเท้า ก้าวสั้นๆ ผมจะนำทางให้เอง
Finale
ทำไมภาพหลอนครั้งนี้ดูใหญ่สมจริงมาก ผมคิดในใจโดยที่ลืมไปว่าฟ้าเริ่มสางแล้ว และครั้งนี้คือพระธาตุจริงๆ แม้จะห่างแต่อีกไม่ไกล การเดินทางที่เห็นเป้าหมายกับการเดินทางในความหลอนอันมืดมิดมันเปรียบได้กับสวรรค์นรกจริงๆ
เราสามคนเข้ามาถึงA15ที่ตั้งของพระธาตุดอยอินทนนท์และออกไปพร้อมกันเป็นครั้งสุดท้าย สตาร์ฟคนหนึ่งตะโกนไล่หลังมาว่าสามคนนี้ใส่เสื้อสีฟ้าเหมือนกันเลย เออหว่ะจริงด้วย เพิ่งสังเกต หรือเรามัวแต่มองไกลไปข้างหน้า หรือเราดื่มด่ำกับสิ่งต่างๆระหว่างทางน้อยไป
9กม.สุดท้ายลงเขา ช่วงแรกเส้นทางเป็นถนนราว2กม.อันนี้ทรมานมากๆ ผมเจ็บเข่าขวาลงไม่ไหวต้องหันหลังถอยลงไป พี่โต๊ดดูเหมือนไม่มีปัญหาตรงจุดนี้จึงนำห่างผมกับยาไปจนลับตา เราสามคนทิ้งระยะห่างกันจนไม่เห็นกันและกัน ก็เป็นไปตามที่พี่โต๊ดบอกไว้ก่อนนี้ว่าหลังจากพระธาตุให้ลงกันด้วยเพซใครเพซมัน
พอหมดช่วงถนนก็เข้าเทรล ช่วงสุดท้ายนี้โหดเหี้ยมอันตรายสุดๆ ลงแบบโรยตัวกันเลย ผมหันหลังเอามือค้ำพื้นถอยลงอยู่หลายจุด ได้ยินเสียงเหมือนมีใครไล่หลังมาผมนึกว่ายา ที่ไหนได้กลับเป็นพี่โต๊ด ซึ่งแกบอกว่าแกแวะไปถ่ายหนักมา55 อะไรมันจะครบรสจนนาทีสุดท้ายขนาดนี้ ผมถามพี่โต๊ดว่าเราสามคนรอเข้าพร้อมกันดีมั้ย พี่โต๊ดบอกว่าเทรลแบบนี้บวกกับสภาพของยาคงจะอีกนาน พี่โต๊ดบอกให้ผมเข้าไปก่อน แกตามเข้ามาติดๆ และอีก15นาทีถัดมายาก็เข้ามาปิดท้าย มารู้ตอนหลังว่าเราทั้งสามคนอยู่ในรุ่นอายุเดียวกันเลย ส่วนคุณลุงญี่ปุ่นก็จบนะครับ ที่3รุ่นอายุ50ซะด้วย สุโค่ยจริงๆ
The Finish Line
ผมไม่รู้จะขอบคุณใครดีที่ทำให้บังเอิญได้เจอทุกคนในที่นี่ ประสบการณ์ครั้งนี้มันล้ำค่ามาก
ไม่มี"ลุงร็อบ"ตอนออกตัว ผมคงเหงา
"น้องเล็ก" หญิงสุดแกร่งจากภูเก็ต โคตรคิดบวก
"มณ" อันดับ2หญิง ที่คอยและลากช่วง A5-A8
ถ้า"Mattias"ไม่ออกตัวตามมา ผมคงผิดทิศไปอีกไกล
"แก๊งเสื้อฟ้า" ไม่มีสองคนนี้ผมจบไปนานแล้ว ...จบเห่นะ
"เปาว์" จุดหักเห พลิกผัน จุดจบที่ไม่จบ จุดไม่จบที่จบ
คุณลุงญี่ปุ่น "Tsutomu" แรงบันดาลใจและแสงสุดท้ายที่แท้ทรู
"สตาร์ฟ"ทุกท่านทุกจุดพัก กราบขอบพระคุณ
Till We Meet Again...Good Luck & So Long
Why 100miles?
เป้าหมายนี้ผมตั้งไว้หลังจากที่เริ่มวิ่งอย่างสม่ำเสมอมาได้2ปี และตลอด4ปีถัดมาผมก็ใช้เวลาฝึกซ้อมมาเรื่อยๆ จนเมื่อปีที่แล้วUTMFที่ฟูจิเป็น100ไมล์แรกที่ลงสมัคร แต่รายการนี้ก็ยกเลิกไปหลังเริ่มวิ่งไปได้27ชม. ต่อมาก็CM6ที่เชียงใหม่ปีนี้ในยุคโควิดที่ต้องปรับระยะลงมาที่CM5 จึงเป็นความบังเอิญที่ต้องหาระยะ100ไมล์ลงให้ได้แล้วก็มาลงเอยที่อินทนนท์ โดยส่วนตัวผมว่า100ไมล์เหมือนmagic numberที่ท้าทายมากสำหรับตัวเอง ผมเชื่อมาโดยตลอดว่ามันไม่ง่าย แต่จะต้องทำได้และผมจะได้อะไรจากมันมากมายแน่นอน
จากมาราธอนแรกของขวัญวันเกิดที่ให้กับตัวเองเมื่อ5ปีที่แล้วสู่100ไมล์แรกในวันนี้ ชีวิตกับการวิ่งใน3ทวีปให้อะไรกับผมมากมาย หลายอย่างเป็นไปดังที่คาดหวังไว้ หลักๆคือการฟื้นฟูดูแลร่างกายจิตใจ และการได้ใช้เวลาอยู่กับตัวเองอย่างมีสติ แต่หลายอย่างที่ได้ก็ไม่ได้คาดหวังอย่างเช่น ประสบการณ์ในการวิ่งในแต่ละรายการที่ทั้งผิดหวังและสมหวัง ผู้คนแปลกหน้าที่เป็นเสมือนมิตรและเป็นแรงขับเคลื่อนในทุกๆวันธรรมดาของการซ้อม
7เดือนที่เมืองไทยล่าสุด ถ้าเปรียบเทียบกับที่ที่เคยอยู่มา ที่นี่คือสภาพแวดล้อมที่ไม่เอื้ออำนวยแก่การซ้อมหรือการออกกำลังกายoutdoorใดๆเลย แล้วมาบวกกับโควิดอีก นี่คือความท้าทายในความท้าทาย แต่มันก็ผ่านพ้นมาได้ ปรับเปลี่ยนหาทางกันจนได้ พี่เอี้ยงซ้อมที่สวนสาธารณะเดียวกับผมก็จบเทรล230กม.ได้ ลุงTonyอยู่New Yorkมาหลายสิบปีก็หนีโควิดกลับมาไทยแล้วมาเริ่มออกกำลังกายที่สวนนี้ และในเวลาสายแก่ๆใกล้เที่ยงที่แทบไม่มีคน ผมก็จะเจอลุงคนนึงที่แขนข้างนึงแกแกว่งไม่ได้มาวิ่งเกือบทุกวันที่สวนนี้ เรื่องราวเหล่านี้ในวันธรรมดาๆนี่เองที่หล่อหลอมจนเป็นแรงบันดาลใจให้เรามุ่งมั่นที่จะออกมาซ้อม
สำหรับใครก็ตามนะครับที่กล้าฝันกล้าท้าทายตัวเอง ถ้าเป้าหมายชัดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งใดระยะใดๆ การฝึกฝนและความสม่ำเสมอคือสิ่งเดียวที่จะพาเราไปยังจุดสตาร์ท ก่อนที่เราจะออกตัวอย่าลืมขอบคุณตัวเองให้มากๆ จงภูมิใจและมั่นใจเพราะที่จุดสตาร์ทนี้มันคือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่แล้ว ส่วนเส้นทางต่อไปจนถึงเส้นชัยคือประสบการณ์ที่จะได้เพิ่มเติมเหมือนบททดสอบท้ายเล่มหนังสือ ถ้าตกเราก็กลับไปอ่าน(ฝึกฝน)เล่มเดิม ถ้าผ่านเราก็หยิบเล่มใหม่มาอ่าน(ฝึกฝน)ต่อไป สำหรับทุกคนที่ไปยืนตรงนั้นนะครับ...May the force be with you!
"Just a man and his will to survive..."
โฆษณา