โทรศัพท์แอบฟังเราจริงหรือ
เพื่อน ๆ เคยไหมคะ
พึ่งคุยกับเพื่อนเพื่อวางแผนจะไปเที่ยวประเทศญี่ปุ่น
พอหยิบโทรศัพท์มือถือมาเท่านั้นแหละ
ก็เห็นโฆษณารีสอร์ทน่าพักในประเทศญี่ปุ่น หรือตั๋วเครื่องบินลดราคาพร้อมให้คลิ๊กจองได้ทันที
หรือเมื่อไม่นานมานี้คนที่บ้านบ่นว่าเครื่องดูดฝุ่นที่บ้านเริ่มเก่าแล้วอยากได้เครื่องใหม่
ซักพักก็จะเห็นโฆษณาเครื่องดูดฝุ่นรุ่นใหม่เอี่ยมวางรอให้เรากดซื้ออยู่ในเฟซบุ๊ก
หรือแม้แต่เมื่อวานคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับงานแต่งงาน
แล้วมาวันนี้ก็มีโฆษณาแพ็คเกจงานแต่งอยู่บนเฟซบุ๊ก ทั้ง ๆ ที่เราไม่เคยพูดถึงเรื่องแต่งงานมาก่อนเลย
และอีกมากมาย
เหตุการณ์ต่าง ๆ เหล่านี้ทำให้หลายคนตั้งคำถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่โทรศัพท์จะดักฟังเรา หรือดึงเอาบางส่วนของบทสนทนามาคัดโฆษณาที่ตรงใจกับเราได้เป๊ะ ๆ
หรือจะว่าบังเอิญก็ฟังดูเหลือเชื่อไปหน่อย
เรื่องนี้พอจะมีคำอธิบายอยู่
และวันนี้ ITGirl จะมาเล่าให้ฟัง
ถ้าพร้อมแล้ว ไปชมกันเลย ><
.
.
.
การที่เราเห็นโฆษณาที่เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังสนใจหรือพึ่งจะพูดถึงไปแหม็บ ๆ จนทำให้เรารู้สึกมั่นใจว่าโทรศัพท์ของเราจะต้องดักฟังเราแน่ ๆ นั้น
“ค ว า ม จ ริ ง ก็ คื อ เ ฟ ซ บุ๊ ก ห รื อ แ อ ป ต่ า ง ๆ ไ ม่ จำ เ ป็ น ต้ อ ง ใ ช้ ป า ฏิ ห า ริ ย์ ห รื อ เ ท ค นิ ค อ ะ ไ ร เ พื่ อ ยิ ง โ ฆ ษ ณ า ห า คุ ณ พ ว ก เ ข า มี วิ ธี ที่ ดี ก ว่ า นั้ น ม า ก อ ยู่ แ ล้ ว"
บริษัทเทคโนโลยีและบริษัทการตลาดทั้งหลายนั้นมีข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลพฤติกรรมของเราเป็นจำนวนมหาศาล
ไม่ว่าจะเป็น เพื่อนหรือคนใกล้ชิดของคุณเป็นใคร พวกเขาสนใจอะไรบ้าง
หรือวันนี้คุณใช้เวลากับอยู่กับใคร (ถ่ายรูปด้วยกัน แท็กกัน ฯลฯ)
สามารถที่จะติดตามคุณผ่านอุปกรณ์ต่าง ๆ มากมายที่เชื่อมต่อกัน
สามารถบันทึกบทสนทนาและเก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ คอยดูว่าคุณเขียนอะไรอยู่ในกล่องข้อความที่อาจจะไม่ได้กดส่ง
หรือดูได้ว่าคุณแคปเจอร์หน้าจออะไรไปบ้าง
ในบางครั้งสามารถรู้ได้ว่าคุณจับจ่ายใช้สอยอะไรบ้าง จากข้อมูลคุณในร้านค้าต่าง ๆ ถ้าคุณมีบัตรสมาชิกที่ผูกอยู่กับเบอร์โทรศัพท์หรืออีเมล
แม้กระทั่ง friend request ที่ไม่ได้กดรับ เฟซบุ๊กก็เก็บข้อมูลและคอยสังเกตสิ่งเหล่านี้ด้วยเช่นกัน
ข้อมูลเหล่านั้นจะถูกนำไปเข้าระบบหลังบ้าน ผ่านอัลกอริทึมที่ซับซ้อน ก่อนจะมาเลือกว่าโฆษณาตัวไหนควรถูกส่งให้ใครดูบ้าง ซึ่งเหมือนว่ามันช่างตรงกับสิ่งที่คน ๆ นั้นกำลังสนใจอยู่เหลือเกิน
เนื่องจากอัลกอริทึมสามารถคาดการณ์ได้ว่าคนที่มีไลฟ์สไตล์แบบนี้ ที่ท่องเว็บแบบนี้ ซื้อของแบบนี้ โพสต์สถานะแบบนี้ หรือทำอะไรต่าง ๆ บนออนไลน์
คนแบบนี้ “น่าจะ” สนใจสินค้าและบริการแบบนี้
เรียกได้ว่ารู้จักเรายิ่งกว่าเรารู้จักตนเองเสียอีก
เพราะฉะนั้น ไม่แปลกเลยที่คนจะเข้าใจว่าตอนนี้เฟซบุ๊กกำลังฟังบทสนทนาของคุณ
https://knowyourmeme.com/photos/1854863-friends
จากตัวอย่างที่ เมื่อวานกำลังคุยกับเพื่อนเกี่ยวกับงานแต่งงาน แล้ววันนี้ก็มีโฆษณาแพ็คเกจงานแต่งงานโผล่ขึ้นมาให้เห็น ทั้ง ๆ ที่ยังไม่เคยไปค้นหาอะไรเลยเกี่ยวกับงานแต่งเลยนั้น
เป็นเพราะระบบรู้ว่าคุณอยู่ที่ไหน (เมื่อวานคุณอาจจะคุยเรื่องงานแต่งงานที่ร้านเช่าชุดเจ้าสาว) และเพื่อนของคุณเป็นใคร พวกเขาสนใจอะไรบ้าง (เพื่อนของคุณอาจหาชุดแต่งงาน)
หรือในกรณีเครื่องดูดฝุ่น ข้อมูลที่รวบรวมมาทั้งหลายสามารถคาดการณ์ได้ว่า คนที่เสิร์ชหาข้อมูลเกี่ยวกับบ้านหรือที่อยู่อาศัยบ่อยครั้ง มีแนวโน้มที่จะซื้อเครื่องดูดฝุ่นสูง
เพราะฉะนั้นถ้าหากระบบเห็นว่าใครสักคนหนึ่ง search หาข้อมูลตรงตาม pattern ก็เป็นสัญญาณที่ดีว่าสามารถเริ่มยิงโฆษณาเกี่ยวกับเครื่องดูดฝุ่นให้พวกเขาได้แล้ว
หรืออีกตัวอย่าง ข้อมูลที่บริษัทต่าง ๆ ถืออยู่ในมือ อาจจะระบุว่าคนที่เข้าไปเยี่ยมชมเว็บไซต์เพื่อหาสถานที่เที่ยวช่วงวันหยุดมีแนวโน้มที่จะ search หาวิธีลดน้ำหนักหลังจากนั้น
เพราะคนเรามักกินเยอะกว่าปกติเวลาที่เราอยู่ในช่วงพักผ่อนไปเที่ยวต่างสถานที่ ดังนั้นบริษัทก็อาจจะเริ่มยิงโฆษณายาลดน้ำหนักให้ทันทีหลังจากเห็นว่าใครสักคน search หาที่เที่ยวช่วงปีใหม่ เป็นต้น
https://www.hotelnewsresource.com/article102535.html
คล้ายกับกรณีที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ที่ห้างสรรพสินค้าชื่อดังแห่งหนึ่งส่งคูปองผลิตภัณฑ์สำหรับแม่และเด็กไปยังบ้านของเด็กสาววัยสิบหกคนหนึ่ง ทำให้ผู้เป็นพ่อโกรธมาก ออกมาเรียกร้องให้ทางห้างรับผิดชอบต่อข้อมูลที่ผิดพลาดที่กล่าวหาว่าลูกของเขาท้อง
หลาย ๆ คนอาจจะพอเดาตอนจบกันได้
ไม่นานหลังจากนั้นลูกสาวก็ยอมสารภาพว่าเธอกำลังตั้งท้องจริง ๆ จึงเป็นเรื่องที่ฮือฮากันว่าเป็นไปได้อย่างไรที่บริษัทจะรู้ข้อมูลที่แสนจะเป็นส่วนตัวเช่นนี้ก่อนที่คนภายในครอบครัวจะรู้เสียอีก
ซึ่งห้างไม่ได้แอบดักฟังบทสนทนา แต่ระบบคอมพิวเตอร์ของห้างประมวลผลได้ว่าจากลักษณะการซื้อของของลูกค้าคนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าลูกค้ากำลังตั้งท้อง ก็เลยทำตามขั้นตอนที่ควรทำคือการส่งคูปองผลิตภัณฑ์แม่และเด็กมาให้นั่นเอง
https://www.komando.com/security-privacy/youre-not-paranoid-your-phone-really-is-listening-to-everything-you-say/464613/
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้เป็นการเปลี่ยนความจริงที่ว่าทุกวันนี้ไมโครโฟนของโทรศัพท์มือถือของเราถูกเปิดเอาไว้ให้ฟังเสียงเราอยู่แทบจะตลอดเวลา
เพราะความเป็นจริง มีแอปจำนวนไม่น้อยที่เรียกร้องให้เราเปิดไมโครโฟนเพื่อความสะดวกของผู้ใช้งานอย่างเรา
ซึ่งถ้าหากเราไม่สบายใจเราก็สามารถไล่ปิดไมโครโฟนทิ้งไปทั้งหมดได้ และจำกัดการนำเข้าข้อมูลส่วนตัวของเราไปสู่โลกอินเทอร์เน็ตให้เหลือน้อยที่สุด
แต่ในที่สุดสักวันหนึ่งเราก็อาจจะพบว่าเราไปถึงจุดที่เรายินยอมแลกข้อมูลส่วนตัวที่สุดในชีวิตเพื่อให้ได้มาซึ่งความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น
ก็เป็นได้
.
.
.
เป็นอย่างไรกันบ้างคะ เพื่อน ๆ เคยเจอประสบการณ์อะไรกันบ้าง
หรือหากโทรศัพท์มือถือเรามันดักฟังได้จริง เพื่อน ๆ จะยอมแลกความเป็นส่วนตัวกับความสะดวกสบายหรือเปล่า
มาแชร์กันได้นะคะ :)
สำหรับวันนี้ ต้องขอลาไปก่อน
แล้วพบกันใหม่ในตอนหน้า
ราตรีสวัสดิ์
- 74
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
