23 ม.ค. 2021 เวลา 10:48 • ข่าว
EP.92 “ The 911 calls”
เรามักจะสอนเด็กๆอยู่เสมอ หากเจอเรื่องอะไรที่ไม่ชอบมาพากล หรือเรื่องอะไรที่เป็นเหตุด่วนเหตุร้ายให้โทรหา 911 หรือสายด่วนฉุกเฉิน แม้เบอร์โทรจะแตกต่างกันไปในแต่ละประเทศ แต่อย่างน้อย เลขสามหลักนี้จะทำให้เราอุ่นใจ หากเกิดอะไรขึ้น ความช่วยเหลือจะกำลังมา
3
Denise Amber Lee ก็เหมือนกัน เธอถูกสอนแบบนั้นมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ที่พิเศษมากกว่านั้นคือ เธอดันเป็นลูกสาวของตำรวจนักสืบคดีฆาตกรรม การอบรมสั่งสอนในเรื่องการเอาตัวรอดในสถานการณ์ฉุกเฉินนั้นยิ่งเพิ่มทวีคูณเข้าไปใหญ่
2
แต่ในบางครั้ง เรื่องบางเรื่อง แม้จะทำถูกต้องทุกอย่าง ทุกหนทาง หากอะไรจะเกิด มันก็คงต้องเกิด
👮‍♀️ ลูกสาวนายตำรวจ:
1
Denise Lee หรือชื่อเดิมคือ Denise Goff เกิดและเติบโตในรัฐ Florida Rick พ่อของ Denise เป็นตำรวจนักสืบประจำอยู่ที่สถานีตำรวจในเขตเมือง Charlotte ในช่วงที่ Denise เรียนอยู่ชั้นมัธยมปลาย เธอได้ออกเดทกับหนุ่มน้อย Nathan Lee ผู้ซึ่งกลายมาเป็นสามีของเธอในภายหลัง
3
Nathan ผู้ซึ่งหลังจากออกเดทกับ Denise ได้แค่สามอาทิตย์ก็หาซื้อแหวน promise ring ให้กับเธอ แหวนวงนั้น Denise เป็นคนเลือกเอง มันเป็นแหวนรูปหัวใจและมีราคาแค่ 40$ เท่านั้น แต่ถึงแม้ว่าจะได้รับแหวนหมั้นและแหวนแต่งงานในภายหลัง Denise กลับใส่แหวนรูปหัวใจดังกล่าวติดนิ้วอยู่เสมอ เรียกได้ว่าเป็นแหวนโปรด ที่มีคุณค่าทางจิตใจต่อ Denise เหลือเกิน
3
Denise Amber Lee
**Promise Ring ไม่ใช่แหวนหมั้นนะคะ แต่เป็นแหวนที่ได้รับมาเพื่อยืนยันว่าความสัมพันธ์นั้นเป็นความสัมพันธ์ที่มั่นคงและเป็นคำสัญญาว่าจะมีการพัฒนาต่อไปในอนาคตค่ะ พูดง่ายๆคือ “You’re promising yourself to each other” นั้นเอง
หลังจากที่เรียนจบมัธยมได้ไม่นาน ทั้ง Denise และ Nathan ก็แต่งงานกันในที่สุด ก่อนที่จะให้กำเนิดลูกชายสองคนด้วยกัน อย่างที่ทุกคนรู้อยู่ เมื่อเริ่มต้นชีวิตครอบครัวตั้งแต่อายุยังน้อย เรื่องเงินก็กลายมาเป็นหนึ่งในปัญหาหลัก เนื่องจาก Denise ต้องอยู่บ้านเลี้ยงลูกที่ยังเล็ก Nathan ต้องทำงานถึงสามงานด้วยกันเพื่อให้มีรายได้เพียงพอมาจุนเจือครอบครัว แต่ถึงกระนั้นก็ตาม ปัญหาเรื่องเงินในครอบครัว ดูจะเป็นเหมือนเรื่องเล็กเลยทีเดียว เพราะทั้งสี่คนพ่อแม่ลูก กลับมีความสุขมากจริงๆ
1
ไม่นานหลังจากที่ให้กำเนิดลูกชายคนเล็ก ทั้งครอบครัวย้ายเช่าบ้านที่อยู่ในโครงการบ้านสร้างใหม่แถบเมือง North Port บ้านหลังนี้อยู่ในทำเลที่ไม่ค่อยดีนัก เพราะค่อนข้างจะห่างไกลความเจริญพอสมควร แน่นอน Rick ผู้เป็นพ่อ ไม่ค่อยชอบใจนักที่ลูกสาวและครอบครัวต้องย้ายมาอยู่ในบ้านหลังดังกล่าว แต่ไหนๆก็ไหนๆแล้ว Rick เข้าใจว่า Nathan ลูกเขยก็ทำงานตัวเป็นเกลียว แถบบ้านนี้ยังมีขนาดใหญ่ถึงสามห้องนอน รองรับครอบครัวที่กำลังเติบโต และ Denise ผู้เป็นลูกสาวก็ดูจะชอบกับการที่พักอาศัยห่างออกมาจากตัวเมือง แต่ก็ยังอยู่ใกล้กับ Rick และผู้เป็นแม่ แถมบ้านหลังดังกล่าว ยังอยู่ไม่ห่างจากครอบครัว Nathan อีกด้วย
3
Denise และ สามีกับลูกชายคนแรก
เกิดอะไรขึ้น?:
วันที่ 17 มกราคม ปี 2008 ณ เวลา 11.21 น. Denise ซึ่งในตอนนั้นมีอายุแค่เพียง 21 ปี โทรศัพท์หา Nathan ผู้เป็นสามี ในขณะที่อยู่บ้านดูแล Noah วัย 3 ขวบ และ Adam วัย 6 เดือน บทสนทนาเป็นไปอย่างธรรมดา ส่วนมากก็ถามถึงเรื่องดินฟ้าอากาศ ในวันนั้นอากาศค่อนข้างอบอ้าว Nathan กับ Denise จึงคุยกันว่าจะเปิดหน้าต่างหน้าบ้าน เพื่อประหยัดค่าแอร์ Denise ยังบอกกับ Nathan ด้วยว่า ไม่ต้องห่วงเธอเปิดหน้าต่างเรียบร้อยแล้ว และเดี๋ยวค่อยคุยกันอีกที
หลังจากนั้น Nathan พยายามโทรหา Denise อีกที แต่โทรเท่าไหร่ก็โทรไม่ติด Nathan ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งขับรถกลับเข้ามาที่บ้าน
2
Nathan เลิกงานและกลับเข้าบ้านเมื่อเวลาประมาณ 15.30 น. ตอนที่ขับรถกลับมาจอดหน้าบ้าน Nathan สังเกตเห็นว่าหน้าต่างหน้าบ้านปิดอยู่ แต่ก็ไม่ได้อะไรมาก เพราะคิดว่า Denise อาจจะปิดเพราะกลัวฝนตกหรือฝุ่นเข้าบ้าน พอเดินเข้ามาในบ้าน กลายเป็นว่า Nathan เจอเข้ากับ Noah และ Adam นอนอยู่ในเปลเดียวกัน หากแต่เรียกหา Denise เท่าไหร่ก็หา Denise ไม่เจอ
2
กระเป๋าและกุญแจของ Denise ยังอยู่ที่เดิม Nathan เริ่มรู้แล้วว่าเกิดเหตุไม่ดีขึ้นแน่ๆ เขาโทรหา Rick ผู้เป็นพ่อตาในทันที
เมื่อ Rick รับโทรศัพท์ เขานึกว่า Nathan กับ Denise โทรกลับมา ในช่วงบ่ายวันนั้น Rick พยายามโทรหา Denise หลายรอบ แต่ Denise ก็ไม่ได้รับสาย Rick อยากจะชวน Denise และครอบครัวมาทานอาหารค่ำด้วยกันในวันเสาร์อาทิตย์นั้น แต่คิดว่าลูกน่าจะยุ่งกับการเลี้ยงหลาน เดี๋ยวค่อยคุยกันละกัน
1
หลังจากได้รับโทรศัพท์จากลูกเขย Rick ผู้เป็นพ่อไม่รอช้า เขารู้จักลูกสาวของตัวเองดี Denise ไม่มีทางที่จะทิ้งลูกเล็กๆสองคน แล้วออกจากบ้านไปไหนมาไหนอย่างเต็มใจแน่ๆ มีใครซักคนลักพาตัวลูกสาวเขาออกจากบ้าน Rick ประสานงานขอทั้งแรงเจ้าหน้าที่ตำรวจ สุนัขตำรวจ และ helicopter ที่อยู่ในเขตเมือง Charlotte มาช่วยกันค้นหา Denise ผู้เป็นลูกสาว ซึ่งแน่นอน ผู้ร่วมงานทุกคน เต็มใจกันมาช่วย Rick และพากันไปช่วยตำรวจในเมือง North Port (เมืองที่บ้านของ Denise ตั้งอยู่ และเป็นคนรับผิดชอบคดีตั้งแต่แรก) ตามหาตัว Denise
เจ้าหน้าที่ตำรวจส่งกำลังพลไปถามเพื่อนบ้านของ Denise และ Nathan ว่าเห็นอะไรผิดปรกติเกิดขึ้นที่บ้านของ Denise หรือเปล่า เพื่อนบ้านที่อาศัยอยู่ที่บ้านข้างๆ Denise บอกกับตำรวจว่า ไม่เห็น หรือได้ยินอะไรผิดปรกตินะ จะมีแค่เพียง รถยนต์ camaro สีเขียวคันนึง ขับมาจอดแถบๆนี้ตอนเมื่อประมาณ 14.00 น. แล้วผู้ชายในรถก็นั่งอยู่ในรถแบบนั้นประมาณชั่วโมงนึงได้ ไม่รู้เขามารอใคร
2
☎️The calls:
ช่วงที่ Denise หายตัวไปนั้น มีสายโทรศัพท์ที่โทรเข้ามาหา 911 หลายต่อหลายสายด้วยกัน timeline ของสายโทรศัพท์นั้นมีดังนี้
1
📞 สายที่ 1: เป็นสายที่โทรมาจาก Nathan สามีของ Denise แค่ไม่กี่นาทีหลังจากที่เข้ามาภายในตัวบ้าน สายนั้นโทรแจ้งตำรวจและย้ำว่าต้องเกิดเหตุร้ายขึ้นกับ Denise และเธอไม่ได้ออกจากบ้านไปหลังจากที่ทะเลาะหรือมีปากเสียงกับสามีแน่ๆ (เพราะปรกติบางทีคู่สามีภรรยาทะเลาะกันแล้วก็ออกจากบ้านไปก็มีค่ะ) ก่อนที่จะโทรหา Rick พ่อตาตัวเอง
หลังจากที่ Nathan โทรแจ้งตำรวจ และ Rick ผู้เป็นพ่อประสานงานกับตำรวจเพื่อเกณฑ์กำลังกันมาช่วยตามหา Denise นั้น เวลาประมาณ 17.00 น. ตำรวจได้ตั้ง “BOLO” หรือ Be on the Look Out ในตัวรถ camaro สีเขียวต้องสงสัย และผู้หญิงที่มีลักษณะ รูปร่างหน้าตาเหมือน Denise
3
ในปรกติตำรวจก็ทำงานกันแข็งขันอยู่แล้ว แต่ในคราวนี้ คนที่หายตัวไปคือ Denise ผู้เป็นลูกสาวของ Rick มันทำให้เจ้าหน้าที่ทุกคนรู้สึกว่าเป็นเรื่องของ “พวกเดียวกันเอง” มันทำให้พวกเขาเกณฑ์กำลังคนมามากกว่าเดิม ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่จากเขตเมืองใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จากหน่วยงาน Marshall และเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวง ทุกคนพยายามตามหา Denise ให้เจอ
6
“ผมเดินมาหา Rick และเห็นเขาร้องไห้ Rick ร้องไห้ตอนบอกกับผมว่าลูกสาวของเขาโดนลักพาตัวไป”หนึ่งในเจ้าหน้าที่ตำรวจให้สัมภาษณ์ในภายหลัง Rick นายตำรวจผู้เคร่งขรึมผู้ไม่เคยแสดงอารมณ์ทางสีหน้า กลับร้องไห้ออกมาต่อหน้าเพื่อนร่วมงาน
2
📞 สายที่ 2: ณ เวลา 18.14 น. มีสายโทรเข้ามาหา 911 อีกที คราวนี้เสียงจากปลายสาย เป็นเสียงร้องไห้ โวยวาย พูดจาไม่รู้เรื่องของผู้หญิงคนนึง แต่ เอ๊ะ? เดี๋ยวสิ ผู้หญิงคนนี้พูดจาอะไรแปลกๆ?
1
ในที่สุดหลังจากที่ฟังเสียงร้องขอความเมตตาอยู่สักพัก เจ้าหน้าที่ dispatcher ได้ข้อมูลเพิ่มเติม ผู้หญิงคนที่โทรเข้ามานั้น น้ำเสียงหวาดกลัวมาก และพูดกับ dispatcher แต่เหมือนกำลังคุยกับคนอื่น เธอบอกว่าตัวเองชื่อว่า Denise เธอมีลูกเล็กๆสองคนอยู่บ้านตามลำพัง และที่อยู่เธอคือที่ไหน
1
แต่ไม่ใช่ว่า Denise นั้นสามารถกดโทรศัพท์มาหาเจ้าหน้าที่ เพราะหนีรอดมาได้หรืออะไรหรอกนะคะ Denise แอบใช้โทรศัพท์ของคนร้าย กดโทรเข้าหา 911 แล้วเอาหูแนบ พร้อมกับพยายามตอบคำถามเจ้าหน้าที่ dispatcher ไปด้วย แต่ทำทีว่าตัวเองนั้นร้องโวยวายและพยายามขอร้อง หรือพยายามคุยกับคนร้ายนั้นเองค่ะ เช่น
4
Dispatcher: คุณรู้จักคนที่ลักพาตัวคุณไปไหม
Denise: ฉันไม่รู้จักคุณเลยนะว่าคุณเป็นใคร คุณพาฉันไปส่งบ้านเถอะ ยังไงฉันก็บอกตำรวจไม่ได้ว่าคุณเป็นใคร
Dispatcher: เสียงวิทยุมันดังมากเลย คุณช่วยเบาเสียงมันหน่อยได้ไหม
Denise: คุณคะ เสียงวิทยุมันดังมากเลย คุณช่วยหรี่เสียงมันลงหน่อยได้ไหม คุณจะได้ได้ยินสิ่งที่ฉันกำลังจะพูดกับคุณ
2
Dispatcher: คุณทราบไหมคะว่าตอนนี้คุณอยู่ที่ไหน
Denise: คุณกำลังจะพาฉันไปที่ไหน คุณช่วยบอกฉันได้ไหมว่าเราอยู่ที่ถนนไหน
**ซึ่งแน่นอน ชายคนร้ายไม่ตอบ Denise นะคะ ในที่สุด ชายคนร้ายเหมือนพยายามจะถามหาโทรศัพท์และรู้ตัวว่าโทรศัพท์หายไป หลังจากนั้นสายของ Denise ก็ถูกตัดไป
1
ถึงแม้สายจะถูกตัดไปแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ได้คุยกับ Denise อยู่หลายนาทีด้วยกัน ในตอนแรก เจ้าหน้าที่พยายามจะจับสัญญาณมือถือที่โทรเข้ามาและหาตำแหน่ง GPS จากมือถือเครื่องนั้น แต่ด้วยความที่มือถือเครื่องดังกล่าวเป็นมือถือที่ราคาถูก และเป็นมือถือแบบเติมเงิน จึงไม่มีระบบรองรับการจับสัญญาณดังกล่าว แต่เจ้าหน้าที่ไม่ได้คว้าน้ำเหลวเลยทีเดีย อย่างน้อย เจ้าหน้าที่ ก็ทราบจากเบอร์ที่โทรเข้ามาว่า เจ้าของเบอร์มือถือเบอร์นั้น คือผู้ชายที่มีชื่อว่า Michael King ชายวัย 36 ปี
3
ครอบครัวของ Denise ไม่คุ้นชื่อของ Michael King เลย เขาเป็นใคร? ทำไมต้องลักพาตัว Denise ไป?
📞 สายที่ 3: เวลา 18.23 น. มีสายโทรเข้ามาจากหญิงสาวที่มีชื่อว่า Sabrina Muxlow โดย Sabrina โทรมาแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า พ่อของเธอพึ่งโทรมาเล่าให้ฟังว่า มีญาติของพ่อตัวเอง เข้ามายืมถังน้ำมันก๊าซ พลั่วขุดดินจากที่บ้านพ่อของเธอ (Sabrina กับพ่อไม่ได้อยู่บ้านเดียวกัน) แล้วอยู่ดีๆก็มีผู้หญิงคนนึง วิ่งออกมาจากรถ พร้อมกับตะโกนบอกให้พ่อเธอโทรหา 911 ก่อนจะถูกญาติคนนั้นจับยัดกลับเข้าไปในรถเหมือนเดิม
3
และญาติของพ่อ Sabrina คนดังกล่าว มีชื่อว่า Michael King เขาขับรถ camaro สีเขียว
1
**บ้านของ Sabrina อยู่ห่างจากบ้านของ Denise และ Nathan เพียงแค่ 4 ไมล์เท่านั้น เจ้าหน้าที่คิดว่าพวกเขาไล่ตามตัว Michael King ทันแน่ๆ พร้อมกับขอบคุณ Sabrina ที่ถึงแม้จะไม่เห็นเหตุการณ์แต่โทรเข้ามาแจ้ง
3
📞 สายที่ 4: เวลา 18.30 น. Jane Kowalski ผู้หญิงที่กำลังขับรถอยู่บนทางหลวงหมายเลข 41 กำลังจอดรอไฟแดงอยู่ มีรถ camaro สีเขียวมาจอดข้างๆเธอ และ Jane หันไปสบตากับชายคนขับ เนื่องจาก Jane ได้ยินเสียงกรีดร้อง และเสียงตบกระจก ดังมาจากในตัวรถ นอกจากนี้ Jane ยังเห็นมือของเหยื่อกำลังทุบกระจกอีกด้วย ในขณะนั้น Jane ผู้ไม่ได้รู้เรื่องของ Denise มาก่อน คิดว่าตัวเอง กำลังเห็นคนกำลังพยายามลักพาตัวเด็ก จึงโทรหา 911
5
เจ้าหน้าที่รับสาย Jane และ Jane ก็พยายามแจ้งเหตุ พูดคุยไปด้วย Jane เล่าว่า จริงๆแล้วรถที่กำลังขับทั้งสองคันนั้น ขับด้วยความเร็วที่ช้ามาก หรือประมาณ 35 ไมล์ต่อชั่วโมง เธอพยายามขับรถตามรถยนต์คันดังกล่าว และเข้าไปใกล้ๆเพื่อให้เห็นป้ายทะเบียน แต่ในชั่วจังหวะนึง มีรถยนต์ขับอยู่จำนวนมาก และพอถึงจุดเลี้ยวรถที่บังคับให้ Jane ต้องขับตรงไป ในขณะที่รถ camaro สีเขียยวเลี้ยวซ้ายในแยกๆนึงที่มุ่งหน้าไปยังถนน Toledo Blade ทำให้ Jane คลาดกับรถคันดังกล่าวในที่สุด
3
ณ เวลา 18.42 น. เจ้าหน้าที่บุกไปที่บ้านของ Michael King ก่อนจะพบบ้านที่ว่างเปล่า เหลือไว้เพียงแค่เทปกาวที่มีเส้นผมยาวสีน้ำตาลทองติดอยู่บนเทปดังกล่าว
ผมสีเดียวกับผมของ Denise นั้นเอง
📞 สายที่ 5: มีสายโทรศัพท์ โทรเข้ามาจากตู้โทรศัพท์สาธารณะ โดยโทรเข้าหา 911 และแจ้งว่าเขาเห็นชายคนนึงที่ขับรถ camaro สีเขียว กำลังลักพาตัวผู้หญิงไป และผู้หญิงคนนั้นดูไม่ได้เต็มใจจะขึ้นรถไปกับเขา เจ้าหน้าที่ถามว่า ทราบได้อย่างๆไรว่าผู้หญิงคนนั้นไม่ได้เต็มใจ? ชายนิรนามก็บอกเพียงว่า ผมรู้ว่าเธอไม่ได้เต็มใจ พูดจาอ้อมแอ้มจนเป็นที่น่าสงสัย
3
ชายคนที่โทรแจ้ง พยายามไม่บอกชื่อกับตำรวจ แต่ในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็สืบจนรู้ว่า ชายคนที่โทรมาแจ้งคือ Harold Muxlow พ่อของ Sabrina ผู้หญิงที่โทรเข้ามาแจ้งตำรวจเป็นสายที่ 3 นั้นเองค่ะ !!!!!
1
Harold ให้การต่อเจ้าหน้าที่ว่า Michael ญาติของเขาโทรมาหาว่า มีปัญหากับเครื่องตัดหญ้า เลยจะมายืมน้ำมันก๊าซกับพลั่วหน่อย พอขับรถมาถึงที่บ้าน หลังจากที่หยิบเอาเครื่องมือเครื่องไม้มาให้แล้ว อยู่ดีๆก็มีผู้หญิง วิ่งออกมาจากรถของ Michael และตะโกนบอกเขาให้โทรหา 911 ก่อนที่จะถูก Michael จับตัวแล้วจับยัดเข้าใส่รถเหมือนเดิม Michael หันมาบอกกับ Harold แค่ว่า “อ้อ ไม่ต้องสนใจหรอก” Harold ในตอนนั้นคิดแค่เพียงว่า หรือจะเป็นผู้หญิงเพี้ยนๆที่ Michael เดทอยู่ หรืออาจจะผิดใจกันก็ได้
4
***รู้ว่าอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอยากด่า เพราะเราก็ด่าเรียบร้อย ขนาดโทรไปหาลูกสาว ลูกสาวไม่ได้เห็นกับตายังอยู่เฉยไม่ได้ ถึงกับโทรไปหาตำรวจ แถมในตอนหลัง Rick พ่อของ Denise ยังให้สัมภาษณ์ด้วยสีหน้าที่แค้นใจว่า Harold นั้นก็มีลูกสาว แต่ทำไมถึงเลือกที่จะอยู่เฉยๆ หากมีคนมาทำแบบนี้กับลูกเขาบ้าง เขาจะรู้สึกอย่างไร?
5
หลังจากนั้นอีก 2 ชั่วโมงครึ่ง เบาะแสต่างๆก็เงียบหายไป ไม่เหมือนในตอนแรกที่มีคนโทรเข้ามาหา 911 เรื่อยๆ แต่เจ้าหน้าที่ก็ยังไม่ยอมหยุด กระจายกำลังกันค้นหาต่อไป
2
ค่ำคืนที่ยาวนานไม่ได้จบลงอย่างง่ายๆ:
1
ณ เวลา 21.16 น. ของคืนดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงจับกุมตัว Michael King ได้ พร้อมกับรถ camaro สีเขียว แต่ในตอนนั้น เจ้าหน้าที่ไม่พบกับ Denise เจ้าหน้าที่พยายามสอบถาม Michael ว่า Denise อยู่ที่ไหน Michael ก็ได้แต่บอกกับเจ้าหน้าที่ว่าไม่รู้ และเขาไม่ได้เป็นคนลักพาตัว Denise ไป
Michael King
เจ้าหน้าที่พาตัว Michael มาไว้ที่โรงพัก และตามตัว Harold ญาติของ Michael (เจ้าเก่าค่ะ ) มาช่วยพูดกล่อมให้ Michael บอกมาว่าเอาตัว Denise ไปไว้ที่ไหน Michael ยังยืนยันกับ Harold เหมือนกับที่บอกเจ้าหน้าที่ไปเบื้องต้นว่า เขาไม่ได้เป็นคนลักพาตัว Denise ไป จริงๆแล้ว เขาโดนขโมยรถและลักพาตัวไปพร้อมๆกับ Denise นั้นแหละ (อห. ที่ไม่ได้แปลว่าโอ้โหหหหหห) แต่อธิบายไม่ได้ ว่าแล้วตัวเองหนีออกมาได้ยังไง แล้วคนร้ายที่ลักพาตัวเขาไปนั้นเป็นใคร อยู่ที่ไหน
เจ้าหน้าที่พร้อมกับอาสาสมัคร เกณฑ์กำลังกันค้นหาตัว Denise ในบริเวณรอบๆบ้านของ Denise และรอบๆแถวที่อยู่ของ Michael เนื่องจากพยานที่โทรเข้าหา 911 นั้น ล้วนโทรมาในบริเวณที่ใกล้ๆกัน Denise น่าจะอยู่แถวๆนี้ (เคยเห็นในหนังฝรั่งไหมคะ ที่คล้องแขนกันเป็นแถวเพื่อค้นในป่า ในทุ่ง ประมาณนั้นเลย)
1
จนกระทั่งในวันที่ 19 มกราคม ปี 2008 ความหวังที่จะเจอ Denise ในขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่ดับสิ้นลง ไม่ไกลจากจุดที่เจ้าหน้าที่เรียกรถของ Michael ให้จอด เจ้าหน้าที่ไปเจอเข้ากับศพของ Denise เธอถูกยิงเข้าที่ศรีษะหนึ่งนัด และศพถูกนำไปฝังไว้ในหลุมตื้นๆ ในป่าไม่ห่างจากถนนมากนัก
1
จุดที่พบศพ Denise Cr. www.heraldtribune.com
เรื่องการลักพาตัวและฆาตกรรม Denise ทำให้ทุกคนที่อ่านข่าวต่างตกใจและเศร้าใจเป็นอย่างมาก ในวันที่มีตำรวจถึงสามท้องที่สามเขต และหลายหน่วยงานด้วยกัน รวมไปถึงอาสาสมัครต่างๆที่พากันออกมา ตามหาตัว Denise ซึ่งในตอนนั้น Denise เพิ่งถูกลักพาตัวจากที่บ้านมาไม่นาน และขนาดมีพยานเห็น Denise และโทรเข้าแจ้งเจ้าหน้าที่หลายต่อหลายคน รวมทั้ง Denise เองถึงขนาดโทรคุยกับ 911 ได้ตั้งหลายนาที และพยายามแจ้งเบาะแสหลายอย่าง ทำไมเรื่องนี้ถึงจบลงแบบนี้???
2
มิหนำซ้ำที่แย่ไปกว่านั้นคือ เมื่อ Jane Kowalski เห็นหน้าของ Michael King ในข่าว เธอจำหน้าชายคนนี้ได้ทันที และรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้หญิงที่โวยวายกรีดร้องอยู่หลังรถไม่ใช่เด็ก หากแต่เป็น Denise นั้นเอง Jane รู้ตัวดีว่าตัวเองน่าจะเป็นคนที่เห็น Denise ขณะที่กำลังมีชีวิตอยู่เป็นคนสุดท้ายเลยเข้าพบตำรวจที่เมือง North Port เพื่อสอบถาม เผื่อทางตำรวจอยากจะขอข้อมูลเพิ่มเติมจากเธอ
…...แต่ตำรวจเมือง North Port ถึงกับอึ้ง พวกเขาไม่รู้ว่า Jane เป็นใคร …..เพราะไม่เคยได้รับข้อมูลเรื่องที่ Jane โทรเข้ามา (😱😱😱😱😱😱)
พอสอบสวนไปสอบสวนมา ถึงได้รู้ว่า ตอนที่ Jane โทรเข้าหา 911 นั้น เธออยู่บนถนนที่มันข้ามเขตไปอีกเมืองนึง สายที่ต่อคือสายที่ต่อไปยังหน่วย dispatcher ในเขตเมือง Charlotte…..เจ้าหน้าที่พอรับสายปรกติแล้วจะต้อง key-in ข้อมูลดังกล่าวไปให้เจ้าหน้าที่อีกคนเพื่อให้เจ้าหน้าที่คนที่สอง ติดต่อกับตำรวจที่เป็นหน่วยลาดตระเวนบนท้องถนน เพื่อออกปฏิบัติการต่อไป (เพราะจะคุยกับคนที่โทรเข้ามาหา 911 ไปด้วย แล้วพยายามบอกหน่วยลาดตระเวนไปด้วยคงไม่ได้เรื่องค่ะ) และเพื่อให้ข้อมูลดังกล่าว อยู่ในระบบ
4
…...แต่ในวันนั้น เจ้าหน้าที่คนดังกล่าว ดันใช้วิธี “ตะโกน” ข้ามห้องไปบอก แต่เจ้าหน้าที่ dispatcher อีกคนที่ต้องเป็นคนติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ…….ไม่ได้ส่งข้อมูลออกไป (คือจะไม่ได้ยิน หรือวิทยุไม่ทำงานก็แล้วแต่)
2
ด้วยความที่ในตอนนั้นทุกคนกำลังยุ่ง และกำลังวุ่นกับเรื่องที่ Denise หายตัวไปด้วย ทุกคน….ก็เลยลืมค่ะ (อ่านไม่ผิด ลืม key ข้อมูล เพราะฉะนั้นสายของ Jane จึงไม่อยู่ในระบบเลย)
1
**ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ ทุกคนที่จำได้จะรู้ว่าสถานีตำรวจที่เมือง Charlotte นี่ละค่ะ เป็นสถานีตำรวจที่ Rick พ่อของ Denise ประจำการอยู่
ที่แย่ไปกว่านั้นคือเมื่อมีการสอบสวนเข้าไปลึกๆอีก มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรายนึงกำลังจอดรถลาดตระเวนอยู่บนถนนที่มีชื่อว่า “Toledo Blade” ถนนที่รถยนต์ของ Michael เลี้ยวเข้าไปในตอนที่คลาดกับรถของ Jane พอดี
พูดง่ายๆเลยคือ หากเจ้าหน้าที่ dispatcher ส่งข้อมูลออกไปในตอนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจคนดังกล่าวได้ยิน ก็อาจจะหยุดรถของ Michael ได้ และอาจจะเจอกับ Denise ซึ่งในตอนนั้นยังคงมีชีวิตอยู่ (โอ้ย อะไรกันนี่) ถึงแม้ว่าตอนที่ Jane โทรเข้ามา เธอจะแจ้งกับเจ้าหน้าที่ว่า คนที่ถูกลักพาตัวน่าจะเป็นเด็ก แต่มันก็สำคัญมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอ???
2
ผลจากการทำงานผิดพลาดแบบมหันต์ดังกล่าว ทำให้นายอำเภอเมือง Charlotte ถูกวิจารณ์เป็นอย่างมาก เพราะเขายังยืนยันที่จะพักงานลูกน้องที่ทำงานเป็น dispatcher ของตัวเองแค่สองวัน และไม่ไล่พวกเขาออก
2
“เจ้าหน้าที่ของผมทำพลาด แต่ทุกคนก็เคยทำพลาดทั้งนั้น ไม่มีใครไม่เสียใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น และจริงๆแล้วพวกเขากำลังได้รับการลงโทษหนักกว่าโทษทางวินัยเสียอีก คุณคิดว่าพวกเขาจะรู้สึกยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้น?”
2
⚖️การพิจารณาพิพากษาคดีในชั้นศาล:
1
เมื่อขึ้นศาล ฝั่งเจ้าหน้าที่รัฐ แจ้งข้อหาลักพาตัว ทำร้ายร่างกาย ฆาตกรรม และข่มขืนต่อ Michael King (เพราะเจอเชื้ออสุจิอยู่ที่เบาะหลัง และจากห้องที่เจอเทปกาวที่มีเส้นผมของ Denise ที่อัยการถึงกับเรียกว่า The Rape Room)
2
นอกจากสายโทรศัพท์ของ Denise ที่โทรมาจากมือถือของ Michael ที่มัดตัวเขาไว้ได้เป็นอย่างดี เจ้าหน้าที่ยังเจอเส้นผมกระจุกนึงที่มีรากผม (น่าจะเป็นเพราะ Denise ดึงออกมาเอง และรู้ว่า ต้องใช้เส้นผมที่มีรากผม) ซุกไว้ในเบาะใต้ที่นั่งคนขับ และในรถของ Michahel เจ้าหน้าที่ยังเจอเข้ากับแหวนรูปหัวใจ
1
แหวน promise ring ที่ Nathan ให้ไว้กับ Denise นั้นเอง
คณะลูกขุนมีความเห็นว่า Michael นั้นผิดจริงและมีคำพิพากษาตัดสินให้ลงโทษประหารชีวิต Michael King ในขณะที่ฝ่ายจำเลยให้การต่อสู้ พยายามขอลดโทษไม่ให้มีโทษประหาร เพราะก่อนหน้านี้ Michael ไม่เคยมีประวัติอาชญากรรม เขาเป็นคนที่มี low IQ และการกระทำอุกอาจแบบนี้น่าจะเกิดจากอุบัติเหตุที่ศรีษะในตอนเด็ก และ Michael มีลูกชายวัย 12 ปี ที่ไม่ควรเห็นพ่อของเขาถูกประหาร (อห.ที่ไม่ได้แปลว่าโอ้โหหหหหห อีกรอบ คนอื่นเขาไม่มีลูกหรือไง)
2
Nathan (ซ้ายสุด) สามีของ Denise และ Rick (ขวาสุด) ผู้เป็นพ่อ
แต่ก็ไม่รอดค่ะ ณ ตอนนี้ Michael ก็ยังรอรับโทษของตัวเองอยู่ในคุกต่อไป
หลังจากเกิดเรื่อง Nathan ยื่นฟ้องร้องสำนักงานตำรวจเมือง Charlotte ถึงแม้จะรู้ว่า การฟ้องร้องดังกล่าว ส่วนมากแล้วจะได้ค่าเสียหายไม่เกิน 200,000$ แต่ Nathan บอกเขาต้องทำ เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเงิน มันเป็นเรื่องที่มีคนต้องออกมารับผิดชอบต่อความผิดพลาดของตัวเอง
1
นอกจากนี้แล้วทั้ง Nathan ผู้เป็นสามี และ Rick ผู้เป็นพ่อ ได้ดำเนินเรื่องให้เกิดกฎหมายที่มีชื่อว่า Denise Amber Lee’s Act หลังจากที่การสอบสวนพบเจอข้อบกพร่องของการทำงานในหน่วย 911 ทั่วประเทศ ทำให้เกิดมาตรการพื้นฐานที่เป็น mandatory training สำหรับเจ้าหน้าที่ 911 ในรัฐต่างๆ
1
เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ Denise และผู้คนหลายคนที่ต่างเชื่อมั่นในระบบ 911 ต่างพากันทำสิ่งที่ทุกคนถูกสอนมา สิ่งที่ทุกคนคิดว่าถูกต้อง และเจ้าหน้าที่ อาสาสมัคร ผู้คนทั้งหลายแหล่ พยายามตามหาตัวเธอ แต่สุดท้ายเธอก็ไม่ได้กลับบ้านมาอยู่กับลูกๆ
3
>>>>>>ที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้โทษเจ้าหน้าที่ 911 นะคะ เพราะจะบอกว่าพวกเขาเป็นสาเหตุทำให้ Denise เสียชีวิตหรือไม่ก็คงไม่ใช่ แต่หากพวกเขาพยายามอีกนิด หรือไม่ได้พลาดตรงจุดนี้ Denise ก็อาจจะถูกช่วยเหลือได้ทันท่วงทีก็ได้ ที่น่ากลัวคือ Michael ไม่ยอมเอ่ยปาก ยอมรับว่าทำไมอยู่ดีๆมาเล็งเอา Denise เข้าบ้านมาพาตัว Denise ไปได้อย่างไร? ทำไม Denise ไม่ร้องขอความช่วยเหลือ
1
Nathan สันนิษฐานว่า อาจจะเพราะรถ Camaro สีเขียวของ Michael สีคล้ายๆรถของตน เมื่อรถของ Michael ขับเข้ามาจอด Denise คงชะล่าใจ คิดว่าเป็นรถของ Nathan และเขาไม่แน่ใจว่าหน้าต่างบานที่อยู่หน้าบ้านถูกปิด เพราะ Michael ปิด เนื่องจากไม่อยากให้คนภายนอกได้ยินเสียง หรือจริงๆแล้ว Denise นั้นดึงหน้าต่างปิด เป็นความพยายามสุดท้ายของคนเป็นแม่ เพราะไม่อยากให้ลูกสองคนปีนออกนอกหน้าต่างไป
**เราจะใส่คลิปที่มีเสียงของ Denise ขณะพยายามโทรหา 911 ไว้ใน comment นะคะ มันน่าหดหู่มาก เพราะบางท่อนคือเธอร้องไห้ และบอกว่าเธอแค่อยากจะกลับไปหาครอบครัวของเธอเท่านั้นเอง (เศร้าจัง)
EP. เก่าๆดูได้อีกทางที่นี้ค่ะ
Facebook Page:
Blockdit:
โฆษณา