23 ม.ค. 2021 เวลา 14:17 • สุขภาพ
ตกงาน ขายเสื้อผ้าแบกะกินตามฟุตบาท อายจนไม่กล้านั่งเฝ้าร้าน แต่ได้กำลังใจจากเพื่อนพ่อค้าแม่ค้าด้วยกันจนกล้าขาย
ใครอยากลาออกจากงานไปขายของบ้าง ถ้าวันนี้คุณเหนื่อยกับการทำงานประจำเกินทน อยากออกไปเป็นนายตัวเองดีกว่า วันนี้เราจะเล่าประสบการณ์ส่วนตัวให้ฟัง
ย้อนกลับไปเมื่อสมัยเรียนจบใหม่ได้ทำงานและลาออกจากงานที่แรก ตอนนั้นเราก็เคยไปขายของตามตลาด มีทั้งความสุขและเครียด ได้เงิน แต่ก็เหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส ส่วนจะสุขจะสาหัสแบบไหน มาค่ะเราจะเล่าให้ฟัง
...จุดเริ่มต้นในการเป็นแม่ค้า...
ถือว่าเป็นประสบการณ์ลาออกครั้งแรก ตอนนั้นอายุน้อย เลือดร้อนมาก ไม่ชอบหัวหน้า ไม่มีความสุขในงานที่ทำ งานที่ทำไม่มีความเป็นระบบเลย ไม่มีรูปแบบ ไม่มีแผนการ เวลาทำงานมันจึงติดขัดไปหมดเพราะตอนนั้นจบใหม่ไม่กล้าตัดสินใจทำอะไรก็ต้องรอแต่หัวหน้า
แต่ในขณะเดียวกันหัวหน้าก็ไม่ทำตัวเป็นที่พึ่งได้เลย ไม่ค่อยเข้าออฟฟิศ ไม่ชอบลูกค้าคนไหนก็ไม่ตอบเมลล์ ไม่รับโทรศัพท์ เราเป็นผู้ช่วยเราก็ต้องแถลูกค้าไปเรื่อยๆว่าเจ้านายอยู่ไหนจะเข้าเมื่อไหร่ พร้อมรับฟังคำบ่นด่าไปเรื่อยๆ ปัจจัยหลักคือตัวหัวหน้า เราเลยอยากลาออก
...เพื่อนให้ทุน ให้ของมาขาย...
พอลาออกแล้วมาเริ่มต้นจากการขายกระเป๋า และเสื้อผ้า ความจริงเราไม่ได้อยากขายเสื้อผ้าเลย แต่เหตุผลที่เริ่มขายกระเป๋าและเสื้อผ้านี้เพราะเพื่อนคนหนึ่งเคยคิดจะขาย ไปซื้อของมาขายแล้วด้วย แต่เกิดเปลี่ยนใจไม่ทำต่อแล้ว เพื่อนก็เลยเอาของเหล่านั้นมาให้เราขาย
โดยบอกว่าขายได้ก่อนค่อยเอาทุนมาคืน แถมเค้ายังลดราคาส่วนของทุนให้อีกเยอะ เรียกได้ว่าเราได้ของมาในราคาต้นทุนที่ถูกมากๆ ประมาณ 1600 บาทได้เสื้อผ้ามา 10 กว่าชุด บวกกับกระเป๋าแฟชั่นมือ 1 แถมเพื่อนยังให้ผ้ารองปูขาย ไฟฉายพกพามาด้วย เราเลยเริ่มขายเสื้อผ้าและกระเป๋าจากจุดนั้น
...ขายของแบกะดิน...
แหม๊ ขนาดเงินทุนยังไม่ยักกะมีเลย เสื้อผ้าก็มีแค่ 10 กว่าตัว เราคงไปขายแบบเปิดร้านจัดไฟสวยๆในตลาดนัดไม่ได้ แน่นอนค่ะที่ที่ดีที่สุดสำหรับเราก็คือ ขายแบกะดิน
ก็เอาผ้ารองที่เพื่อนให้มานั่นแหละค่ะปูพื้น แล้วก็จัดเสื้อผ้า วางกระเป๋า ขายในพื้นที่ประมาณ 1 เมตร โดยสมัยนั้นยังขายตามฟุตบาทได้ เสียเงินให้เทศกิจ 20-40 บาทแล้วแต่ที่ ขายครั้งแรกที่หน้าสภาวิชาชีพบัญชีที่หน้าอโศกใครทำงานแถวนั้นอาจจะเคยเห็นเหล่าแม่ค้าพ่อค้าอยู่บ้าง โดยเวลาขายคือช่วงเย็นค่ะ เวลาเลิกงานพนักงานจะเดินผ่านทางนั้นไปขึ้นรถไฟฟ้ากัน บอกเลยว่าไปขายวันแรกอายมากๆ นั่งหันหลังให้ร้านเพราะกลัวคนมอง
...มิตรภาพระหว่างพ่อค้าแม่ค้าด้วยกัน...
หลังจากมานั่งขายได้ 2-3 วันต่อเนื่อง พ่อค้าแม่ค้าคนอื่นๆก็เริ่มเข้ามาคุยด้วย ถามไถ่ว่าไปมายังไงถึงได้มาขายของ เราก็เลยบอกว่าออกจากงานค่ะ
พี่ผู้หญิงคนหนึ่งเค้าขายงานหนัง เช่นพวกกระเป๋าสตางค์ แฟ้ม ปกสมุดโน๊ต กระเป๋านามบัตรต่างๆ มีสลักชื่อให้ฟรี จากที่เราสังเกตพี่เค้าก็ไม่ได้ขายสินค้าได้ตลอดเวลา ตั้งแต่แต่ 4 โมงเย็นซึ่งเป็นช่วงที่เริ่มตั้งร้านขายยาวๆไปจนถึง 3 ทุ่มจนคนเดินหมด เราเห็นว่าพี่เค้าก็มีลูกค้า 4-5 คนเอง แต่สินค้าของพี่เค้าก็ราคาสูง ชิ้นละ 200 250 350 บาทขึ้นไป
แต่สังเกตว่าพี่เค้าไม่ได้มีอาการร้อนรนอะไรเลย ไม่มีลูกค้าก็มานั่งเล่นมือถือ พี่เค้าเลยเล่าให้ฟังว่า แกทำมาหลายปีแล้ว แฟนแกก็ทำจนตอนนี้อยู่ตัวกันแล้วเลี้ยงลูก 2 คนได้สบาย
พี่แกบอกว่า น้องเชื่อมั้ยพนักงานออฟฟิศหลายๆคนที่เดินผ่านหน้าร้านเราไปเนี่ย บางคนไม่ได้มีเงินเก็บเยอะเท่าเราด้วยซ้ำไป บางวันเราอาจขายได้ไม่ดี แต่มันก็จะมีวันที่ขายดีสลับกันไปมันก็ยังมีวันที่เราได้มีเงินเก็บเงินก้อนได้
...ยิ่งขายยิ่งได้รู้...
โชคดีมากที่เราเจอแต่เพื่อนพ่อค้าแม่ค้าที่ใจดีแนะนำอะไรมากมายแบบไม่หวงวิชากันเลย บางคนช่วยขาย บางคนก็มาแนะนำให้ไปขายตลาดอื่นด้วยจะได้ทำรอบได้หลายเที่ยวต่อวัน
อย่างเช่นพี่ผู้ชายคนหนึ่ง ซึ่งคนนี้เราต้องยอมรับในความใจดีของแกอย่างมากเลย พี่แกขายร่ม คันละ 150 บาทซึ่งขายดีมากๆ เพราะในช่วงนั้นเป็นช่วงที่เข้าหน้าฝนพอดี แล้วพนักงานเวลาเค้าเดินกลับบ้านแล้วฝนกำลังตกก็ควักเงินซื้อทันทีเพราะร่มถือเป็นของจำเป็นสำหรับหน้าฝน วันไหนที่แกมมขายจะเห็นลูกค้ารุมร้านแกทุกวันแม้ฝนจะตกหรือไม่ก็ตาม
พี่แกเล่าให้ฟังว่า นี่แกก็เพิ่งลาออก ตั้งใจออกมาเพื่อขายร่มเลย ก่อนหน้านี้พี่แกเป็นคนขับรถให้นาย (ส่วนเหตุผลที่ลาออกจริงๆนั้นจำไม่ได้แล้วค่ะ) แต่หลักการขายสินค้าของแกน่าสนใจมาก หลักการตลาดของแกคือ ไม่ต้องขายของราคาแพงมาก
แฟนของพี่เค้าก็ขายของตามริมฟุบาทอย่างนี้อยู่แล้ว ขายกางเกงผู้หญิงที่ต้องใส่ไปทำงานทุกวัน ปกติพี่ผู้ชายก็จะไปรับไปส่ง พาไปเอาของเพิ่มที่ประตูน้ำ อย่างกางเกงที่แฟนพี่เค้าขายอยู่ (รับมาในราคา 150-160 บาท) ร้านตามตลาดนัดจะขายตัวละ 250 บาท แต่แกขายตัวละแค่ 200 บาทเท่านั้น ทำให้สินค้าออกไว ลูกค้าบางคนก็ซื้อหลายตัว พนักงานออฟฟิศเดียวกันมากันเป็นกลุ่มก็พากันซื้อไปคนละตัวสองตัวเพราะแต่งตัวเหมือนกัน
สำหรับพี่แกที่เพิ่งลาออกมาก็ใช้หลักการนี้ หน้าฝนอาจเป็นอุปสรรคต่อร้านค้าแต่บอกเลยว่าสำหรับพี่เค้าไม่ใช่ปัญหา เพราะแกเลือกสินค้าได้เข้ากับฤดูกาลนั่นก็คือ "ร่ม" เป็นแนวคิดที่เข้าท่ามากเลย
...เรียนรู้จากประสบการณ์มันเป็นอย่างนี้นี่เอง...
นอกจากนี้พี่เค้ายังแนะนำแม่ค้าหน้าใหม่อย่างเราอีกหลายอย่าง พี่เค้าบอกว่าจะรอขายที่เดียวไม่ได้หรอก กำไรน้อย อย่างกางเกงทำงาน แน่นอนว่าแกต้องไปขายตามตลาดนัดคนทำงาน (ถ้าเราจำไม่ผิด นี่อาจเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่คนนี้ลาออกจากงานเพื่อมาวิ่งขายของกับแฟนนะคะ)
จุดเด่นของตลาดนัดคนทำงานคือจะเปิดเป็นช่วงเวลา ช่วงเช้าก่อนเข้างาน และช่วงเที่ยงพากันมากินข้าวและช๊อปปิ้งต่อ ฉะนั้นสองสามีภรรยาก็จะ “วิ่งตลาด” หมายความว่า ขายหลายที่และจะไม่เข้าตลาดเดิมติดกัน ยกตัวอย่างเช่น ตอนเช้าของวันจันทร์เข้าไปขายของที่ตลาดเมืองไทยภัทร ตอนเที่ยงก็จะพากันไปขายที่ตลาดนัดแถวสีลม
ส่วนวันอังคารก็หมุนเวียนเปลี่ยนตลาด เช้าอาจจะไปตึกพหล เที่ยงไปพระราม 3 สลับกันไปแบบนี้ วันพุธอาจจะเข้าตลาดเมืองไทยภัทรอีกครั้งก็ได้แต่จะไม่ขายตลาดเดิมทุกวันและไม่เข้าตลาดเดิมติดกัน ทำให้เวลาที่พี่เค้าไปขายเมื่อไหร่จะมีลูกค้าประจำรอซื้อกางเกงเสมอ
ส่วนตอนเย็นนั้นถือว่าเป็นการเก็บตกขายตามริมฟุบาทที่ลูกค้าเดินกลับบ้านพอได้ค่าขนมให้ลูก แต่ตลาดเย็นเก็บตกของพี่เค้าในตอนนั้นกลับเป็นตลาดหลัก ตลาดเดียวที่เราขายอยู่ตอนนี้เลย
พอฟังอย่างนี้แล้วชักอยากจะเริ่มไปขายตลาดอื่นๆ บ้าง เทคนิคแนวทางต่างๆ ของพ่อค้าแม่ค้าแต่ละคนแล้วมันทำให้แม่ค้ามือใหม่อย่างเรามีความกล้าขึ้นเยอะมากๆ เริ่มไม่ประหม่า กล้าเรียกลูกค้า กล้าเดินเข้าหา กล้าต่อรองเสนอขาย เสียงดังฟังชัด
แต่ความสนุกยังไม่หมดเท่านี้ หลังจากนั้นเราเริ่มไปหลายตลาดมากขึ้น ได้เรียนรู้อะไรๆมากขึ้น และประสบการณ์ก็โชกโชนชึ้นมากเลยล่ะ 55 แต่บทความนี้ยาวมากแล้ว เดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังในบทความต่อไปนะคะ รับรองว่าสนุกจนต้องร้องไห้กันเลยทีเดียว ^^
โฆษณา