เมื่อฉันถูกเลิกจ้าง ในช่วง โควิด ไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว
สวัสดีค่ะ บทความนี้เป็นบทความแรกของเรา อาจเขียนได้ไม่น่าสนใจ แค่อยากจะเล่าให้ฟัง ประสบการณ์ส่วนตัวที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงนี้เลย
โควิด ... หลายคนชอบเรียกมันว่า “วิกฤติ” แต่เราว่ามันคือ หายนะ เลยล่ะ
เราเพิ่ง “ถูกเลิกจ้าง” ในช่วงที่โควิดมาพอดี (มีนาคมทำงานเดือนสุดท้าย) เงินเก็บไม่มี เงินสำรองไม่มี มีหนี้บัตรเคดิตเดือนละประมาณ 5000 มีค่าเช่าห้อง มีค่าโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายทุกเดือนที่ยังไม่รวมค่ากินก็ประมาณ 10500 บาท
ความจริงส่วนที่เราถูกเลิกจ้างจะโทษโควิดโดยตรงก็ไม่ถูกหรอก แต่มันเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจที่แย่มาเรื่อยๆก่อนหน้านี้ต่างหาก เจ้านายให้เราทำงานเดือนสุดท้ายคือ มีนาคม 2020
แต่มันดันมาประกอบกับเป็นช่วงที่โควิดกำลังระบาดหนักพอดี เราก็เลยต้องออกมาโดยที่สถานการณ์แย่กว่าเดิม หางานไม่มีใครเรียกเลย
จริงๆช่วงต้นเดือนมีนาเราก็เริ่มหางานแล้ว มีหลายที่เรียกไปสัมฯ แต่ยิ่งโควิดระบาดหนักตั้งแต่กลางเดือนมาก็ไม่มีที่ไหนเรียกไปสัมอีกเลย ก็แน่ล่ะทุกบริษัทปิดหมด คำถามคือเราจะเอายังไงต่อ ช่วงต่อจากนี้เราจะอยู่ยังไง มีเงินพอใช้ได้กี่เดือน?
โชคดีที่เราออกแบบถูกเลิกจ้าง เจ้านายยังใจดีให้เงินชดเชย 1 เดือน เราก็ชื่นใจมาหน่อยแล้วว่า โอเค อย่างน้อยเดือน เมษา พฤษภา ก็อยู่รอดไปได้ 2 เดือนละ
ในร้ายก็ยังพอมีดี เราสามารถไปชึ้นทะเบียนรับเงินประกันสังคมกรณีว่างงาน ซึ่งถูกเลิกจ้างจะได้ถึง 6 เดือน ตอนแรกจะได้เดือนละ 7500 (แค่ค่าใช้จ่ายหลักก็ไม่พออยู่แล้ว) แต่ประกอบกับช่วงโควิดเหมือนเค้าจะช่วยเหลือกลายเป็นว่าเราน่าจะได้เงินชดเชยเดือนละ 10500 บาท
จริงๆ ถามว่าตอนนี้พอหรือยัง เราก็ยังหาค่ากินค่าใช้จ่ายไม่ได้นะ แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็มีเงินสำรองจ่าย Fixed cost ไปอีก 6 เดือน ถ้าเราอยู่แบบประหยัดที่สุดๆๆ ก็น่าจะรอดได้พ้นช่วงโควิด
ตอนแรกเราก็มีช๊อคนะ ตลอดชีวิตการทำงานมาไม่เคยถูกเลิกจ้างเลย สิ่งที่คิดว่าพลาดที่สุดตอนนี้คือ "ไม่มีเงินสำรอง" นี่แหละ ถ้าหากเราคอยเก็บทีละเล็กละน้อยบ้างก็ยังคงพอมีเงินใช้ในช่วงวิกฤติแบบนี้
เราเชื่อว่าคนทำงานจะเข้าใจ feel แบบเรานะ เรื่องการเก็บเงินใครๆก็อยากเก็บทั้งนั้น แต่มันไม่ง่ายเลยนะ แต่ละเดือนใช้เงินให้พอยังยากเลย ถึงประหยัดสุดๆเท่าไหร่ก็เถอะ
ถ้าจะผิดก็คงต้องโทษตัวเองที่เคยก่อหนี้บัตรเครดิตไว้เพราะถ้าไม่ต้องจ่ายบัตรเครดิตก็ยังมีเงินเหลือเดือนละตั้ง 5000 บาทเลย
แต่ก็เอาเถอะ มันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ ตั้งสติ ตั้งสติกับการใช้เงินที่มีจำกัด และค่อยๆหาทางเอาตัวรอด และที่สำคัญ พยายามไม่ดำดิ่งกับปัญหา
สิ่งที่เราอยากบอกคือ ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนอ่อนไหวกับชีวิตมาก เราเชื่อว่าหลายคนเครียด เราเองก็เครียดไม่ต่างกัน