23 ม.ค. 2021 เวลา 15:30 • สุขภาพ
เมื่อฉันถูกเลิกจ้าง ในช่วง โควิด ไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว
“อยู่ยังไง ไม่สำคัญเท่ากับ ทำใจให้ได้...ยังไง”
ถูกเลิกจ้างช่วงโควิด
เมื่อฉันถูกเลิกจ้าง ในช่วง โควิด ไม่มีเงินเก็บแม้แต่บาทเดียว
สวัสดีค่ะ บทความนี้เป็นบทความแรกของเรา อาจเขียนได้ไม่น่าสนใจ แค่อยากจะเล่าให้ฟัง ประสบการณ์ส่วนตัวที่เพิ่งเกิดขึ้นในช่วงนี้เลย
โควิด ... หลายคนชอบเรียกมันว่า “วิกฤติ” แต่เราว่ามันคือ หายนะ เลยล่ะ
เราเพิ่ง “ถูกเลิกจ้าง” ในช่วงที่โควิดมาพอดี (มีนาคมทำงานเดือนสุดท้าย) เงินเก็บไม่มี เงินสำรองไม่มี มีหนี้บัตรเคดิตเดือนละประมาณ 5000 มีค่าเช่าห้อง มีค่าโทรศัพท์ ค่าใช้จ่ายทุกเดือนที่ยังไม่รวมค่ากินก็ประมาณ 10500 บาท
ความจริงส่วนที่เราถูกเลิกจ้างจะโทษโควิดโดยตรงก็ไม่ถูกหรอก แต่มันเป็นเพราะพิษเศรษฐกิจที่แย่มาเรื่อยๆก่อนหน้านี้ต่างหาก เจ้านายให้เราทำงานเดือนสุดท้ายคือ มีนาคม 2020
แต่มันดันมาประกอบกับเป็นช่วงที่โควิดกำลังระบาดหนักพอดี เราก็เลยต้องออกมาโดยที่สถานการณ์แย่กว่าเดิม หางานไม่มีใครเรียกเลย
จริงๆช่วงต้นเดือนมีนาเราก็เริ่มหางานแล้ว มีหลายที่เรียกไปสัมฯ แต่ยิ่งโควิดระบาดหนักตั้งแต่กลางเดือนมาก็ไม่มีที่ไหนเรียกไปสัมอีกเลย ก็แน่ล่ะทุกบริษัทปิดหมด คำถามคือเราจะเอายังไงต่อ ช่วงต่อจากนี้เราจะอยู่ยังไง มีเงินพอใช้ได้กี่เดือน?
โชคดีที่เราออกแบบถูกเลิกจ้าง เจ้านายยังใจดีให้เงินชดเชย 1 เดือน เราก็ชื่นใจมาหน่อยแล้วว่า โอเค อย่างน้อยเดือน เมษา พฤษภา ก็อยู่รอดไปได้ 2 เดือนละ
ในร้ายก็ยังพอมีดี เราสามารถไปชึ้นทะเบียนรับเงินประกันสังคมกรณีว่างงาน ซึ่งถูกเลิกจ้างจะได้ถึง 6 เดือน ตอนแรกจะได้เดือนละ 7500 (แค่ค่าใช้จ่ายหลักก็ไม่พออยู่แล้ว) แต่ประกอบกับช่วงโควิดเหมือนเค้าจะช่วยเหลือกลายเป็นว่าเราน่าจะได้เงินชดเชยเดือนละ 10500 บาท
จริงๆ ถามว่าตอนนี้พอหรือยัง เราก็ยังหาค่ากินค่าใช้จ่ายไม่ได้นะ แต่อย่างน้อยที่สุดเราก็มีเงินสำรองจ่าย Fixed cost ไปอีก 6 เดือน ถ้าเราอยู่แบบประหยัดที่สุดๆๆ ก็น่าจะรอดได้พ้นช่วงโควิด
ตอนแรกเราก็มีช๊อคนะ ตลอดชีวิตการทำงานมาไม่เคยถูกเลิกจ้างเลย สิ่งที่คิดว่าพลาดที่สุดตอนนี้คือ "ไม่มีเงินสำรอง" นี่แหละ ถ้าหากเราคอยเก็บทีละเล็กละน้อยบ้างก็ยังคงพอมีเงินใช้ในช่วงวิกฤติแบบนี้
เราเชื่อว่าคนทำงานจะเข้าใจ feel แบบเรานะ เรื่องการเก็บเงินใครๆก็อยากเก็บทั้งนั้น แต่มันไม่ง่ายเลยนะ แต่ละเดือนใช้เงินให้พอยังยากเลย ถึงประหยัดสุดๆเท่าไหร่ก็เถอะ
ถ้าจะผิดก็คงต้องโทษตัวเองที่เคยก่อหนี้บัตรเครดิตไว้เพราะถ้าไม่ต้องจ่ายบัตรเครดิตก็ยังมีเงินเหลือเดือนละตั้ง 5000 บาทเลย
แต่ก็เอาเถอะ มันเกิดขึ้นแล้ว ตอนนี้สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ ตั้งสติ ตั้งสติกับการใช้เงินที่มีจำกัด และค่อยๆหาทางเอาตัวรอด และที่สำคัญ พยายามไม่ดำดิ่งกับปัญหา
สิ่งที่เราอยากบอกคือ ช่วงนี้เป็นช่วงที่คนอ่อนไหวกับชีวิตมาก เราเชื่อว่าหลายคนเครียด เราเองก็เครียดไม่ต่างกัน
ทุกคนก็เจอ
บางคนถูกเลิกจ้างเหมือนเรา แต่บางคนอาจจะถูกลอยแพไปเลย ให้กลับไปอยู่บ้านโดยที่ต้องไม่รับเงินเดือน คนที่ work from home ก็เถอะ นอกจากอยู่บ้านนานๆจะเหี่ยวเฉาแล้ว ยังไม่รู้เลยว่าถ้าสถานการณ์กลับมาดีขึ้นบริษัทจะยังจ้างต่ออยู่มั้ย
ตอนนี้เราเองก็ยังไม่รู้ว่าอนาคตต่อไปจะเป็นยังไง แต่เราพยายามไม่คิดถึงมัน เรามองแค่ 6 เดือนต่อจากนี้ว่าเรารอดแล้ว อย่างน้อยเราก็พอมีเวลาคิดต่อว่าจะเอายังไง
ที่เราอยากจะเล่าเรื่องนี้เพราะคิดว่าน่าจะเป็นกำลังใจให้คนอื่นได้บ้าง คุณไม่ได้เจอสถานการณ์ที่เลวร้ายนี้เพียงคนเดียว เราก็เจอ และยังมีอีกหลายๆคนที่อาจแย่ไปกว่าพวกเรา
สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ ต้องมีสติ สูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองไปรอบๆ เห็นทุกอย่างอย่างที่มันเป็น อย่าเพิ่งคิดถึงจุดเลวร้ายกว่าความเป็นจริง
ดูรอบๆว่าวันนี้เราทำอะไรได้บ้าง มีสติ แล้วก็อย่าประมาท แก้ไขปัญหาแบบสั้นๆ เอาแค่ให้วันนี้รอด พรุ่งนี้รอด หรืออาทิตย์นี้รอด แล้วเดือนหน้า ปีหน้า ค่อยมาว่ากันอีกที
โฆษณา