23 ม.ค. 2021 เวลา 17:34 • ความคิดเห็น
ทำไม...เวลาที่ตั้งใจอยากเป็นนายตัวเองทีไร ไปไม่รอดทุกทีเลย!
ตั้งแต่เรียนจบมาก็เป็นเวลาเกือบจะ 10 ปีได้แล้วนะ 10 ปีที่ผ่านมานี้ เราบอกได้เลยว่าเราพยายามที่จะพาตัวเองออกไปเป็นนายตัวเองอยู่หลายครั้ง (หลายครั้งมากๆ)
ทุกครั้งที่ลาออกจากงานประจำ
เราจะพยายามหาทางสร้างเส้นทางการเป็นนายตัวเองบางสิ่งบางอย่าง
มีตั้งแต่ไปเป็นแม่ค้าขายของตลาดนัด ไปจนถึงการพยายามเป็นพรีแลนซ์ เพื่อหวังว่าคงจะมีสักทางที่จะสร้างรายได้มากกว่าการไปเป็นลูกจ้างเค้า แต่เชื่อหรือไม่ว่า ทุกครั้งที่พยายามสร้างเส้นทางเหล่านั้นผลที่ได้กลับมาคือ ไปไม่เคยรอดทุกครั้งไป 555 ตอนล้มเหลวครั้งแรกๆ ก็มองว่าเรายังขาดประสบการณ์บ้าง ยังไม่มีเงินทุนบ้าง จังหวะไม่ดีบ้าง เจอบ่อยเข้าก็ถึงขั้นไปโทษโชคชะตาฟ้าดิน ต่อว่าบั่นทอนตัวเองไปเรื่อย 555 ซึ่งผลลัพธ์ก็คือจิตตกกว่าเดิม
แม้กระทั่งวันนี้ ที่มานั้งเขียนบทความอยู่นี้ ก็กลับเข้ามาสู่การเป็นพนักงานประจำนะ และก็ยังไม่รู้ด้วยว่าสาเหตุที่แท้จริงที่เราไปไม่ถึงฝั่งนั้นมันคืออะไร ซึ่งก็คิดว่าคงจะหาคำตอบได้ไม่ง่ายหรอก เพราะถ้าทำได้ก็คงแก้ไขและเดินหน้าต่อไปนานแล้ว แต่สิ่งที่พอจะสังเกตได้จากตัวเอง ก็พอจะสรุปเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้ประมาณว่า
ครั้งแรก เป็นเพราะว่า ... อารมณ์ร้อนเกินไป ...
ตอนที่ลาออกจากงานครั้งแรก บอกเลยว่าใจร้อนแบบอารมณ์วัยรุ่นมาก ไม่มีเงินเก็บสักบาทเดียว มีแค่เงินเดือน เดือนสุดท้าย ออกมาเป็นแม่ค้าขายเสื้อผ้าตลาดนัด แล้วดั๊นนน ออกมาขายตอนหน้าฝน พออยู่ไม่ได้ขายไม่ได้ แค่ 2 เดือนก็ต้องรีบกลับเข้าไปทำงานประจำ
ครั้งที่สอง ...โลกสวยไปนิด + อีโก้เยอะไปหน่อย ...
การลาออกครั้งนี้ เกิดจากความตั้งใจว่าอยากจะเข้าสู่วงการงานเขียน "อยากเป็นนักเขียนบทความออนไลน์" ก่อนที่จะตัดสินใจลาออกมีการเตรียมพร้อมเรื่องเงินมาระดับหนึ่งแล้วนะ เพราะได้เรียนรู้จากครั้งแรกแล้วว่า การลาออกโดยที่ไม่มีเงินทุนเลย สุดท้ายก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี ก่อนลาออกครั้งนี้มีเงินเก็บ 1 แสนบาท ที่ได้จากเงินโบนัส เงินสะสม PVD และเงินเก็บจากการทำงานกว่า 2.5 ปี
และแน่นอนว่า ความอยากเป็นนักเขียน ก็ฝึกและเตรียมตัวมาแล้วเช่นกัน การอยากออกมาเป็นนักเขียนฟรีแลนซ์ครั้งนี้ไม่ได้นั่งเทียนเขียน มันเกิดจากการเก็บประสบการณ์เป็นนักเขียนพาร์ทไทม์กว่า 2 ปี เขียนระหว่างทำงานประจำนี่แหละ เขียนในวันหยุดเอย วันเสาร์อาทิตย์เอย และพอได้ลองทำดูแล้วรู้สึกว่า "ชอบแฮะ" ก็เลยเขียนสะสมประสบการณ์มาเรื่อยๆ
ส่วนที่บอกว่าโลกสวยนั้น เกิดตอนยังเขียนพาร์ทไทม์คู่กับงานประจำ เกิดจากการที่เรามองว่าตัวเอง "เขียนเป็น" แล้วนะ แต่ที่หาเงินจากการเขียนได้ไม่เยอะเพราะไม่ได้มีเวลาทำเต็มที่ ตอนนั้นจึงคิดว่าถ้าได้เขียนอย่างเต็มที่ เขียนตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 6 โมงเย็น บวกกับรอบดึกและเสาร์อาทิตย์แล้วละก็ ยังไงก็ต้องได้เงินเยอะแน่ๆ เพราะเขียนได้เยอะกว่าเดิม ... แต่หารู้ไม่ว่าหลังจากที่ลาออกมาเป็นนักเขียนบทความเต็มตัวแล้วนั้น มันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดเอาซะเลย!!! (ขอใส่เครื่องหมายตกใจ! ไว้ 3 ตัว เดี๋ยววันหลังจะมาเหลาให้ฟังว่าไอ้ที่ว่ามันไม่ง่าย มันเป็นยังไง ((ปล.เล่า 3 วันก็ไม่จบ))
แต่ก็สรุปรวมว่า ลาออกมาครั้งนี้ก็ไม่รอด สุดท้ายก็เลยต้องกลับเข้ามาสู่การทำงานประจำอีก แต่ความฝันที่อยากเป็นนักเขียนยังไม่จบนะ ยังไม่อยากยอมแพ้
ครั้งที่สาม ... ความสามารถถึงแล้ว แต่ดันโลภขึ้นไปอีก ไม่ประมาณตัวเอง...
หลังจากที่กลับเข้าไปทำงานประจำอีกครั้ง (ครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้) ในใจก็ยังอยากเป็นนักเขียนจริงๆให้ได้อยู่นะ เลยมีอยู่ช่วงหนึ่งที่กลับเข้าสู่วงการงานประจำโดยมีจุดประสงค์แค่ว่าขอมา ตั้งหลัก! ขอเก็บเงินใหม่สักก้อนเก็บประสบการณ์อีกหน่อยแล้วจะกลับไปเป็นนักเขียนให้ได้
จากจุดเริ่มต้นมาถึงช่วงนี้ ผลุบๆโผล่ๆเข้าๆออกๆอยู่กับคำว่านักเขียนนี้กว่า 4-5 ปี ค่าตัวแพงขึ้นแล้วนะ ถ้าให้เขียนเท่าเดิมตามแผนก็คงไปได้ง่ายๆแล้วแท้ๆ แต่สิ่งหนึ่งที่เกิดขึ้นโดยที่เราไม่รู้ตัวคือ มีความคาดหวังที่เพิ่มขึ้นอีก
ตอนนั้นดันคาดหวังว่าจะได้เงินจากงานนี้มากกว่าเดิมหลายเท่า ต้องมีผลงาน ต้องมีชื่อเสียงในวงการ ต้องสามารถต่อยอดจากคำว่า "นักเขียน" ไปอีกอย่างที่ 2 3 4 เช่นต้องได้ออกหนังสือ ต้องได้มีทีมงาน ต้องได้มีหลักสูตรสอน ...
เอาจริงๆถ้าเขียนอย่างเดียวเงินที่ได้จะเท่ากับการทำงานประจำแล้วแท้ๆ แต่ตอนนั้นก็อีโก้อะเนาะ ออกมาสร้างเส้นทางนายตัวเองทั้งทีใครจะอยากได้รายได้เท่างานประจำกัน ช่วงนั้นจึงไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังเหนื่อย(เหนื่อยใจด้วยนะ) ไม่รู้ตัวว่าเครียดและกดดันมากขึ้น ไม่กล้ารับความจริงว่ามันก็มีปัญหาอยู่อีกหลายอย่างซึ่งมีทั้งปัญหาใหม่ๆ และปัญหาเก่าที่ก็ยังคงแก้ไขไม่ได้ สุดท้ายวันหนึ่งเราดันมาถึงจุดที่ ไปต่อไม่ไหวซะงั้น
การทำตามความฝัน(จากประสบการณ์ของตัวเอง)มันไม่ง่ายเลยเนาะ 555 หรือไม่ในตอนนั้นอาจมีหลายอย่างที่เราทำพลาด คิดพลาดไปก็ได้
แต่ก็ช่างมันเถอะ ตอนนี้เราไม่คาใจอะไรอีกแล้วล่ะ
วันนี้เรายอมถอย กลับมาสู่การทำงานประจำอีกครั้ง ครั้งนี้คงไม่อยากออกไปเป็นฟรีแลนซ์อีกแล้วล่ะ แต่ยอมถอยในที่นี่เราขอไม่มองว่าตัวเองแพ้นะ เราตัดสินใจจากว่า...
ถ้าถามคำถามเดิมวันนี้ เราพบว่า
คำตอบที่ให้กับตัวเองไม่มีความเสียใจใดใดหลงเหลืออยู่เลย อาจเป็นเพราะได้บทเรียน ได้เห็นอะไรหลายๆอย่าง ได้เข้าใจอะไรมากขึ้น และอาจเป็นเพราะที่ผ่านมาได้ทำมันอย่างเต็มที่แล้ว จริงๆ
โฆษณา