26 ม.ค. 2021 เวลา 16:12 • หนังสือ
วันนี้ 26 มกราคม เป็นวันคล้ายวันเกิดของศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2539 หม่อมราชวงศ์ ศรีฟ้า มหาวรรณ ความตั้งใจของฉันที่จะเขียนบันทึกถึงหนังสือที่อ่านแต่ไม่ได้ลงมือเสียที เพราะเลือกไม่ได้ว่าจะเริ่มต้นเขียนถึงเรื่องอะไร ในที่สุดก็ได้คำตอบเอาวันนี้เองค่ะ
"เรือนแรม" เป็นหนังสือเล่มล่าสุดของท่านที่ฉันเพิ่งอ่านจบไปสด ๆ ร้อน ๆ เมื่อวานเย็นนี้เอง เรื่องนี้ท่านใช้นามปากกา "จุลลดา ภักดีภูมินทร"์ ในการเขียน นามปากกานี้ช่วงแรก ๆ ท่านใช้กับงานเขียนเรื่องแนวย้อนยุค ลึกลับ แล้วก็มาใช้เขียนเรื่องในรั้วในวังทีหลัง
ความเข้าใจเดิมของฉัน ซึ่งไม่เคยรู้เรื่องราวของเรือนแรมมาก่อน และไม่เคยดูละครโทรทัศน์ด้วย คิดว่าเรื่องนี้เป็นนวนิยายย้อนยุค อิงประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นแนวที่ชอบอ่านพอดี และฉันยังเคยได้ยินชื่อเรื่องมาบ้าง ก็เข้าใจเอาเองว่าเป็นเรื่ีองครอบครัวที่เกิดขึ้นในเรือนหลังหนึ่ง ความเข้าใจนี้ทำให้ฉันเลือกยืมหนังสือเรื่องนี้จากห้องสมุดมาอ่าน
ฉบับพิมพ์ของโชคชัยเทเวศร์ แบ่งเป็น 2 ภาค ภาคแรกเป็นตอนพระเอกยังเด็ก ภาคสองเรื่องเกิดขึ้นหลังจากภาคแรกประมาณ 10 ปี
ถ้าถามว่าฉันเข้าใจผิดหรือเปล่า ไม่ผิดค่ะ แต่นวนิยายเรื่องนี้มีคุณค่าลึกซึ้งกว่าที่ฉันเคยเข้าใจมาก แบบมาก ๆ เลยทีเดียว มากยังไงน่ะหรือคะ?
ฉันคิดว่า "เรือนแรม" เป็นนวนิยายที่ผู้เขียนตั้งใจถ่ายทอดความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนาทั้งนิกายหีนยานและนิกายมหายาน ในเรื่องกรรม กิเลส ตัณหา ชีวิตหลังความตาย การเวียนว่ายตายเกิด การระลึกชาติของมนุษย์ เปรียบเทียบกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์ แล้วผูกเป็นเรื่องแต่งแบบนิยาย ใช้ตัวละครกลุ่มหนึ่งดำเนินเรื่อง เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจแนวคิดแบบพุทธได้ง่ายขึ้น เป็นรูปธรรมมากขึ้นผ่านความคิดและการกระทำของตัวละครต่าง ๆ ในเรื่องค่ะ
ส่วนตัวของฉันซึ่งอ่อนด้อยมากในเรื่องความรู้ทางพุทธศาสนา ขอชื่นชมผู้เขียนที่สามารถถ่ายทอดหลักธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า อีกทั้งยังสอดแทรกความคิด ความเชื่อของคนทั่วไปลงไปในนวนิยายได้หมดจด ฉันคิดว่าเป็นการเอื้อให้ผู้อ่านเปรียบเทียบตัวเองกับตัวละครได้อย่างแนบเนียน พอเกิดความเข้าใจแบบนี้แล้ว การผูกเรื่องให้สนุก ชวนติดตามแบบนวนิยายทั่วไป จึงกลายเป็นเรื่องรองไปเลยค่ะ
สิ่งที่ฉันชอบมากที่สุดคือการที่ผู้เขียนสร้างให้ทั้งพระเอกนางเอกเป็นตัวละครที่ไม่สามารถปฏิบัติตนได้ตามคำสอนของพุทธศาสนากันทั้งคู่ แถมผู้เขียนก็ไม่ได้ลงโทษตัวละครให้ผู้อ่านเห็นเป็นตัวอย่างว่าอย่าทำตามตัวละครเพราะไม่ถูกต้อง ไม่ดีงามหรอกนะคะ ตรงกันข้าม ผู้เขียนเพียงแสดงให้เห็นเท่านั้นเองว่าใครเป็นอย่างไร เชื่ออะไร ทำอะไรเท่านั้น เรียกว่าเป็นการเปิดโอกาส ให้อิสระผู้อ่านได้ใช้ความคิดเอาเองได้เต็มที่ทีเดียวค่ะ
ฉันขอขยายความนิดหนึ่ง ที่ว่าทั้งพระเอกนางเอกไม่สามารถปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนาได้ คืออย่างนี้ค่ะ ตัวนางเอกนั้นยึดมั่นในความรักที่มีต่อพระเอกเอามาก ๆ จนตายแล้วก็ไม่ยอมไปไหน เรียกว่าปล่อยวางไม่เป็นเอาเลย ถึงขนาดมีพระมาชี้ทางสว่างให้ก็ยังดื้อแพ่ง รู้ทั้งรู้ว่าตัวเองเป็นทุกข์เพราะอะไรก็ยังยอมอยู่ในความทุกข์นั้น ส่วนพระเอกซึ่งเป็นคนอเมริกัน เมื่อเริ่มเข้าใจแนวคิดแบบพุทธ ก็ยืนกรานว่าหนทางไปสู่ความหลุดพ้นตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้นั้น เป็นสิ่งที่เขาไม่สนใจทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีแนวโน้มว่าจะทำได้เสียด้วย เพราะเขากำลังมีความสุขอยู่กับสิ่งที่ทำให้เขาสุขในปัจจุบัน ความสุขสงบจากการหลุดพ้นเป็นสิ่งที่ยังมาไม่ถึง ต้องใช้เวลาฝึกอีกนาน ไหนเลยจะสู้ความสุขที่รู้สึกได้จริงอยู่ตอนนี้ อืม ฉันว่าฉันเข้าใจทั้งนางเอกพระเอกได้ดีทีเดียว คิดว่าชาวพุทธส่วนหนึ่งน่าจะเหมือนตัวละครนี่ล่ะค่ะ คือ เข้าใจพระธรรมพอสมควร แต่ปัญหาคือ ปฏิบัติตามไม่ได้
นอกจากเรือนแรมจะทำให้ฉันได้ความกระจ่างเกี่ยวกับคำสอนของพุทธศาสนาในแง่มุมที่พอมีความรู้อยู่บ้างเล็กน้อยแล้ว ยังมีประเด็นใหม่ที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน 2-3 อย่างที่ฉันออกจะตื่นเต้น อย่างเช่นว่าเมื่อเราตายไป ไม่ใช่ว่าจะได้พบคนรู้จักที่ล่วงลับไปก่อนเสมอไป ไม่รวมถึงว่าถ้าคนนั้นไปเกิดใหม่แล้วนะคะ ที่เป็นแบบนี้เพราะภพหลังความตายไม่ได้มีเพียงภพเดียว บุญบาปที่เราทำจะเป็นเครื่องกำหนดว่าใครจะได้ไปภพไหน ดังนั้น โอกาสที่จะได้พบกันก็อาจจะมีไม่มาก ความรู้ข้อนี้ทำเอาฉันใจห่อเหี่ยวไปหน่อยเพราะเคยเชื่อว่าถ้าตายน่าจะได้พบญาติมิตรที่ล่วงลับไปก่อนพอให้อุ่นใจว่าความตายก็ไม่ได้น่ากลัวเกินไป
ฉบับสำนักพิมพ์ดอกหญ้า
สำหรับการผูกเรื่องนั้น โครงเรื่องของเรือนแรมสร้างขึ้นง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนแม้จะมีการเล่าแบบย้อนอดีตถึง 3 ชาติที่แล้วมาของตัวละคร อาจเป็นเพราะผู้เขียนได้เขียนเนื้อหาบางช่วงซ้ำไปมาก็ได้ ปัญหานี้ฉันไม่แน่ใจว่าเกิดจากการตีพิมพ์ครั้งแรกแบบเป็นตอน ๆ ให้ผู้อ่านคอยติดตามในนิตยสารหรือเปล่านะคะ แต่การต้องอ่านซ้ำไปมาก็มีผลทำให้การดำเนินเรื่องบางช่วงอืดได้เหมือนกัน ส่วนตัวแล้วฉันชอบเรื่องในอดีตชาติของตัวละครมากกว่าเรื่องปัจจุบัน และคิดว่าผู้อ่านน่าจะคาดเดาได้ไม่ยากว่าตัวละครไหนจะมาเกิดใหม่เป็นใคร ปมปัญหาต่าง ๆ ของเรื่องคืออะไร แต่ก็อย่างที่ว่าไปว่าไม่มีปัญหาค่ะ ฉันคิดว่าคุณค่าของเรื่องไม่ได้อยู่่ตรงนี้
ตอนจบของเรือนแรม เป็นอีกจุดหนึ่งที่ฉันชอบ อย่างที่บอกไปว่าเรื่องออกจะเดาได้ ไม่ต้องลุ้นมาก แต่ฉันกลับลุ้นตอนที่เรื่องใกล้จะจบ ฉันประทับใจตอนจบมากที่ผู้เขียนจบเรื่องได้อย่างสมจริงตามแบบที่น่าจะเป็นจริง ๆ
อยากทิ้งท้ายว่าหนังสือแต่ละเล่มแต่ละเรื่องมีจังหวะเวลาที่เหมาะสมของมันค่ะ ถ้าฉันได้อ่านเรือนแรมตอนอายุน้อยกว่านี้ ฉันอาจรู้สึกเบื่อก็ได้ แต่ในวันนี้ ฉันกำลังอยู่ในวัยที่สูญเสียญาติสนิทมิตรสหายไปหลายคน อีกไม่นานก็น่าจะถึงเวลาของคนในครอบครัว คนใกล้ตัว แม้แต่ตัวเอง ความรู้ความเข้าใจพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าในวันนี้จึงมีความหมายกับฉันมากค่ะ
photo cr : internet
ฉบับสำนักพิมพ์เพื่อนดี
โฆษณา