คิดบวกช่วยให้รับมือกับความเครียดได้ดีขึ้น จากการศึกษาพบว่าผู้ที่คิดบวกมีฮอร์โมนความเครียดคอร์ติซอล (Cortisol) อยู่ในระดับที่ค่อนข้างเสถียร และช่วยให้ตอบสนองต่อความเครียดได้ดีกว่าผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย เพราะหากผู้ที่มองโลกในแง่ร้ายเผชิญกับสถานการณ์ตึงเครียดมักจะควบคุมระบบประสาทของตนเองได้ยาก และไม่สามารถคิดบวกได้เนื่องจากระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม แม้การศึกษาส่วนใหญ่จะสนับสนุนว่าผู้ที่คิดบวกจะมีระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลต่ำและสามารถรับมือกับความเครียดได้ดีกว่า แต่ก็มีบางการศึกษาที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ที่คิดบวกที่ทำงานภายใต้ความกดดันหรือความเครียดสูงนั้น จะมีการหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลมากกว่าปกติหลังตื่นนอนตอนเช้า และค่อย ๆ ลดระดับลงในระหว่างวัน
คิดบวกช่วยต้านเศร้า จากการศึกษาและประเมินการคิดบวกด้วยคำถามที่เกี่ยวกับปัญหาทางอารมณ์ การใช้สารเสพติด และพฤติกรรมต่อต้านการเข้าสังคมของนักเรียนในประเทศออสเตรเลียที่มีอายุระหว่าง 12-14 ปี หลังใช้เวลาศึกษากว่า 3 ปี พบว่าเด็กที่คิดบวกมีทักษะการแก้ปัญหาได้ดีกว่า อีกทั้งการคิดบวกยังส่งผลดีต่อสุขภาพจิต พฤติกรรม และยังมีประโยชน์ในการป้องกันภาวะซึมเศร้ามากกว่าเมื่อเทียบกับผู้ที่มองโลกในแง่ร้าย
คิดบวกช่วยให้ชีวิตยืนยาว มีงานค้นคว้าที่ให้ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจทำแบบสอบถามเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอนาคต จากคำตอบแบบต่าง ๆ เช่น โรคหลอดเลือดหัวใจจะทำให้ใช้ชีวิตลำบากมากขึ้น ยังไม่แน่ใจว่าจะฟื้นตัวจากโรคหลอดเลือดหัวใจได้มากน้อยเพียงใด โรคหลอดเลือดหัวใจจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานเพียงเล็กน้อยหรือไม่ส่งผลใด ๆ ต่อการทำงาน หรือแม้จะเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจแต่ก็ยังสามารถมีสุขภาพที่แข็งแรงและอายุยืนได้ เป็นต้น พบว่าผู้ป่วยที่คิดบวกมีสุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นหลังการรักษา 1 ปี และมีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่รอดได้นานกว่า 15 ปี นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาอีกชิ้นหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า ผู้ป่วยที่มองโลกในแง่ร้ายมีความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 19 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับอายุขัยที่คาดการณ์ไว้ และแม้นักวิจัยจะยังไม่สามารถอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างการมองโลกในแง่ร้ายกับการเสียชีวิตได้ แต่ผู้ที่คิดบวกอาจเปิดใจยอมรับการรักษาพยาบาลได้มากกว่า
คิดบวกช่วยบรรเทาปวด จากการทดลองในกลุ่มอาสาสมัครที่มีสุขภาพดี โดยใช้ความร้อนระหว่าง 46 48 และ 50 องศาเซลเซียส เพื่อทำให้เกิดอาการปวดเพียงเล็กน้อย ปานกลาง และปวดอย่างรุนแรงที่บริเวณขาเป็นเวลา 20 วินาที ร่วมกับการตรวจคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าเพื่อศึกษาการทำงานของสมอง พบว่าผู้ที่รู้สึกปวดในระดับปานกลางแต่ได้รับความร้อนที่ 50 องศาเซลเซียสมีอัตราการปวดลดลง 28 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ที่รู้สึกปวดอย่างรุนแรงและได้รับความร้อนที่ 50 องศาเซลเซียส และอาสาสมัครทุกคนรู้สึกปวดน้อยลงเมื่อคิดว่าอาการปวดของตนเองลดลง
คิดบวกช่วยต้านอนุมูลอิสระ มีการศึกษาพบว่า ผู้ใหญ่วัยกลางคนที่คิดบวกเกี่ยวกับอนาคตของตนเองมากกว่ามีแนวโน้มที่จะมีความเข้มข้นของสารแคโรทีนอยด์ในร่างกายซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในระดับที่สูงกว่าประมาณ 3-13 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเทียบกับผู้ใหญ่วัยกลางคนที่คิดบวกน้อยกว่า และผู้ที่คิดบวกยังมีแนวโน้มที่จะเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระแก่ร่างกายด้วยการรักษาสุขภาพ เช่น รับประทานผักและผลไม้ หรือหลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ร่วมด้วย เป็นต้น
แม้จะยังไม่สามารถบอกได้อย่างชัดเจนว่าการคิดบวกส่งผลดีต่อสุขภาพได้อย่างไร แต่การคิดบวกจะช่วยให้รับมือกับสถานการณ์ที่ตึงเครียดได้ดีขึ้น ซึ่งความเครียดเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมา อีกทั้งผู้ที่คิดบวกยังมีแนวโน้มที่จะทำกิจกรรมต่าง ๆ ออกกำลังกาย ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งล้วนเป็นพฤติกรรมที่ส่งเสริมให้มีสุขภาพแข็งแรงได้