27 ม.ค. 2021 เวลา 12:41 • ประวัติศาสตร์
อีดี้ อามิน อดีตผู้นำเผด็จการแห่งอูกันดา
อีดี้ อามิน อดีตผู้นำเผด็จการแห่งอูกันดา ผู้ที่ได้ชื่อว่าโหดเหี้ยมและเพี้ยนที่สุดคนหนึ่งของโลก และยังเป็นผู้นำประเทศเพียงคนเดียวที่ควีนอลิซาเบธที่ 2 เคยพูดติดตลกว่าจะตีหัว
อีดี้ อามิน หรือ อีดี้ อามิน ดาดา โอมี เกิดช่วงปี ค.ศ.1923 มีพี่น้อง 8 คน เขาเป็นเด็กมีปัญหาบ้านแตก เรียนไม่เก่งและรักความรุนแรง
ต่อมาได้เข้าเป็นทหารซึ่งขณะนั้นประเทศอูกันดายังอยู่ภายใต้อาณานิคมของอังกฤษ เขาจึงอยู่ในสังกัดของทหารอังกฤษ และได้รับการสนับสนุนจากกองทัพจนกระทั่งได้เป็นแชมป์โลกรุ่นเฮฟวี่เวท
ในปี 1962 อังกฤษได้ถอนกำลังออกจากอูกานดา และได้ประกาศให้เป็นประเทศเอกราช โดยมีนายกรัฐมนตรีคนแรกคือ นาย มิลตัน โอโบเต้ โดยมีอามิน เป็นทหารอารักขา
แต่แล้ว เดือนมกราคม 1971 อีดี้ อามิน ก็ได้วางแผนสั่งปลดนายกรัฐมนตรีคนแรก ซึ่งเป็นนายเหนือหัวของเขาอย่างหน้าตาเฉย
3
โดยอามินได้เริ่มการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ จัดการกับกลุ่มคนที่ยังจงรักภักดีโอโบเต้ ในปี พ.ศ. 2515 อันได้แก่กลุ่มชนเผ่าอะโชลีและแลนโก้ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2514 ทหารของอะโชลีและแลนโก้ถูกสังหารหมู่ในโรงเรียนทหารจากจินจาและมบาราร่าจำนวนมาก[26] และต้นปี พ.ศ. 2515 ทหารของอะโชลีและแลนโก้ประมาณ 5,000 นายกับชาวบ้านบางส่วนหายสาบสูญ[27]
ไม่นานเหล่าผู้เคราะห์ร้ายก็หันไปพึ่งชนเผ่าอื่น, ผู้นำลัทธิ, นักหนังสือพิมพ์, ข้าราชการอาวุโส, ผู้พิพากษา, นักกฎหมาย, นักศึกษา, อาชญากร และชาวต่างชาติ เพื่อกระจายข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้น และจะมีผู้คนถูกสังหารอีกมากมาย
การสังหารถูกกระตุ้นโดยชนเผ่าตามปัจจัยทางนโยบายและการคลังดำเนินอยู่ตลอด 8 ปีที่อามินดำรงตำแหน่ง
ไม่มีใครทราบจำนวนตัวเลขแน่นอนของคนที่ถูกสังหาร คณะกรรมาธิการนักกฎหมายสากลประมาณตัวเลขผู้เสียชีวิตไว้ไม่ต่ำกว่า 80,000 คน และอยู่ประมาณ 300,000 คน แต่การประมาณตัวเลขผู้เสียชีวิตขององค์กรผู้ลี้ภัยที่ได้รับการช่วยเหลือจากองค์การนิรโทษกรรมสากลได้คาดไว้ถึง 500,000 คน
1
ในกลุ่มผู้ที่ถูกสังหาร ชื่อที่สะดุดตานั้นมีเบเนดิกโต กิวานุก้า อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งในภายหลังได้ดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าผู้พิพากษา,จานานี ลุวุม แองกลิคันอาร์ชบิชอปแห่งคริสตจักรแห่งยูกันดา, โจเซฟ มูบิรุ ผู้ว่าการธนาคารกลาง, แฟร้งค์ มาลิมุโซ อธิการบดีมหาวิทยาลัยมาเกเรเร่, ไบรอน กาวาดว่า นักประพันธ์บทละครผู้มีชื่อเสียงและสองรัฐมนตรีของอามินเองคืออีรินาโย วิลสัน ออร์เยม่ากับชาลส์ โอบอธ โอโฟมบิ
ต่อมาในปี พ.ศ. 2520 เฮนรี เกมบา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขของรัฐบาลอามินและอดีตข้าราชการในสมัยโอโบเต้เป็นประธานาธิบดีครั้งแรก ได้ละทิ้งตำแหน่งและไปตั้งรกรากใหม่ที่สหราชอาณาจักร เขาเขียนและตีพิมพ์หนังสือ "A State of Blood" เกมบาคือบุคคลภายในคนแรกที่ออกมาเปิดเผยเรื่องราวการปกครองของอามินหลังจากนั้น อามินก็ทำทุกวิถีทางที่จะปกป้องอำนาจของเขา ที่ดูน่าหัวเราะเยาะที่สุดคือ การปรับเปลี่ยนระบบกองทัพของอูกันดา โดยสังหารหมู่ผู้นำทหารระดับสูง แล้วสถาปนาคนเชื้อสายเดียวกันกับเขา ไม่ว่าจะเป็นคนขับแท็กซี่ หรือคนล้างจาน ให้เป็นนายทหารระดับสูงเพื่อคุมกองทัพแทน
เนื่องจากการใช้จ่ายอย่างฟุ่มเฟือยและโดนคว่ำบาตรจากมิตรประเทศ ทำให้อามิน ผลิตเงินขึ้นมาใช้เอง ก่อให้เกิดภาวะเงินเฟ้อ ต่อมาเขาได้มีนโยบายขับไล่ชาวเอเชียซึ่งส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าออกจากประเทศภายใน 90 วัน แล้วยึดเอาทรัพย์สินมาเสวยสุขสำราญได้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง
ที่น่าสมเพชที่สุดก็คือการตั้งองค์กรสังหารหมู่(SRB) ขึ้นมา ภายใต้ชื่อองค์การสืบหาศพ โดยออกไปตระเวนแอบจับคนมาสังหาร ญาติของผู้สูญหายจึงต้องว่าจ้างให้องค์กรออกตามหา จากนั้นองค์กรก็จะเอาศพมาให้ญาติแล้วคิดค่าตามหาศพละ 150 ปอนด์ หากไม่มีญาติติดต่อก็จะโยนศพลงแม่น้ำไนล์เป็นอาหารของจระเข้ แต่ศพก็เพิ่มขึ้นทุกวันจนจระเข้กินไม่ไหว ผลสุดท้ายศพเหล่านี้ก็ลอยไปกองกันอยู่ที่เขื่อนสร้างกระแสไฟฟ้า กลายเป็นปัญหาเรื่องการจ่ายกระแสไฟ
1
สำหรับการสังหารที่โหดที่สุดจนโลกต้องจารึกนั้นก็คือ การสังหารนักโทษการเมืองโดยการดันเหล่านักโทษการเมืองทั้งหมดให้ลงไปในหลุม รถแบ็คโฮที่ติดเครื่องรอก็ทำการตักดินทั้งหมดลงไป ภาพที่น่าเวทนาคือคนที่ยังมีลมหายต่างกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดด้วยการตะกายเพื่อหาทางรอดทั้งๆที่ตาถูกปิดแขนขาถูกพันธนาการด้วยตรวน เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลาไปร่วม 3 ชั่วโมงดินถูกกลบจนเต็มหลุมพร้อมๆกับแสงอาทิตย์และชีวิตถูกพรากไปจากคนทั้ง 800 กว่าคนที่อยู่ในหลุม
อีดี้ อามิน นำอูกันดาดำดิ่งสู่ยุควิกฤติ สภาพเศรษฐกิจตกต่ำอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทั้งยังโดนสหรัฐและอังกฤษตัดความสัมพันธ์ และก็กลายเป็นศัตรูกับอิสราเอล พันธมิตรใกล้ชิด เมื่อกลุ่มสลัดอากาศปาเลสไตน์จี้เครื่องบินของสายการบินแอร์ ฟรานซ์ ไปลงที่สนามบินเอนเท็บเบ้ของอูกันดา พร้อมจับผู้โดยสารชาวอิสราเอลเป็นตัวประกัน
อิสราเอลต้องส่งหน่วยคอมมานโดไปชิงตัวประกันได้สำเร็จ ซึ่งแม้อามินจะอ้างว่าได้พยายามแก้ไขวิกฤติให้จบลงด้วยดี แต่มีหลักฐานมากมายบ่งชี้ว่าเขาเป็นพวกเดียวกับกลุ่มสลัดอากาศ
มีเรื่องที่เลวร้ายอีกมากอันเกิดจากการปกครองประเทศเพียง 8 ปี ของอีดี้ อามิน แม้กระทั่งการสั่งหั่นศพภรรยาตัวเอง แล้วให้ลูกสาวเข้าไปดูศพแม่ เพื่อไม่ให้ใครกล้าหักหลังเขา หรือแม้แต่การแช่ศีรษะมนุษย์ไว้ในช่องฟรีซ
อำนาจของ อีดี้ อามิน ต้องสิ้นสุดลง เมื่อเขาส่งทหารไปบุกแทนซาเนีย แล้วโดนตีตอบกลับมา และรุกเข้าไปจนถึงกรุงกัมปาลา เมืองหลวงของอูกันดา โดยได้รับความร่วมมืออย่างดีจากประชาชนอูกันดา และการรบครั้งนี้ก็มิได้ยากเย็นใดเลย เมื่อทหารของอีดี้ อามิน ส่วนใหญ่เป็นชาวบ้านที่ไม่ได้ถูกฝึกรบมาก่อน
อีดี้ อามิน ต้องลี้ภัยไปอยู่ที่ประเทศลิเบียโดยเครื่องบินส่วนตัว ก่อนที่จะอพยพต่อไปยังซาอุดิอาระเบีย
สรุปแล้วภายใต้การปกครอง 8 ปี ของ อีดี้ อามิน มีประชาชนเสียชีวิตไปจากเงื้อมมือของเขากว่า 5 แสนคน!!!
เรื่องที่น่าเศร้าก็คือ เขาจากโลกนี้ไปด้วยโรคความดันโลหิตสูงและไตวายในเดือนสิงหาคมปี 2003 ด้วยวัย 80 ปี โดยไม่เคยได้รับโทษทัณฑ์ใดๆจากผลกรรมที่เขาก่อไว้เมื่อ 20 กว่าปีก่อน...แถมยังใช้ชีวิตอย่างหรูหราพร้อมกับภรรยาและลูกอีก 22 คนจนวาระสุดท้าย...อย่างสงบ....
CR: TNEWS
***อีดี้ อามิน มียศและตำแหน่ง(ตั้งเอง)อย่างเป็นทางการว่า
"His Excellency, President for Life, Field Marshal Al Hajj Doctor Idi Amin Dada, VC, DSO, MC, Lord of all the Beasts of the Earth and Fishes of the Sea and Conqueror of the British Empire in Africa in General and Uganda in Particular, King of Scotland.
.
***ด้วยความที่อีดี้ อามิน ไม่ค่อยได้รับการศึกษาและไม่เคยอยู่ในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการต่างประเทศ เค้าเลยไม่รู้ธรรมเนียมปฎิบัติ และมารยาททางการทูตเลย แล้วก็ไม่สนใจมันด้วย จึงมักจะมีพฤติกรรมเพี้ยนๆให้เห็น
.
***ช่วงหลังการยึดอำนาจใหม่ๆเคยบุกไปอังกฤษแล้วขอพบกับควีนอลิซาเบธที่ 2 เป็นการส่วนตัวเอาดื้อๆ โดยไม่ได้นัดหมายล่วงหน้า
โชคดีที่วันนั้น ควีนอลิซาเบธที่ 2 ว่างพอดี
ระหว่างอยู่กับควีน เค้าบอกกับควีนว่า มาอังกฤษเพื่อหาซื้อรองเท้าหนังดีๆ เพราะที่อูกันดาไม่มีไซส์ที่พอดีกับเค้า (เค้าสูง 193 ซม.)
.
***เคยส่งโทรเลขถึง ควีนอลิซาเบธที่ 2 เชิญให้มาอูกันดา โดยเขียนว่า
'Dear Liz, if you want to know a real man, come to Kampala.'
(การเรียกชื่อแบบลำลอง จาก Elizabeth เป็น Liz เค้าไว้ใช้เรียกญาติที่เด็กกว่า หรือ เพื่อนสนิทเท่านั้น แล้วก็ไม่ใช้ในภาษาเขียนด้วย)
(สมัยก่อนไม่มีอินเตอร์เน็ต ไม่มีอีเมล โทรเลขคืออุปกรณ์สื่อสารระหว่างประเทศแบบรวดเร็ดที่สุด เป็น instant messaging ของยุคนั้น ปัจจุบันไม่มีใครใช้แล้ว
ยุคต่อมาถึงจะมีแฟกซ์ ที่ส่งข้อความได้มากกว่ามีรายละเอียดมากกว่าโทรเลข)
.
***จากความเพี้ยนของเค้า ทำให้ในช่วงใกล้ถึงวันพิธีรัชดาภิเษกของควีนอลิซาเบธที่ 2 หลายฝ่ายกังวลว่าเค้าจะอาศัยความเป็นผู้นำประเทศอดีตอาณานิคมของอังกฤษบุกมายังพิธีฉลองฯ ที่มหาวิหารเซนต์พอลโดยไม่ได้รับเชิญ
ในเรื่องนี้ พระนางเคยพูดติดตลกกับ ลอร์ด เมานต์แบ็ตเทน อุปราชแห่งอินเดียคนสุดท้าย พระญาติของพระนางว่า
"หากอีดี้บุกมายังพิธีโดยไม่ได้รับเชิญแล้วประจันหน้ากันขึ้นมา จะเอา City's Pearl Sword ที่วางอยู่ตรงหน้าในการประกอบพิธีฯฟาดหัวสักที"
( City's Pearl Sword คือดาบศักดิ์สิทธิ์ใช้ประกอบพิธีสำคัญของรัฐ)
.
***เคยเสนอตัวเป็นตัวกลางในการไกล่เกลี่ยสันติภาพในไอร์แลนด์เหนือ........แน่นอนว่าอังกฤษปฎิเสธ
.
***ช่วงวิกฤติเศรษฐกิจของอังกฤษในยุค 70 แกบอกให้ทูตอังกฤษรีบส่งเครื่องบินมารับผักและข้าวสาลีจำนวน 1 คันรถบรรทุก ที่ชาวอูกันดาบริจาคให้ชาวอังกฤษก่อนที่มันจะเน่าเสีย
.
***อีดี้ เป็นพวกนิยมฮิตเลอร์ และยกย่องที่ฮิตเลอร์ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิว
.
***การส่งทหารบุกแทนซาเนียจริงๆแล้วก็เพื่อจะกลบเกลื่อนปัญหาภายในประเทศ นัยว่าจะเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชน ปลุกความรู้สึกร่วมของคนในชาติ โดยที่เค้าเองก็ไม่นึกว่าจะกองทัพอูกันดาจะแพ้ง่ายๆแบบนี้
.
***เรื่องของ อีดี้ ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์หลายครั้ง ล่าสุดถูกนำมาสร้างในชื่อเรื่อง The Last King of Scotland (2006)
โฆษณา