31 ม.ค. 2021 เวลา 01:30 • ครอบครัว & เด็ก
บางครั้ง พ่อแม่ ก็อาจเป็นตัวการหลัก ของความ "ล้มเหลว" ในชีวิตลูก
ในหลายๆ ครั้ง ที่เรามักได้ยินเรื่องราวว่า พ่อแม่บอกให้ลูกเป็นอย่าง แต่ลูกกลับจะเป็นอีกอย่าง
แต่เรามองกลับไปว่ามันเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้ใส่ใจ
ไม่ใช่เรื่องใหญ่
ผมจะพามาแกะปัญหานี้ให้อ่านกัน
มีเด็กชายคนหนึ่ง ชื่อว่า อาร์ม
อาร์มเป็นเด็กผู้ชายคนนึง ที่เฝ้ามองหา "เป้าหมาย" ของตัวเอง
แต่ในวัยเด็กอาร์มรู้แค่ว่าตัวเองชอบเล่นเกมส์คอมพิวเตอร์
และฟังเพลง
ซึ่งเป็นอะไรที่พ่อแม่ของอาร์มไม่ปลื้มเอามากๆ
อาร์มมีพ่อแม่เป็นข้าราชการระดับสูง
ค่อนข้างประสบความสำเร็จในอาชีพรับราชการ
มีตำแหน่งเป็นถึงผู้บริหาร ทั้งคู่
ซึ่งนิสัยของผู้บริหารรุ่นเก่าเกือบทุกคนนั้นคือ
"ชอบการควบคุม" และปรารถนาให้ทุกสิ่งนั้นเป็นดั่งใจตัวเอง และคิดไปเองว่านั่นคือความหวังดี
พ่อแม่ไม่เคยถามว่าอาร์มชอบอะไร อยากเป็นอะไร
แต่เขาคิดไว้ให้เรียบร้อยทั้งหมดแล้ว โดยที่ยังไม่ได้ถามอาร์มด้วยซ้ำ ว่าอยากทำรึเปล่า
เมื่ออาร์มโตขึ้นจนมีชีวิตถึง ม ปลาย
อาร์มเริ่มสนใจที่จะ เล่นดนตรีกับเพื่อนๆ
ด้วยความที่อาร์มรักและสนุกกับมัน
ทำให้อาร์มฝึกฝนอย่างหนัก
ขึ้นเล่นคอนเสิร์ตโรงเรียนบ่อยๆ
และประกวดชนะอยู่เสมอๆ
ซึ่งทุกครั้งที่ออกไปประกวด หรือไปขึ้นคอนเสิร์ต อาร์มไม่เคยบอกที่บ้านเลย บอกแค่ว่าจะไปซ้อมดนตรี
ซึ่งพ่อแม่ก็คงคิดว่าแค่เล่นขำๆ ไม่ได้หักห้ามอะไร
จนถึงจุดหนึ่ง อาร์มมีความคิดว่า ฉันจะเดินทางสายนี้แหละ ฉันจะเรียนต่อเอกดนตรี และพยายามฝึกซ้อมอย่างหนัก จนอาจจะลดความตั้งใจเรียนในวิชาที่ไม่ได้ใช้สอบในสายดนตรีไปบ้าง
เมื่ออาร์มเรียนจบ สิ่งที่อาร์มฝันไว้ ก็กลายเป็นจริง
อาร์มสอบติดเอกดนตรี ในมหาลัยอันดับต้นๆ ของประเทศ
อาร์มดีใจมาก และในวันที่อาร์มนั่งรถกลับบ้านไปหาพ่อแม่ อาร์มคิดว่าพ่อแม่ต้องดีใจกับเขามากแน่ๆ
ประโยคสนทนาในบ้าน
อาร์ม : พ่อ ผมสอบติดมหาลัยระดับประเทศแล้วนะพ่อ
พ่อ : ดีใจด้วย ลูกพ่อเก่งจริงๆ
พ่อ : ว่าแต่เอกอะไรล่ะ วิศวะ นิติศาสตร์ หรือรัฐศาสตร์ ล่ะลูก
อาร์ม: เอกดนตรีครับ
พ่อ : ห๊ะ ฉันคิดว่าสอบติดวิศวะ แกเรียนดนตรีแล้วจะไปทำมาหากินอะไร มันไม่มีงานให้ทำรู้มั้ย
สอบราชการก็ไม่ได้ ครูสอนดนตรี โรงเรียนนึงมีกี่คนเอง
พ่อ : อย่าให้รู้นะว่าไปเรียน ไม่งั้นไม่ต้องเจอกันอีก
โลกของอาร์ม เหมือนพังทลายลงทั้งใบ เขาใช้ชีวิตทั้ง ม ปลาย เพื่อเตรียมตัวในการเรียนต่อสายดนตรี
ทำให้ความรู้ในบางวิชาอย่างเช่น คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ อ่อนมากๆ
เมื่ออาร์มต้องสละสิทธิ์ในการเป็นนักดนตรีแล้ว
ชีวิตก็เหมือนปลั๊กหลุด เขามีเวลาอีกไม่มากที่จะต้องหามหาลัยใหม่ให้ได้
จึงมองหาความฝันที่สองคือ คอมพิวเตอร์
แต่ด้วยความที่ปูพื้นวิชาหลักมาอ่อนมากๆ
ทำให้ไม่สามารถเข้าสาขานี้ได้
อาร์มจึงต้องทนเรียนในสาขาที่ไม่ได้อยากเรียน...ที่เพียงแค่คะแนนถึง
แต่มันก็ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น
อาร์มเรียนไม่ได้ แต่ก็พยายาม ไม่อยากย้าย
พยายามแล้ว แต่ก็เรียนไม่ได้จริงๆ
อาร์มถูกรีไทร์ตอนปี 4
อาร์มคิดว่าถ้าเรียนไม่จบแต่เขามีสกิลขั้นเทพ
ในการเล่นดนตรีอยู่ สามารถเอาไปใช้หากินได้แน่นอน
แต่พ่อแม่ไม่คิดอย่างนั้น
พ่อแม่ยอมทุ่มเงินอีกก้อนหนึ่ง แล้วให้อาร์มกลับไปเรียน ปี 1 ใหม่
แต่ดีหน่อย ครั้งนี้อาร์มได้เรียนคอมพิวเตอร์
ทำให้เรียนผ่านได้อย่างสบายใจ
อาร์มจบมาด้วยเกียรตินิยมอันดับ 2 และเป็นคนที่เก่งที่สุดในรุ่น
แต่กว่าเขาจะเรียนจบ ปตรี อายุก็ปาไป 27 แล้ว
เมื่อจบมา อาร์มก็หางานทำในบริษัทเอกชนใน กทม
ตำแหน่งเขียนโปรแกรม รายได้จัดว่าค่อนข้างดี
เมื่อทำไปได้ประมาณ 2 ปี อาร์มกำลังจะขยับเป็น Senior
แม่โทรมาบอกว่า ให้กลับมาทำงานที่บ้านเกิด จะได้ไม่ลำบาก ให้ทำงานอะไรก็ได้ เสริมว่าพ่อป่วย
เป็นอีกครั้งหนึ่ง ที่อาร์ม ต้องทิ้งความต้องการของตัวเอง เพื่อตามใจสิ่งที่พ่อแม่เห็นว่าดี
แม่อาร์มเลยฝากอาร์มเข้าทำงานที่แม่ทำอยู่ โดยมีเงินเดือนไม่ถึง 10000 บาท
ตำแหน่งธุรการทั่วไป
กลายเป็นต้องทิ้งวิชาคอมพิวเตอร์ที่สั่งสมมาอีกครั้ง
และแม่บอกว่าให้รอสอบราชการเอา
อาร์มทำได้เกือบ 1 ปี ก็มีเปิดสอบราชการ
แต่กลับเป็นว่า คนสมัครตำแหน่งคอมพิวเตอร์ 800 คน
แต่สามารถบรรจุได้แค่ 1 คน
ซึ่งแน่นอนว่าอาร์มคงไม่ได้
แต่ที่น่าเจ็บใจคือ
ครูสอนดนตรี มีคนสมัครแค่ 15 คน แต่รับมากถึง 10 คน
ซึ่งถ้าสอบ โอกาสที่จะได้งานตรงนี้สูงมาก แต่เสียซะตรงที่อาร์มไม่มีวุฒิด้านนี้
ปัจจุบัน อาร์มในวัย 30 กว่า คนที่เคยมีความสามารถสูงในเรื่องของคอมพิวเตอร์และดนตรี
กลับต้องมาทำงานที่ไม่ได้รัก รายได้น้อย และไม่คุ้มค่ากับทักษะของเขาเลย
เพียงเพราะเขาเป็นคนที่ "เชื่อฟังพ่อแม่" มาตลอด
สิ่งที่พ่อแม่ได้พูดกับอาร์มในวันนี้คือ "เขาเสียใจที่ไม่ฟังลูกของตัวเองตั้งแต่แรก"
ถ้าย้อนเวลากลับไป ให้ลูกคนนี้ดื้อกับพ่อแม่ และไม่ต้องเชื่อฟัง วันนี้เขาอาจจะเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียง
หรืออย่างดีก็เป็นครูสอนดนตรี ที่มีอายุราชการ 8 ปีแล้ว
เขาเป็นคนที่ดูไร้อนาคตโดยสิ้นเชิง ไม่มีสิ่งใดๆ ในชีวิต
ไร้ความหวัง
อาร์มได้แค่เฝ้าดูเพื่อนๆ ที่เคยเล่นดนตรีมาด้วยกัน หลายคนกลายเป็นศิลปินอาชีพ ออกทัวร์คอนเสิร์ต
หลายคนทำงานเบื้องหลัง หลายคนไปเป็นครูตามโรงเรียน บางคนไปเปิดค่ายเพลงของตัวเอง และเขาทำได้แค่ยินดีกับเพื่อนเก่าเท่านั้น
**เรื่องข้างต้นเป็นเรื่องจริงของเพื่อนผมคนนึง**
ในโลกแห่งการแข่งขัน
คนที่รักในงานที่ทำ กับไม่ได้รักในงานที่ทำ
คนที่ไม่ได้รัก เขาจะไปสู้คนที่รักได้ไง
ในวันนี้ ผมอยากให้การเลือกเส้นทางให้เด็ก มันควรจบลง เราให้คำแนะนำได้ ให้ข้อมูลได้
แต่การตัดสินใจต้องเป็นของเขา
ผู้ใหญ่ ทำหน้าที่ได้เป็นแค่เพียง "แม่แรง" ไม่ใช่แม่พิมพ์
สนับสนุนเขาก็พอ แต่ถ้าไม่รู้จะสนับสนุนยังไง ก็อย่าไปขวางเขาละกัน
สตีฟจ็อบส์เคยพูดประมาณว่า เขาดีใจที่สุดที่เกิดเป็นเด็กกำพร้า เพราะทำให้เขามีอิสระในการเลือกสิ่งที่จะทำโดยตัวเอง
ซึ่งสมมติถ้าสตีฟจ็อบส์ เกิดในครอบครัวแบบอาร์ม
วันนี้เราก็คงไม่มีไอโฟนใช้กัน....
สวัสดีครับ
โฆษณา