31 ม.ค. 2021 เวลา 04:47 • ท่องเที่ยว
“สวิตเซอร์แลนด์แห่งไต้หวัน” EP.2
Edit: Juu
สวัสดีค่ะทุกคน เรามาย้อนกันต่อถึงเรื่องราวการเดิน Hiking trails แบบหินๆกันต่อนะคะ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าจูได้มีโอกาสไปทัศนศึกษากับทางมหาวิทยาลัย ซึ่งเขาก็จะจัดเตรียมกิจกรรมการเดินป่าให้ รวมถึงกิจกรรมอื่นๆอีกมากมาย งั้นจูขออนุญาตพาทุกคนย้อนเวลาไปทัศนศึกษาครั้งนี้กับจูพร้อมๆกันเลยนะคะ ไปค่ะ 🎉
จากสาระข้อมูลของ EP.1 ทุกท่านก็พอจะทราบเรื่องราวภูมิทัศน์มาพอสำควรแล้ว จูจะสรุปสั้นๆให้ฟังว่า ในประเทศไต้หวันเนี้ย มีเมืองๆนึงซึ่งจะเต็มไปด้วยหุบเขามากมาย การเดินทางไปที่เมืองนี้ต้องใช้รถบัสเท่านั้น(จะมีรอบรถสำหรับบุคคลที่อยากไปท่องเที่ยวค่ะ) ต้องบอกเลยว่า ดอยอินทนนท์ที่ว่าหินของไทยแล้ว เจอที่นี้เป็นต้องว้าวค่ะทุกคน เพราะเส้นทางแคบมาก สูงมาก และอันตรายมากๆ แต่ด้วยระดับความสูงแบบนั้น เมืองนี้จึงถูกขนานนามว่าเป็น สวิตช์เซอร์แลนด์แห่งใต้หวันกันเลยที่เดียวเชียวว
Cr:Juu
ขอแอบกระซิบนิดนึงว่าภาพที่ถ่ายได้ตอนนั้นระดับความสูงเทียบเท่ากับดอยสุเทพบ้านเราแล้วนะคะ ถามประสบการณ์ความรู้สึก
’ก็แรกๆ ตื่นเต้นมากค่ะ วิวสองข้างทางสวยงามสลับไปมา ช่วงที่ไปก็เป็นช่วงที่ฝนตกพอดิบพอดี เราก็จะได้สัมผัสเมฆหมอกแบบจุใจ’
Cr:CNN
อ่าวแล้วที่บอกว่าหินโคตรๆละ? นั่นแหละค่ะทุกคน หลังจากการเสพธรรมชาติในระดับที่ชาวไทยอย่างเราคุ้นเคยมากันบ้าง เมื่อรถบัสขับไปเรื่อยๆใจเราก็เริ่มเต้นรัวเป็นกลองชุดแล้วค่ะ ไม่ใช่เพราะว่าตื่นเต้นหรอกนะ แต่เพราะกลัวว แง้ 🥺
Cr:Pinterest
Cr: Juu
ยิ่งสูง หมอกยิ่งหนา ถนนยิ่งแคบ ทางยิ่งโค้งและชันขึ้นเรื่อยๆ เพราะเหตุนี่จึงทำให้นักท่องเที่ยวที่จะไปเดินชมธรรมชาติไม่สามารถขับรถขึ้นไปเองได้นะคะ เพราะมันอันตรายมากจริงๆ หมอกลงจัดมากขนาดที่ว่าเราแทบไม่เห็นรถคันข้างหน้ากันเลยทีเดียว ระยะเวลาการเดินทางจากตีนดอยมาถึงกลางดอยใช้เวลาไปประมาณเกือบ 4 ชั่วโมงค่ะแม่ค่าา นั่งหลับก็ไม่ได้นะเพราะฉันห่วงความปลอยภัยของตัวเองจริงๆ ตอนนั้นอยากจะร้องไห้มาก
แต่ร้องเยอะก็ไม่ได้ค่ะทุกคน อากาศบนหุบเขาแทบจะติดลบอยู่ทั้งปี และกว่าจะถึงที่พักของเราก็มืดค่ำแล้ว
สิ่งแรกที่ก้าวขาออกจากรถมาคือการจิกเท้าค่ะทุกคน ยิ่งเจอทางราบลงไปโฮมสเตย์แล้วนะต้องมีการจิกเท้าเต้นระบำสลับซ้ายทีขวาที ไม่งั้นมีเหตุให้หน้าทิ่มฮะ
แต่ว่าเอาจริงๆเราว่าเขาไม่ได้นะทุกคน ห้องพักคือดียจ์ เด็ดดวง สัมผัสอากาศได้แบบฟินๆ จูแอบก้อปรูปจากทางโฮมสเตย์มาให้ทุกท่านได้ว้าวกันค่ะ
Cr:Booking.com
Cr:Booking.com
Cr:Booking.com
Cr:Booking.com
Cr:Booking.com
Cr:Booking.com
เป็นยังไงกันบ้างคะกับที่พักของเราในครั้งนี้ บอกได้เลยว่าฟินสุดจะฟินจริงๆเลยค่ะ กับอากาศ ณ ตอนนั้นอยู่ที่ประมาณ 10 องศานิดๆ และฝนปอยๆ ลมเย็นๆ เป็นช่วงเวลาแห่งการพักผ่อนที่แฮปปี้มากๆเลยหล่ะค่ะ
Location: Beverly B&B
No. 23-1, Rungguang Lane, Datong Village, Ren-ai
เมื่อถึงที่พักจูก็รีบอาบน้ำทานข้าวแล้วเสพธรรมชาติให้เต็มปอด นั่งกอดตัวเองดูดาวที่สว่างวิบวับใกล้จนเหมือนเราจะจับได้ แต่เดี๋ยวก่อนค่ะ พรุ่งนี้เรามีแพลนจะเดินทางเท้าขึ้นหุบเขากัน จูต้องพักผ่อนเก็บแรงไว้สำหรับวันพรุ่งนี้
ก่อนเดินเข้าห้องนอนก็ได้แต่บอกดวงดาวว่า “ขอให้พรุ่งนี้เป็นวันที่ดีที่สดใสนะ แล้วชั้นจะตื่นเช้าๆมาดูพระอาทิตย์ขึ้นหล่ะ ฝันดี”.......
Cr: Juu
เมื่อตื่นยามเช้าด้วยความสดใส สิ่งที่ไม่แปลกใจเลยคือนังหมอกตัวดีนั้นไม่หายไปไหนค่ะ จะตั้งปลุกมาส่องพระอาทิตย์ขึ้นสวยๆไม่มีอยู่จริงในแต้มบุญนี้
Cr: Juu
นั่นแหละจ้ะแม่ เท่าที่เห็นก็คือก้อนเมฆปกคลุมไปทุกทิศทาง
หลังจากผิดหวังเล็กๆทางเราก็เดินไปหาอาหารเช้าที่ทางโฮมสเตย์จัดไว้ให้กันค่ะ ค่อนข้างมีเมนูที่หลากหลาย แต่ที่สามารถทานเพื่ออยู่รอดได้จริงๆคือข้าวต้มกับหมูฝอยที่รสชาติจืดสนิท โอเคค่ะทุกคน จูต้องรอด
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จพวกเราก็พร้อมเก็บของขึ้นรถบัสเพื่อเดินทางขึ้นไปบนเขา(อีกหรอแม่?) ซึ่งใช้เวลาประมาณเกือบ 3 ชั่วโมงเอาเรื่องเลย
Cr: IG ตามรูปเลยค่า
เมื่อเราไปถึงลานจอดรถทางไกด์ก็จะเริ่มแบ่งกลุ่ม กลุ่มละไม่เกิน 20 คน และเรนด้อมให้ไปเดินทางเท้าตามหุบเขาต่างๆค่ะ ซึ่งกลุ่มที่จูได้อยู่คือเส้นทางชมธรรมชาติแบบเดินขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงจุดพีคหรือจุดสูงสุดของหุบเขานั่นเองค่ะ
Cr:Juu
และด้วยความพื้นที่บนหุบเขาอาจจะสูงเกินไป สัญญาณแต้มบุญน้องเหลือน้อยมากๆ ก็เท่าที่ทุกท่านเห็นตามภาพเลยค่ะเพราะหมอกหนามากกก ลมแรงมากกก และฝนก็ตกอยู่ตลอดเวลา บันไดขึ้นเขาก็ต้องจิกเล็บเท้าแรงๆ เมื่อเดินสูงขึ้นเรื่อยๆ ออกซิเจนก็จะเริ่มต่ำลงค่ะ เรียกได้ว่าแค่ก้าวขาขึ้นบันไดไป 3 ขั้นก็เหนื่อยเหมือนจะตายแล้ว ต้องจิบน้ำและแบ่งช็อคโกแลตให้เพื่อนๆกินตามทาง
*แต่ต้องบอกเลยนะคะ ใครไม่ไหวอย่าฝืนเด็ดขาด!! ไกด์เขากำชับมามากว่าสุขภาพคนเราไม่เหมือนกัน ยิ่งเดินสูงขึ้นความกดอากาศจะต่ำลง ถ้าใครรู้ตัวว่าไม่ไหวให้แจ้งไกด์และนั่งรอ รอเท่านั่นอยู่ริมทางค่ะ*
แต่มีหรออย่างจูหรอจะไม่สู้ ไม่มีวันค่ะ 555 พาตัวเองมาลำบากขนาดนี้ก็ต้องเอาให้สุดด *ห้ามลอกเลียนแบบน้าา ไม่มีใครสามารถแบกคุณลงเขาด้วยบันไดเล็กๆชันๆได้นะคะ เดี๋ยวติดเขาเอานะคะ
ด้วยความผิดหวังที่ว่าชั้นควรจะมาแบบท้องฟ้าแจ่มใส ไม่เปียกปอนอะไร ได้เห็นน้องแกะวิ่งงับตูดกันตามทาง ได้ดูดอกไม้หายากสวยๆ มันจบลงแล้วละค่ะ แต้มบุญที่มีสั่งให้เดินขึ้นพาตัวเองไปลำบาก อย่างน้อยจูก็คิดกว่ายังไงก็ต้องไปให้ถึง ถึงแม้เราจะไม่เห็นอะไรเลยก็ตาม..
Cr:IG เลยเพื่อนจูเองงับบ
Cr:IG เลยเพื่อนจูเองงับบ
Cr:IG เลยเพื่อนจูเองงับบ
Cr:IG เลยเพื่อนจูเองงับบ
เมื่อถึงจุดพีคแล้วเนี่ย จูและพองเพื่อนก็ได้แต่ทำการตะโกนเย้ดังๆไปสามทีแล้วตัดสิ้นใจรีบลงมาจากเขาทันทีค่ะ เนื่องจากอากาศที่แย่ลงเรื่อยๆ ฝนตกหนักขึ้นเรื่อยๆ และลมที่พัดแรงมากเรื่อยๆจึงเป็นสิ่งที่พึงระวังภัยอันตรายค่ะ เพราะลมมันแรงมากจริงๆ ขนาดที่ว่าสามารถพลัดเราปลิ้วตกเขาได้ อันตรายมากเลยค่ะ
สรุปการเดินทางชมเส้นทางธรรมชาติครั้งนี้ใช้ระยะเวลาเดินไป-กลับรวมเกือบ 6 ชั่วโมง เนื่องจากเมื่อยิ่งสูงเราต้องยิ่งพักถี่ขึ้น แต่ขาลงจะบอกว่าชิลก็ไม่ได้นะคะ ชันค่ะลูก เล็บเท้าต้องแข็งแรง เป็นเล็บขบต้องห้ามร้องไห้ สู้!!
Cr: Juu
จบไปแล้วนะคะกับเรื่องราวย้อนอดีตไปทัศนศึกษากับจู ณ สวิตช์เซอร์แลนด์ แห่งไต้หวัน หวังว่าทุกคนจะเพลิดเพลินไปกับการเดินทางที่จูคิดว่าก็เรียกว่าเฟลๆแหละ ถือว่าจูนำอีกมุมนึงของการท่องเที่ยวมาฝากละกันนะคะ ยังไงก็ขอขอบคุณที่ติดตามค่าา
“ทุกการเดินทางย่อมมีอุปสรรค ซึ่งเราไม่สามารถกำหนดดินฟ้าอากาศได้เลย สิ่งที่จูได้เรียนรู้จากการท่องเที่ยวครั้งนี้ไม่ใช่การชื่นชมภูมิทัศน์อย่างเดียว แต่เป็นการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ในระหว่างการเดินทางเราได้เจอไกด์ทีมอื่นและลูกทีมอีกเยอะแยะรวมไปถึงชาวต่างชาตินักท่องเที่ยวต่างๆที่ต้องค่อยๆแบ่งเส้นทางกันเดิน
เมื่อน้ำหมดเราแชร์กัน เมื่อพักเหนื่อยเราถามไถ่กัน
จูมองว่าสิ่งนี้สวยงามมากที่สุดแล้ว มากกว่าวิวทิวทัศน์ใดๆบนโลกนี้ซะอีก”
จู เจอร์นี่
โฆษณา