เมื่อเธอถามชื่อเศรษฐีปรากฎว่าเป็นครอบครัวเธอ ทำให้นางปฏาจารา ไม่อาจตั้งสติอยู่ได้ เธอหมดสิ้นทุกสิ่งทุกอย่าง เธอร้องไห้คร่ำครวญ ทั้งกลิ้งเกลือกไปตามพื้นดิน ผ้านุ่งป้าห่มหลุดลุ่ย แต่นางไม่ได้สนใจเดินตัวเปล่าเป็นคนบ้าไปแบบไร้ทิศทาง
ในขณะที่พระพุทธองค์ได้ทรงตรวจญาณไป ได้ทอดพระเนตรเห็นผู้บำเพ็ญบารมีมาแสนกัปล์สมบูรณ์ด้วยอภินิหารเดินมาอยู่
ในกาลแห่งพระพุทธเจ้าทรงพระนามว่า ปทุมุตตระ นางปฏาจารานั้น เห็นพระเถรีผู้ทรงวินัยรูปหนึ่ง อันพระ ปทุมุตตระได้ทรงตั้งไว้ในตำแหน่ง เอตทัคคะ จึงตั้งความปรารภนาไว้ว่า
"แม้หม่อนฉัน พึงได้ตำแหน่งเลิศกว่า พระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลายในสำนักพระพุทธเจ้าเช่นดับด้วยพระองค์"
พระพุทธเจ้าปทุมุตตระ ทรงเล็งอนาคตังสญาญไป ก็ทราบว่าความปรารภนาของเธอจะสำเร็จ จึงพยากรณ์ว่า
"ในอนาคตกาลหญิงผู้นี้จะเป็นผู้กว่าพระเถรีผู้ทรงวินัยทั้งหลาย มีนามว่าปฏาจารา ในศาสนาของพระโคดม"
พระศาสดาทรงเห็นนางผู้มีความปรารภนาตั้งไว้แล้วอย่างนั้น จึงดำริว่า
"เว้นเราเสีย ผู้อื่นชื่อว่าสามารถจะเป็นที่พึ่งของหญิงผู้นี้ได้ ไม่มี" จึงทำให้นางบ่ายหน้าสู่มหาวิหารเชตวัน เมื่อชนทั้งหลายเห็นนางปฏาจาราเดินมาด้วยร่างกายเปล่าเปลือย จะเข้ามาในวิหารเชตวัน ต่างก็ร้องห้ามและไล่เธอออกไป
"ท่านทั้งหลายอย่าให้หญิงบ้าเข้ามาที่นี่เลย"
พระศาสดาตรัสว่า
"พวกเธอจงหลีกไป อย่าห้ามเธอ"
ในเวลาเธอเข้ามาใกล้จึงตรัสว่า
"จงกลับได้สติเถิดน้องหญิง"
เธอได้สติด้วยพุทธานุภาพ และรู้ตัวว่าไม่มีป้านุ่งห่มจึงรู้สึกอายรีบนั่งกระโหย่ง ขณะเดียวกันมีผู้ชายคนหนึ่งโยนผ้ามาให้เธอใส่
เมื่อนุ่งเรียบร้อยแล้วเธอเข้าไปถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษย์ ที่พระบาทที่มีพรรณะดั่งทองคำแล้วทูลว่า
"ขอพระองค์จึงเป็นที่พึ่งแห่งหม่อมฉันเถิดพระเจ้าข้า, เพราะว่าเหยี่นวเฉี่ยวบุตรคนหนึ่งของหม่อมฉันไป, คนหนึ่งถูกน้ำพัดไป,สามีตายในที่เปลี่ยว,มารดาบิดาและพี่ชายถูกเรือนทับตาย เขาเผาในเชิงตะกอนเดียวกัน"