29 ม.ค. 2021 เวลา 13:38 • บันเทิง
การแข่งขันวิ่งมาราธอนที่หฤโหดและวุ่นวายที่สุดในโลก
19
งานโอลิมปิกแรกที่ประเทศสหรัฐอเมริกาจัดนั้นมีชื่อว่า The St. Louis Games of 1904 ซึ่งการแข่งขันวิ่งมาราธอนของงานนี้ ไม่ได้มีแค่เรื่องราวของการวิ่งเท่านั้น แต่เป็นการร่วมเรื่องราว ๆ อึ้งทึ่ง สุดหลายเรื่อง จนทำให้เกิดเป็นหนึ่งในงานแข่งขันวิ่งมาราธอนที่
โหด ป่วน และแปลกที่สุด ชนิดที่ว่างานแบบนี้มีทีเดียว
ก็เกินพอ
36
ภาพวินาทีลั่นไกให้สัญญาณเริ่มออกสตาร์ท
นักวิ่ง 32 คนที่ได้รับโอกาสในการลงแข่งขันมาราธอนครั้งนี้ มีบ้างที่เป็นนักวิ่งมาราธอนขาประจำ ที่เคยได้รับเหรียญรางวัลในการแข่งขันวิ่ง ติดแข้งติดขามาแล้ว บ้างก็เป็นนักวิ่งหน้าใหม่ ชั่วโมงบินน้อยถึงปานกลาง แต่ก็มีบางคนที่มาแบบแปลกๆ แปลกเฉยๆ ไปจนแปลกมากถึงมากที่สุด
17
หนึ่งในไฮไลท์คงหนีไม่พ้น เฟลิกซ์ คาร์วาฮาล (Félix Carvajal) นักวิ่งประวัติโชกโชนจากคิวบา
อดีตบุรุษไปรษณีย์ ที่ระดมทุนหาเงินเพื่อเดินทางจากประเทศคิวบาไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา ด้วยการรับบริจาคเงินจากการวิ่งทั่วคิวบา เมื่อสำเร็จและเดินทางไปถึง New Orleans ได้แล้ว เขาก็ใช้เงินที่เหลือทั้งหมดนั้นไปกับเกมพนันลูกเต๋า ทำให้การเดินทางอีกราว ๆ 1,000 กว่ากิโลเมตรที่เหลือจาก New Orleans ไปยัง St. Louis สถานที่จัดการแข่งขันนั้น เฟลิกซ์จำเป็นต้อง
เดินและสวมวิญญาณแบ็คแพ็คเกอร์โบกมือขอติดรถคนอื่น ๆ ไปจนถึงที่จัดงาน
52
เฟลิกซ์ คาร์วาฮาล (Félix Carvajal)
ณ จุดสตาร์ท อาเฮียคนนี้ก็มาในชุดที่เรียกได้ว่าเต็มยศ ทั้งเสื้อสีขาวแขนยาว กางเกงขายาว รองเท้าคัทชู และหมวกเบเรต์ แต่งกะว่ามารับเหรียญละกลับบ้านเลย
จนเพื่อนนักวิ่งอีกคนสงสาร กลัวจะวิ่งไม่จบ เลยเสนอตัดขากางเกงเขาให้สั้นลง
67
ในระหว่างการวิ่งอันแสนหฤโหดที่ระยะทางกว่า 40 กิโลเมตร บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยฝุ่นบนท้องถนน ราวกับหลุดออกมาจากภาพยนตร์ Mad Max: Furyroad นักวิ่งได้รับอนุญาตให้ดื่มน้ำได้เพียงแค่ 1-2 จุดเท่านั้น เนื่องจาก เจมส์ ซัลลิแวน (James Sullivan) หัวหน้าผู้จัดการแข่งขัน เชื่อว่านักวิ่งจะสามารถวิ่งได้ดีขึ้น เมื่อพวกเขาขาดน้ำ เขาจึงต้องการใช้การแข่งวิ่งมาราธอนในครั้งนี้ เป็นห้องทดลอง ด้วยการลดปริมาณการดื่มของเหลวของนักวิ่ง เพื่อทำการทดสอบขีดจำกัด และศึกษาผลกระทบที่จะเกิดขึ้นจากการขาดน้ำ
56
แค่นึกภาพตามคอก็แห้ง ขอไปกินน้ำแป๊บ
32
หลังจากการเริ่มวิ่งไปได้ครึ่งทาง วิลเลียม การ์เซีย (William Garcia) ก็ล้มลง และต้องเข้ารับการรักษาตัวที่โรงพยาบาล เนื่องจากหายใจเอาฝุ่นมากมายที่
ฟุ้งกระจายทั่วอากาศ จากทั้งรถและม้าในระหว่างที่วิ่ง หนักข้อถึงขนาดที่ฝุ่นนั้นได้เคลือบหลอดอาหารของเขา จนทำให้เยื่อบุกระเพาะอาหารของเขาฉีกขาดและ
มีอาการตกเลือดภายใน
51
นักวิ่งอีกคน จอห์น ลอร์ดอน (John Lordon) วิ่งไปอาเจียนไป จนวิ่งไม่ไหวจึงต้องยอมแพ้ไป
ส่วนผู้อีกคน เลน เทา (Len Tau) ถูกหมาไล่จนต้องวิ่งหนีออกนอกเส้นทางไปกว่า 1 กิโลเมตร
42
เฟลิกซ์ คาร์วาฮาล ขณะวิ่งชิลๆ
ส่วนอาเฮียเฟลิกซ์หนุ่มนักวิ่งจากคิวบาของเรานั้น เขาทำเวลาได้ดีมาก มากกกก ถึงแม้ว่าจะมีบางช่วงที่พี่แกแวะคุยกับผู้ชมข้างทาง หยุดขอลูกพีชจากคนดูมากิน
แวะเข้าไปกินแอปเปิ้ลยังสวนแอปเปิ้ลแห่งหนึ่งข้างทางที่วิ่งผ่าน ซึ่งโชคร้ายปรากฏว่าแอปเปิ้ลที่พี่แกหวดเหล่านั้นมันเน่าครับ หลังกินไปไม่นานเขามีอาการปวดจุกเสียด แน่นท้อง วิ่งไม่ไหวเฮียเฟลิกซ์เลยตัดสินใจนอนพักข้างทาง
55
แซม เมลลอร์ ก่อนจุก
แซม เมลลอร์ (Sam Mellor) ที่ในตอนนั้นขึ้นนำอยู่ ก็เริ่มมีอาการจุกเช่นกัน เขาจึงลดความเร็วลง ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเดินเร็ว เดินช้า และเดินกลับบ้าน ออกจากการแข่งไปในที่สุด
104
ต่างจาก เฟร็ด ลอร์ซ (Fred Lorz) ปอดเหล็กชาวอเมริกัน ที่หลังจากวิ่งไปสักพักตัวเขาเองก็เริ่มมีอาการจุกเช่นกัน แต่แทนที่พี่แกจะอดทนก้าวคนละก้าวแบบพี่ตูน แกเลือกขอติดรถไปกับใครสักคน และระหว่างทางพี่แกก็ไม่นั่งเฉย โบกมือโบกไม้ให้กับผู้ชม และนักวิ่งคนอื่น ๆ ที่รถที่แกนั่งขับแซงไปอีกต่างหาก
137
ตัดภาพมาที่ โธมัส ฮิคส์ (Thomas Hicks) ยอดนักวิ่งมาราธอนตัวเต็งผู้เก่งกาจหลังจากที่นำมาสักระยะหนึ่ง เมื่อเหลือระยะทางอีกเพียงแค่ราว ๆ 10 กิโลเมตร
เท่านั้น ก็ได้รับความช่วยเหลือจากทีมผู้ช่วยของเขา ด้วยการป้อนส่วนผสมไข่ขาวกับสตริกนิน ซึ่งเป็นยาเบื่อหนูที่หากใช้ในปริมาณที่จำกัดจะช่วยเพิ่มสมรรถภาพ
ให้กับร่างกายได้ (ในตอนนั้น ยังไม่มีกฎข้อห้ามการใช้สารกระตุ้นในนักกีฬา)
มิน่าวิ่งโหดปานม้าเซ็กเธาว์อาชาเหงื่อโลหิต
24
โธมัส ฮิคส์ พ่อหนุ่ม 11 แรงม้า
ในขณะเดียวกันนั้นเองอาเฮีย เฟร็ด ยอดนักวิ่งไอเดียบรรเจิดของเรา หลังจากนั่งชิล รับลมบนรถไปได้ระยะทางราว ๆ 17 กิโลเมตร จากระยะทางแข่งขัน 40 กิโล
แหม่ นั่งเป็นรถแห่นาคเลยนะพ่อ พี่แกก็ได้ตัดสินใจลงจากรถแล้ววิ่งเข้าเส้นชัยด้วยตัวเอง
24
โดยเข้าเป็นที่หนึ่ง ด้วยระยะเวลาต่ำกว่า 3 ชั่วโมง ผู้คนก็ต่างโห่ร้องดีใจ ตะโกนกึกก้องว่า “คนอเมริกันชนะโว้ยยยยย” จนจังหวะที่จะได้รับเหรียญทองอยู่แล้ว ก็มีคนเปิดโปงแหกหน้าว่าพี่แกโกงการแข่งขัน พอโดนจับได้แทนที่จะสำนึก แต่ เฟร็ด ลอร์ซ บิดาแห่งการ “work smart, not hard” กลับบอกว่า “ไอไม่ได้ตั้งใจจะรับรางวัลนั้นอยู่แล้ว แต่วิ่งเข้าเส้นชัยเพราะมองว่ามันน่าจะตลกดีเท่านั้น”
35
เฟร็ด ลอร์ซ
เมื่อ โธมัส ฮิคส์ ได้ยินข่าวว่า ยังไม่มีผู้ชนะ ยอดอาชาผู้นี้ก็ฮึดสู้ขึ้นมา ด้วยการโด้ปไข่ขาวกับสตริกนินเพิ่มอีกนิด ตามด้วยเหล้าบรั่นดีอีกเล็กน้อย หิวน้ำกินเหล้า
นับถือ ๆ
21
โธมัส ฮิคส์
โธมัส ฮิคส์ วิ่งระยะทางที่เหลือในสภาพที่หมดเรี่ยวหมดแรง แทบหมอบกระแตตุ๋ย จะเรียกว่าชนะอย่างสง่างามก็พูดได้ไม่เต็มปาก ผู้ช่วยของเขาสองคนต้องแบกเขา
ข้ามเส้นชัยเข้าเป็นที่หนึ่ง หลังจากที่ เฟร็ด ลอร์ซ ถูกตัดสิทธิ์ไป
9
โธมัส ฮิคส์ ผู้ชนะในครั้งนี้
ผลสรุปการแข่งมาราธอนสุดวุ่นวายครั้งนี้ มีเพียงนักวิ่งแค่ 14 คนเท่านั้นที่ผ่านเข้าเส้นชัย จากจำนวนทั้งหมด 32 คน เหลือเกือบครึ่งนี่นับได้ว่าเกินความคาดหมาย
มาก ๆ เมื่อเทียบกับความโหดเหี้ยม แบบไม่มี ม.ม้า ที่ให้กินน้ำแค่แก้วเดียวของผู้จัดงานในครั้งนี้ โธมัส ฮิคส์ เข้าเส้นชัยเป็นคนแรก และมีหนุ่มคิวบาของเรา
ลุกมาวิ่งต่อเข้าเส้นชัยเป็นคนที่ 4 ถ้าพี่แกไม่สวมวิญญาณสโนวไวท์กินแอปเปิ้ลเน่าก็น่าจะเข้าเป็นที่หนึ่ง ส่วน เลน เทา ที่ถูกหมาไล่นั้น ก็ยังพลิกเกมวิ่งกลับเข้าเส้นชัยได้เป็นอันดับที่ 9
23
เส้นทางการแข่งขันสุดหฤโหด
ปล. ด้วยความโดดเด่นท็อปฟอร์มของ เฟลิกซ์ คาร์วาฮาล พ่อหนุ่มคิวบาที่ฉายแสงในการแข่งขันโอลิมปิคนี้ รัฐบาลของประเทศกรีซ จึงติดต่อเป็นสปอนเซอร์ให้เขา
เป็นตัวแทนนักวิ่งคิวบาไปแข่งในงานมาราธอนที่เอเธนส์ ในปี 1906
หลังจากที่ระดมทุนได้เงินมากโขทั้งจากทางกรีซและรัฐบาลคิวบา เฟลิกซ์ก็ ได้เดินทางไป แข่งขัน แต่เมื่อไปถึงอิตาลี จู่ ๆ พี่แกก็หาย ไลน์ไม่ตอบ และก็ไม่ได้ไปปรากฏตัวที่สนามตามนัดแต่อย่างใด ทำให้ทางการคิวบาต้องออกมาชี้แจงว่า เขาเสียชีวิตไปแล้ว
แต่เพียงแค่ปีถัดจากนั้น ก็ปรากฏว่าเขาได้เดินทางถึงประเทศคิวบาอย่างปลอดภัย โดยไม่มีใครรู้ว่าก่อนหน้านี้พี่แกได้หายไปไหนมา
41
ดูทรงแล้วผมว่าไม่พ้นประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแน่ๆ
20
โฆษณา