หนังเรื่องโปรด ลำดับที่ 12
The karate kid (2010)
'ชื่อหนังคาราเต้...แต่ไฉนข้างในเป็นกังฟู'
สวัสดีครับผู้อ่านทุกท่าน ในวันหยุดสุดสัปดาห์แบบนี้หากไม่มีกิจกรรมใดๆให้ต้องรีบเร่งจัดการ การดูหนังก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ดีนะครับ แต่วันนี้เราพักจากหนังแอคชั่นก่อนแล้วเปลี่ยนมาเป็นหนังครอบครัวให้อบอุ่นหัวใจสักนิดนึงแล้วกันนะครับ
ขออนุญาติเท้าความสักนิดนึงก่อนนะครับ เดิมทีหนังเรื่องนี้ไม่ได้เป็นหนังเรื่องโปรดของผมตั้งแต่แรก แต่เป็น'หนังเรื่องโปรดของคุณแม่ของผม'ครับ
เวลาที่แม่ของผมรับชมภาพยนต์ต่างประเทศที่เป็นซาวด์แทร็คบรรยายไทยเนี่ย ถ้าไม่ใช่หนังแอคชั่นแกจะหลับตลอดเลยครับ แต่ด้วยพลังของเฉินหลงกับน้องเจเดน สมิธหรืออย่างไรไม่ทราบ คุณแม่กลับดูเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่อจนจบ แถมชอบเสียด้วย เมื่อดูหลายๆครั้งเข้า หนังเรื่องนี้จึงกลายเป็นหนังโปรดของผมไปด้วยโดยปริยาย
จั่วหัวมาซะยืดยาว พูดถึงหนังเลยแล้วกันครับ การนำ The karate kid มารีบูทใหม่ โดยรื้อเนื้อเรื่องใหม่ทั้งหมด ย้ายฉากไปอยู่เมืองจีน ใช้กังฟูแทน เหลือไว้เพียงโครงเรื่องเดิมคือเด็กหนุ่มผู้ฝึกฝนในศาสตร์ศิลปะป้องกันตัวเพราะถูกกลั่นแกล้ง แต่ที่ยังใช้ชื่อเรื่องเดิมก็เพื่อเป็นการคารวะต้นฉบับ
หนังเล่าเรื่องราวของ 'เดร พาร์คเกอร์'(เจเดน สมิธ) เด็กหนุ่มวัย 12 ปีจากเมืองดีทรอยต์ที่ต้องย้ายตามแม่มาอยู่ที่ประเทศจีน เดรต้องลาจากเพื่อนๆ สถานที่ที่คุ้นเคยมาอยู่แปลกที่แปลกภาษา และแค่เพียงไม่กี่วัน เดรก็สร้างศัตรูเสียแล้ว ไอ้หนุ่ม ' เชง ' อันตพาลประจำโรงเรียนเล่นกระทืบเดร เสียยับเยิน เพราะเดรดันไปคุยกับ 'เหม่ยลี่' เด็กสาวที่เชงน่าจะชอบนั่นแหละ ทำให้แต่ละวันเดรต้องถูกกลั่นแกล้งเป็นประจำ จนกระทั่งเดรได้เจอกับ 'ลุงฮัน'(เฉินหลง) คนดูเเลตึกที่มีทักษะของสุดยอดกังฟู ลุงฮันยินดีถ่ายถอดวิชากังฟูของเขาให้กับเสี่ยวเดร(ลุงฮันเรียกเดรแบบนั้น) เมื่อการประนีประนอมไม่สัมฤทธิ์ผล เดรจึงต้องตัดสินด้วยการแข่งขันประลองกังฟู
แน่นอนครับหนังดำเนินเรื่องตามสูตร พระเอกกระจอก ฝึกฝน เก่งขึ้น ถ้าภาษาหนังเขาเรียกว่า คลีเซ (Cliche ) ก็คือพล็อตเรื่องเดิมๆเดาได้นั่นแหละ แต่ๆๆๆๆเดี๋ยวก่อน เรื่องราวระหว่างนั้นต่างหากที่ผู้กำกับพาเราไปดู หนังสื่อสารกับเราผ่านการเอาชนะความกลัวของเสี่ยวเดร มิตรภาพต่างวัยของเสี่ยวเดรและลุงฮัน ปมปัญหาและการปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมใหม่ๆ ผู้คนใหม่ๆ ไม่ใช่เฉพาะเสี่ยวเดรเท่านั้นที่เติบโตแต่เป็นลุงฮันด้วย ตัวละครทั้งสองตัวต่างส่งเสริมกันและกันเป็นอย่างดี
เรื่องของฉากประกอบไม่ต้องเป็นห่วง สวยงามมากครับ เหมือนผู้กำกับพาเราชมทัศนียภาพที่สวยงามของประเทศจีนผ่านการเดินทางของตัวละคร แล้วก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเบื่อนะครับ หนังมีมุกตลกหยอดให้เราได้อมยิ้มตลอดทั้งเรื่อง
โดยรวมแล้ว The karate kid เป็นหนังที่ดูได้ทั้งครอบครัว แฝงแง่คิดและวัฒนธรรมต่างๆไว้มากมาย บทค่อนข้างแข็งแรง ตัวละครมีมิติมากครับ
'เวลาที่เราล้มเราเลือกได้ว่า จะลุกขึ้นหรือยอมอยู่แบบนั้น'
📌📌คะแนน 7/10
🎬 FavMovie หนังเรื่องโปรด
หากดูแล้วไม่ชอบขออภัยด้วยนะครับ คอมเมนต์พูดคุยกันครับ 😁
ฝากกดติดตามด้วยนะครับ
- 3
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
