30 ม.ค. 2021 เวลา 05:59 • ดนตรี เพลง
Tilly Birds
“ผู้เดียว The Album (2020)” (94%)
Track-by-track Review
“ผู้เดียว The Album” Studio Album ลำดับที่ 1 ของ Tilly Birds วง Alternative Rock หน้าใหม่จากค่ายเพลง Gene Lab ค่ายลูกในเครือ GMM Grammy ภายใต้การนำทัพโดยโอม Cocktail โดยวง Tilly Birds ประกอบไปด้วยสมาชิก 3 คน ได้แก่ เติร์ด-อนุโรจน์ เกตุเลขา (ร้องนำ) บิลลี่-ณัฐดนัย ชูชาติ (กีต้าร์) และ ไมโล-ธุวานนท์ ตันติวัฒนวรกุล (กลอง) แจ้งเกิดจากการเป็นผู้ชนะเลิศจากรายการ Band Lab ซึ่งเป็นรายการ Variety Reality ของทางค่าย Gene Lab ซึ่งวงน้องใหม่ต้องเข้ามาร่วมแข่งขันในหัวข้อภารกิจแต่ละสัปดาห์เพื่อช่วงชิงเงินรางวัลไปต่อยอดในการทำเพลง และได้เข้ามาเป็นศิลปินของทางค่าย จากนั้นจึงได้เริ่มออก Official Single (สองเพลงก่อนหน้า ได้แก่ จากกันด้วยดี (Ordinary) และอภัย (Broken) ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในอัลบั้มชุดนี้ และคลอดอัลบั้มเต็ม เป็นลำดับถัดมา
Tilly Birds มีจุดเริ่มต้นจากการรวมตัวของเพื่อนชั้นมัธยมศึกษา ซึ่งก็คือ บิลลี่ และเติร์ด จึงเป็นที่มาของชื่อวงที่ผวนมาจากชื่อเล่นของทั้งคู่ จากนั้นจึงได้ชักชวนไมโลซึ่งเป็นเพื่อนร่วมชมรม TU Folksong ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ให้เข้ามาร่วมเส้นทางวงจวบจนปัจจุบัน โดยหลาย ๆ ท่านน่าจะคุ้นหน้าคุ้นตาหนุ่มบิลลี่เป็นอย่างดีจาก Youtube Channel ชื่อดังของเจ้าตัวอย่าง "BILLbilly01" ที่รังสรรค์เพลงคัฟเวอร์ศิลปินทั้งไทยและสากลออกมามากมาย ซึ่งมีปริมาณที่สูงทั้งในแง่คุณภาพและความเป็นที่นิยม โดยสองหนุ่มเติร์ดและไมโลก็มีเข้าไปร่วมแจมผ่าน ๆ ตาอยู่บ้างในช่องของเขา
“ผู้เดียว The Album” ได้เปิดให้มีการสั่งจองผ่านช่องทางออนไลน์เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 ที่ผ่านมา ในจำนวนทั้งสิ้น 1,000 ชุด ซึ่งเกิดปรากฏการณ์ที่อัลบั้มถูกจองหมดภายในเวลาประมาณ 1 นาที เท่านั้น ตอกย้ำว่ากระแสความร้อนแรงของวงในช่วงเวลานี้นั้นมองข้ามไม่ได้จริง ๆ เพราะนับตั้งแต่มีวิกฤตโรคระบาด COVID-19 เกิดขึ้นบนโลกรวมถึงในประเทศของเราตั้งแต่ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น ซิงเกิ้ลจาก Tilly Birds อย่าง คิด(แต่ไม่)ถึง (Same Page?) จัดเป็นหนึ่งในเพลงที่เป็นที่นิยมที่สุดในบรรดาเพลงที่ถูกปล่อยออกมาในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อย่างไม่มีข้อโต้แย้ง
“ผู้เดียว The Album” ประกอบไปด้วย 13 เพลง ที่ผสมผสานไปด้วยรสชาติอันหลากหลาย โดยเนื้อหาส่วนใหญ่(เกือบจะทั้งหมด) เทไปในโทนความรักที่ไม่สมหวัง ซึ่งก็จะแบ่งออกเป็นหลาย ๆ โหมด ความไม่สมหวังแบบซึม โกรธ สนุกสนาน ประชด ฟูมฟาย บ้าคลั่ง ใจเย็น มองบวก ร้อยเรียงเป็นเหมือนภาพยนตร์ซีรี่ส์ฤดูกาลหนึ่ง โดยในความแตกต่างของเพลงเหล่านี้ล้วนยังคงตัวตนของความเป็น Tilly Birds อยู่ จัดเป็นโทนสีสามารถบ่งถึงได้ตามความเข้มหลายระดับ ความน่าสนใจอีกอย่างคือ เมื่อนำเพลงต่างๆในอัลบั้ม มาฟังแบบเรียงแทร็คจะให้ความรู้สึกต่อเนื่องไปอีกแบบ ประหนึ่งว่าจงใจถูกออกแบบให้ฟังเชื่อมกันอย่างที่กล่าวไปว่าข้างต้นว่าคล้ายกับดูซีรี่ส์เรื่องหนึ่ง มีขึ้นลงแต่ยังคง storyline ไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง บางเพลงมีทำนองที่ต่อเชื่อมกัน สร้างความลื่นไหลในเนื้อหาเพลงต่อเพลงมากขึ้น แต่อย่าเชื่อกันมาก จนกว่าจะได้ลิ้มลองรสชาติด้วยตัวท่านเอง
 
ปลายนิ้ว (My Black Mirror) (4.5/5)
เปิดม่านมาด้วยเพลงช้าปฐมบทของอัลบั้ม เริ่มต้นแบบเนิบๆ บรรยากาศแบบปิดไฟไถมือถือที่ถูกอ้างถึงเก๋ ๆ ว่า "กระจกสีดำ" จากนั้นความรู้สึกต่าง ๆ ก็ถาโถมเข้ามา กว่าที่เราจะรู้ตัวก็ไม่รอด ถูกลูกเล่นต่าง ๆ ในเพลงก็บิ้วอารมณ์ไปได้มากแล้ว อินมากๆ ฉากเรียกน้ำตาของคนไม่มูฟออน ก่อนเพลงจบปิดด้วยdialogue?(ที่พูดอยู่คนเดียว) ที่ผู้มีประสบการณ์คงเพ้อตายคาเตียงกันไปข้างเลยทีเดียว เป็นการเปิดอัลบั้มที่เรียกได้ว่าน้อยแต่มาก เหมือนไม่มีอะไรแต่ทำหน้าที่ปูเรื่องได้ดีมาก
ฤดูหนาว (Bangkok Winter) (5/5)
ซิงเกิ้ลที่ 4 ของอัลบั้ม เพลงเท่ห์ๆที่เริ่มจะมาบอกเล่าเรื่องราวบทตัวเอกผู้ชอกช้ำสมรภูมิรักที่บางครั้งความรักก็ผ่านมาแล้วผ่านไปไวอย่างกับฤดูหนาวในประเทศไทย ซึ่งหลายคนก็คงต่างสงสัยว่า Bangkok Winter นั้นมีอยู่จริงหรือไม่? ปริศนาธรรม ส่วนตัวชอบการร้องของเพลงนี้มากที่สุดในอัลบั้ม มีความเซ็กซี่ควบคู่ไปกับความเท่ห์ดุดันกลืนอยู่ในตัวfrontmanชนิดแยกจากกันไม่ได้ ลามไปจนถึงท่อนกีตาร์โซโลที่ออกมาแต่ได้ซีนทุกรอบ เสริมพลังบัฟที่ 1 ด้วยสาว PAAM รับบทนางทิ้งเจ้าของหัวใจชายหนุ่มผู้เย็นชาและพร้อมที่จะสลัดรัก บัฟที่ 2 จากท่อนแรปจากหนุ่มไมโลที่ขยับจากตำแหน่งมือกลองมาที่สปอตไลท์ด้านหน้า ซึ่งทำออกมาได้ลื่นไหลไปกับเนื้อเพลงที่พรรณาแบบสิ้นหวังความรักพร้อมร้อยชื่อเพลงต่างๆ ในอัลบั้มเรียงออกมาเป็นท่อนแรปสุดเท่ห์ เรียกได้ว่ามีการแบ่งองค์ให้สมาชิกทั้งสามได้โชว์ของอย่างเท่าเทียม รวมกันเราอยู่ ลุกขึ้นตบมือให้เลย
แค่เธอเข้ามา (Worth The Wait) (4.5/5)
ดึงอารมณ์กลับมาผ่อนคลายลงหน่อยจากสองแทร็คแรก ที่ทำให้เรารู้สึกกังวลว่าจะเพ้อถึงตัวนางไปอีกสักกี่เพลง เพลงนี้ก็จัดฟุ้งมาเลยแบบใจพอง ๆ ฟู ๆ อินเลิฟ พบแล้วเธอคนนั้น ความรักสวยงาม ฉันรักเธอ เธอรักฉัน เรารักกัน ปรับอารมณ์ไม่ทันกันเลยทีเดียว ทำออกมาได้ลงตัวทั้งคำร้องทำนอง ให้อารมณ์เหมือนเดินเข้าไปในสถาปัตยกรรมใหญ่ ๆ ที่มีโถงอันกว้างขวาง ชวนให้รู้สึกอบอุ่น สว่างไสว ค่อนข้างจะ Catchy มีศักยภาพสูงที่จะตัดเป็นซิงเกิ้ล ท่อนที่ชอบที่สุดน่าจะเป็น Prehook ที่หนักแน่นมากๆ แต่คำถามคือ ความสุขแบบนี้จะอยู่กับเราได้สักกี่แทร็ค ลองทาย...
เลิก! (Cut To The Chase!) (4/5)
..ก็คือไม่ต้องทาย Feel Good ได้เพลงเดียว มันกลับมาอีกแล้วฮะท่านผู้ชม เลิก! หนึ่งในเพลงที่ร็อคสุดเกรี้ยวน่าจะที่สุดแล้วในอัลบั้ม แต่ไม่ได้เป็นฟีลเท่ห์ในแบบของฤดูหน่าวนะ กลายเป็นให้ฟีลแบบเร้าอารมณ์ตื่นเต้น แบบสัตว์กินเนื้อวิ่งไล่ล่าตะครุบเหยื่อ พร้อมที่จะเลือดสาด อะดรีนาลีนพร้อมจะหลั่งไหลมากๆ เธอน่ะมายั่วให้อยากแล้วจากไป มาบอกฉันว่าไม่พร้อม...จะเอายังไงกับฉัน! แถมด้วยท่อน Bridge ก่อนจบมีความกระซิบกระซาบเหมือนกำลังเต้นฟุตเวิร์ค อันนี้มาเกินคาดมาก เต็มไปด้วยอารมณ์เดือดดาลปนเซ็กซี่ที่ถูกกดไว้ในสัญชาตญาณ เตรียมฟาด ๆ ชายผู้มีความต้องการสูงกับหญิงที่ตอบสนองได้น้อยนิด ช่างเป็นมวยถูกคู่ ไปต่อไม่รอแล้วนะ
ให้กอดของฉันบอกทุกอย่าง (Just So You Know) (4/5)
กระชากอารมณ์ขึ้นลงจนระบบฮอร์โมนเริ่มปั่นป่วน เพลงนี้กลับมาโหมดโรแมนติกดราม่า โดยใช้ภาษากอดเป็นสัญลักษณ์ ได้กอดแล้วก็บรรยายความรู้สึกออกมาให้หมด แต่ในความสัมพันธ์ที่ความรู้สึกของทั้งสองฝั่งมีอาจไม่เท่ากัน ก็ไม่แน่ใจว่าพลังงานรวมถึงแมสเสจจากฝ่ายกอดและฝ่ายถูกกอดจะถูกส่งถึงกันมากแค่ไหน ไม่อยากคิดเยอะแล้ว มันเต็มเปี่ยมไปด้วยความหวังที่เคยหวังและไม่กล้าหวัง พาร์ทอารมณ์เต็มเปี่ยมมาก ๆ น่าจะเป็นเพลงอกหักที่ลงไปลึกที่สุดในอัลบั้ม ลึกไปจนถึงจิตอันบริสุทธิ์ปราศจากกายหยาบ รวมถึงภาคดนตรีที่ละมุนละเมียดละไมส่งกันมากๆ แต่ยังดูยืดไปสักนิด จินตนาการของจริงคือกอดสามสี่วินาทีจบ หรืออาจไม่ได้กอด หรือต้องกอดตัวเอง ฮือ
ผู้เดียว (The One) [3.5/5]
ซิงเกิ้ลที่สอง บทเพลงที่ความหมายดีมาก ๆ ฟังต่อเนื่องจากดนตรีที่เชื่อมจากแทร็คก่อนหน้าเสมือนภาคต่อ ด้วยBackgroundอาจเป็นภาพผู้ช้ำรัก แต่ครั้งนี้ไม่ได้แบบฟูมฟายโทษสิ่งต่าง ๆ มากแล้ว เริ่มมีความเข้าใจโลก อาจจะเริ่มมีทีมคอยซัพพอร์ท หรืออย่างน้อยก็มีตัวเองที่กลับมามองเห็นคุณค่าของตัวเอง ในวันที่ดาวน์กับเรื่องหัวใจ เพลงนี้อาจกลายเป็นเพื่อนสนิทผู้รู้ใจที่คอยตบบ่าให้กำลังใจ แต่อาจไม่ได้มาแบบร้องไห้ไปกับเรา แต่กลายเป็นว่ามาแนวชี้แนะทางสว่าง ทางธรรม ธรรมะแห่งการครองตน ความผิดหวังบางครั้งก็ไม่จำเป็นต้องจบแบบเศร้าเสมอไป ซึ่งกลายเป็นว่าทุกอย่างมันออกมากลาง ๆ ไปหมด
อยู่ได้ ได้อยู่ (ineednoone) (4.5/5)
เปิดมาครึ่งหลังอย่างต่อเนื่องที่ซิงเกิ้ลที่สามสุดเท่ห์ ก็ยังคงconceptอยู่คนเดียวแต่เปลี่ยนโหมด กลายเป็นเพลงที่ปลดปล่อย บ่นพึมพำ ตัวเพลงพยายามมองบวก ฉันยังไหว แต่ให้ฟีลแบบเหล้าเข้าปากนิด เริ่มบ่นเยอะ พูดเยอะ เฮ้ย รินมาอีก (กุยังหวายย) แบบนี้ คือรักความธรรมชาติของเพลงนี้มากๆ เหมือนได้จับเข่าคุยกับเพื่อนสนิท เป็นกันเอง บทจะโวยก็โวยเอะอะมะเทิ่ง มีความจริงใจขั้นกว่าและขั้นสุด และลูกเล่นกระจุกกระจิกที่ใส่มาทำให้เป็นเพลงที่ดีมากๆ แม้ฉากหลังจะโพล้เพล้ เริ่มเวียนศีรษะบ้านหมุน แต่ก็หลากสีที่สุดแล้วในอัลบั้ม และเกลียดไอ้นะนะนะนะโนวช่วง outro มาก แบบกวน***สะใจมาก
แค่พี่น้อง (Status) (4/5)
เกือบลืมไปสนิทว่ามีอีกเพลงที่คลอดออกมาก่อนหน้าใครเพื่อนที่มีจังหวะสนุกๆไม่แพ้แทร็คก่อนหน้า ให้กลิ่นอารมณ์อยู่แถบลาตินอเมริกา แต่มีเนื้อหาที่แสบสันมาก เราทำทุกอย่างให้เธอ เป็นทุกอย่างให้กัน ความสัมพันธ์ต่าง ๆ เราสองค่อนข้างชัด แต่ทำไม status ที่บอกคนอื่นเราเป็นแค่พี่น้อง คือมันใช่มั้ย สตอรี่แบบนี้ค่อนข้างสตรอเบอร์รี่ ไม่แปลกที่ตัวเพลงจะออกมาแนวพิโรธ แต่ก็ยังออกมาดูน่ารัก ฟังง่าย ติดหู ชวนขยับ ยักไหล่ขวาตามรัวๆ
คิด(แต่ไม่)ถึง (Same Page)? (4.5/5)
ซิงเกิ้ลที่ห้าที่ดังทั่วบ้านเมืองฝ่ากระแสวิกฤตการณ์COVID-19ที่ทุกแห่งหนซบเซาไปหมด เพลงนี้กลับเป็นแสงสว่างฉายสาดออกมาท่ามกลางฉากหลังอันหมองเทาได้อย่างไม่น่าเชื่อ แต่เมื่อพิจารณาก็ไม่น่าแปลกใจนักเพราะตัวเพลงเป็นเพลงเมนสตรีมป๊อปที่ฟังง่ายที่สุดในอัลบั้ม แต่ก็ยังไม่หลุดความเป็นตัวตนของวง นอกจากนั้นส่วนของเนื้อหามันจะมีความรู้สึกต่างๆ ที่เอ่อล้นออกมาเต็มอก น่าจะกระแทกใจมหาชนที่ล้วนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์อย่างในเพลงได้อย่างแรง ยังต้องชื่นชมไอเดียและการสอดแทรกองค์ประกอบต่างๆในเพลง ที่ขับให้เพลงนี้ที่ถึงแม้ว่าจะดูเรียบง่าย แต่กลับมีผลลัพธ์ออกมาน่าจดจำ และติดหูโดดออกมาจากอัลบั้ม และโดดเด่นเป็นดวงดาวประดับชาร์ตเพลงทั่วฟ้าเมืองไทยในปี 2563 นี้ ประหนึ่งหน้าต่างบานใหญ่ให้ทุกคนเข้ามารู้จักวง ประหนึ่งโคราชเป็นประตูสู่ภาคอีสานประมาณนั้น กล่าวรวมคือ น้อยแต่มาก เรียบแต่โก้ ไฮแฟชั่น สุดท้ายนี้ หลอนหูมาหลายเดือน มาเอามันออกไปสักที!
ยังคงสวยงาม (When The Film’s Over) (4/5)
นี่คือซิงเกิ้ลแรกของวงหลังวิกฤตโควิด มาแบบแกรนด์ๆ ธีมบัลลาดดราม่าบาดจิตบาดใจ เหมือนพระนางกำลังจะตายจากหรือแยกกัน แล้วทางกองถ่ายทีมตัดต่อFlashbackกลับไปเหตุการณ์ครั้งร่วมทุกข์ร่วมสุข เราสองเคยมีความสุขกันมากเพียงใด ยิ่งนึกถึงสถานการณ์ปัจจุบันมันยิ่งปวดหัวใจ มันบีบหัวใจ สั่นๆอยู่ข้างใน มันเศร้า ประหนึ่งฉากร่ำลาอังศุมาลินโกโบริบนฉากหลัง WWII เหมือนแจ็คกับโรสฉากไททานิคกำลังจะจมก้นสมุทรแอตแลนติก น้ำเน่าไปนิด แต่ขอชมตรงการร้องที่แม้จะมีความยากในระดับห้าดาว แต่ก็สามารถพาเราไปจนพีคจนจบเพลงได้อย่างแข็งแกร่งจริงๆ เหมือนได้ฟังเพลงดีว่า
ผู้เดียว Pt.2 (What’s Left) (3.5/5)
ถึงแม้จะมีจุดหมายเดียวกัน ชื่อเพลงเหมือนเป็นภาคต่อกัน แต่โทนเพลงนั้น Contrast กับผู้เดียวจากครึ่งแรก แบบสุดๆ ในชนิดที่ว่าควรจับสองคนนี้มานั่งคุยกัน จะได้เหมือนไฟดับน้ำน้ำดับไฟ แต่อาจจะเข้าใจได้ถึงความต่างของสถานการณ์ตั้งต้น โดยที่ part 2 นั้น เปรียบเหมือนตัวละครอยู่ในสถานการณ์ที่หลังชนฝา จุดแตกหักของชีวิตแล้ว ไม่มีอะไรจะเสีย ไม่เหลืออะไรให้เสียอีกแล้ว คนที่เจออะไรประดังประเดเข้ามาในชีวิตมากมายขนาดนี้อาจจะขาดสติหรือมีอาการคลื่นไส้อาเจียนเวียนศีรษะ เช่นขณะเสพเพลงนี้มันจะกึ่ง ๆ ให้กำลังใจ กึ่ง ๆ กระอักกระอ่วน แต่ก็จะมีห้วงหนึ่งที่ดึงสติมาทบทวนกับตัวเองได้ และสุดท้ายก็จะพบกับคำถามที่ว่า ....
ฉันมันเป็นใคร (Who I Am) (5/5)
ฉันมันเป็นใคร? เป็นเพลงที่ดำเนินไปได้อย่างแข็งแรง มีชั้นเชิง และเชิดหน้าอย่างมั่นใจ โครงสร้างแบ่งเป็นหลายองค์เพื่อสับขาหลอกให้ทั้งผู้ฟังและผู้ร้อง?สับสนว่า ณ ตอนนี้ คุณเป็นใคร? ผมเป็นใคร? แล้วฉันล่ะ เป็นใคร? โดยพื้นฐานอุปมากับความรักที่ไม่สมหวังและจุดยืนในตัวตนของเรา นำไปสู่การไขว่คว้าหาตัวตนของตัวเอง ดังเช่น สมัยมาใหม่ ๆ ซีนของเราเนี่ย ถูกจำกัดจำเขี่ยมาก เป็นตัวประกอบไร้ซึ่งซีนใดๆ จนชีวิตดำเนินมาพบจุดเปลี่ยนใด ๆ จุดหนึ่ง ทำให้สุดท้ายเราเริ่มฉายแสงความเป็นตัวตน เมื่อหา Identity ของตัวเองเจอ ก็เปลี่ยนบทบาทจากหงิม ๆ ตอนต้นมาเริ่มรับบทเอกเด่นเป็นบุคคลที่เป็นที่จับตาพร้อมทวีรังสีความอำมหิต เกรี้ยวกราด เป็นเพลงที่กราฟอารมณ์พุ่งสุดสะใจแบบExponential โดยเฉพาะในตอนท้าย เพลงนี้ในภาพรวมจัดว่าไร้ที่ติ ไฮคลาสมาก ปิดฉากเรื่องราวต่างๆได้อย่างไม่มีค้างคา แต่ทว่า
ไม่รู้สึก (Unspoken) (5/5)
ก่อนรูดม่านปิดอัลบั้ม กลับกลายเป็นว่าคนที่ขึ้นสุดลงสุด ผ่านโลกมาโชกโชน เปลี่ยนมาแล้วทุกโหมดตามเรื่องเล่าใน 12 เพลงที่ผ่านมา ยามโพล้เพล้ เค้าได้กลับมาคุยกับตัวเอง แล้วก็พบว่า ความรู้สึกที่ว่าลบได้แล้ว ไม่รู้สึกแล้ว จริง ๆ แล้วก็ยังมีความรู้สึกหลงเหลืออยู่ พอรู้สึกมาก ๆ ก็เกิดเป็นเพลงที่ร้องคลอเสียงเปียโน เรียบง่าย แต่ส่งความรู้สึกออกมาได้อย่างทรงพลัง มีเพ้อ มีฟูมฟาย แต่ยังพองาม จากนั้นก็ฟุบลงเตียง นอนไถมือถือ ย้อนกลับไปเป็นสถานการณ์แบบแทร็ค 1 และมันจะวนอยู่อย่างนี้ตลอดไปเหมือนโดนสาป ผู้ฟังแบบเราก็ถูกสาปเช่นกันที่จะถูก Devil ร้ายในหูคอยกระซิบให้ฟังต่อวนไปสิ ๆ อาจฟังดูเรียบง่าย แต่ชอบเพลงนี้มากเป็นการส่วนตัว
ในภาพรวม “ผู้เดียว The Album” จัดเป็นอัลบั้มที่มีความหลากหลายสูงทั้งในภาคดนตรี การเรียบเรียงและคำร้องที่ต้องชื่นชมย้อนไปถึงขั้นตอนการประพันธ์ เก็บรายละเอียดได้ดีแทบทุกเม็ด แต่ในความมีชั้นเชิงก็ไม่ยากเกินไปนักที่จะบริโภค มีบางเพลงที่ฟังง่ายมาก จัดเป็นอาหารที่เป็นมิตรต่อหูมากชนิดที่ว่าฉีกซองเทน้ำร้อนทานได้ และบางเพลงก็มีรสชาติที่เลอค่าในระดับภัตตาคารหรูหราที่บริกรเสิร์ฟมาในจานประดับเพชรที่แม้แต่นักบริโภคที่เลือกทานมากๆ ก็ยังสามารถลิ้มลองได้อย่างไม่เคอะเขิน ซ้ำจะละลายในลิ้นให้ท่านรู้สึกซึมซาบย้อนไปถึงวัตถดิบที่เตรียมมาจากต้นทางเสียอีก อร่อย รวมถึงมีสารอาหารที่ครบถ้วน คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน ADEK ทั้งหมดนี้ส่งให้เราสามารถฟังทั้งอัลบั้มวนต่อเนื่องได้เรื่อย ๆ เพลิน ๆ แบบอารมณ์ไม่มีสะดุด และไม่ต้องกดข้ามแทร็คใด ๆ เลย
มีบางจุดที่การเชื่อมดนตรีระหว่างแทร็คทำให้อารมณ์ผู้ฟังถูกเชื่อมต่อจากเพลงต่อเพลงได้อย่างต่อเนื่องเช่น ให้กอดของฉันบอกทุกอย่าง ต่อด้วย ผู้เดียว หรือ อยู่ได้ ได้อยู่ ต่อด้วย แค่พี่น้อง แต่จุดที่ชอบที่สุดคือช่วงเริ่มต้นของอัลบั้มคือจุดเชื่อมระหว่าง ปลายนิ้ว และ ฤดูหนาว ที่กระชากมู้ดของเพลงหลังขึ้นมามากกว่าการฟังแบบแยกแทร็คแบบชัดเจนเปรียบดั่งมาทาดอร์ร่ายธงแดงเพื่อล่อวัวกระทิงอย่างไรอย่างนั้น และเมื่อฟังอัลบั้มจนวนมาจบแทร็คสุดท้ายก็เหมือนกับติดอยู่ในลูปที่มีความรู้สึกว่าอยากฟังอีก ต้องให้เครดิตความคิดในการวางเพลง ไม่รู้สึก ที่ดึงดูดให้เกิดอารมณ์ดังกล่าวไว้ในแทร็คสุดท้าย อีกหนึ่งจุดที่ต้องชมคือแฟชั่นของวงที่มีความกล้าในการปรับเปลี่ยนสไตล์ไม่ว่าจะเป็นทรงผมหรือคอสตูมให้แมทช์กับอารมณ์เพลง บางครั้งเท่ บางครั้งเปรี้ยวซ่า บางครั้งหวานละมุน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเอาใจใส่และเก็บรายละเอียดในมิติอื่นนอกจากงานดนตรีซึ่งนับเป็นสิ่งสำคัญเช่นกันที่จะช่วยขับให้คุณค่าของงานเพลงนั้นชวนติดตามมากยิ่งขึ้น
กล่าวคือ อัลบั้มชุดนี้จัดเป็นหนึ่งในอัญมณีที่เลอค่าของวงการเพลงไทยในช่วงรอยต่อทศวรรษที่ 10s-20s และคาดว่าจะเป็นที่จดจำในหมู่นักฟังไปได้อีกหลายปี มีคุณสมบัติทั้งในแง่ของเพลงที่ดี อัลบั้มที่จัดเรียงได้อย่างยอดเยี่ยม สะท้อนถึงความตั้งใจสูงและความเอาใจใส่กับเนื้องานก่อนที่จะนำมาบรรจุลงไปในผลิตภัณฑ์ได้เป็นอย่างมาก รวมถึงมีคุณสมบัติที่จะเป็นเพลงที่ดัง แต่ละเพลงมีทิศทางที่ชัดเจนในตัว และแต่ละเพลงมีศักยภาพพอที่จะส่งโปรโมทหรือเปิดตามคลื่นวิทยุได้ อยากจะเชิญทุกท่านให้ลองเสพแม้เพียงสักครั้งจะยินดีไม่น้อย
โฆษณา