30 ม.ค. 2021 เวลา 06:08 • ดนตรี เพลง
Taylor Swift
“evermore (2020)” (84%)
Track-by-track Album Review
Studio Album ลำดับที่ 9 จากไอคอนสาวผู้โด่งดังที่ได้ฝากผลงานในวงการดนตรีรวมถึงวงการข้างเคียง โดยคาบเกี่ยวช่วงเวลากว่าสามทศวรรษที่ผ่านมา กับชื่อนี้ที่เราคุ้นเคย ‘Taylor Swift’ ซึ่งแม้ว่าปี 2020 นี้ จะเป็นปีแห่งความเงียบเหงาของวงการบันเทิงและดนตรี (จริงๆแล้วรวมถึงทุกวงการในทุกมุมโลกนั่นแหละ) จากผลกระทบของโรคระบาดที่ขออนุญาตไม่เอ่ยชื่อละกันเพราะเบื่อมากๆ แต่ก็เป็นปีที่เราทั้งหลายมีโอกาสได้เห็นผลงานของสตรีผู้นี้ที่ขยันผลิตออกมาให้ได้เสพกันอย่างต่อเนื่องจุใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในครึ่งปีหลัง
หลังจากอัลบั้มชุดที่ 8 ‘folklore’ ให้ถูกปล่อยฟังกันไปเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา นับเป็นช่วงเวลาได้ไม่ครบสีเดือนดีนัก ก็ได้เกิดเหตุการณ์ที่เราเชื่อว่าทุกคนไม่เว้นแม้แต่แฟนคลับเดนตาย ต่างก็ไม่ได้คาดคิดว่าเธอจะประกาศปล่อยอัลบั้มเต็มลำดับที่ 9 ออกจำหน่ายอย่างสายฟ้าแลบ พร้อมพรีเมียร์ Lead Single และมิวสิควิดีโอ ทุกอย่างพรึ่บพรั่บพร้อมเพรียงกันในวันรุ่งขึ้น (11 ธันวาคม 2020) พร้อมแนบ Tracklist, Album Cover ให้ชมเรียกน้ำย่อยพร้อมกันเสร็จสรรพ โดยประกอบด้วยหลายปัจจัยที่ทำให้อัลบั้มนี้ถูกคลอดออกมาเร็วมากๆ
เธอกล่าวผ่านช่องทางสังคมออนไลน์ว่าอัลบั้มนี้เกิดจากการที่เธอนั้นหยุดแต่งเพลงไม่ได้ ในช่วงที่ปราศจากงานสังสรรค์ราตรีหรือทัวร์คอนเสิร์ตใดๆ โดยเพลงทั้งหมดในอัลบั้ม evermore นั้น ถูกประพันธ์ขึ้นในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคม ตั้งแต่ 1 สัปดาห์หลังจากปล่อยอัลบั้ม folklore กับเพลงที่ถูกแต่งขึ้นเพลงแรกอย่าง dorothea จวบจนเพลงสุดท้ายที่เพิ่งถูกแต่งเสร็จเมื่อช่วงต้นเดือนธันวาคมที่ผ่านมากับเพลง happiness เป็นอันเสร็จสิ้นสมบูรณ์ รวมถึงเป็นการมอบของขวัญให้แก่แฟนคลับและตนเองที่จะฉลองวันเกิดปีที่ 31(ซึ่งเป็นจำนวน reverse จากเลข 13 นำโชคของเธอ) ในวันที่ 13 ธันวาคม 2020 ที่เพิ่งผ่านมาสดๆร้อนๆ นั่นทำให้เกิดความตื่นตัวระคนตื่นเต้นของนักฟังทั่วทั้งสหรัฐฯและผู้ติดตามรอบโลกด้วยความเห็นอันหลากหลายเพียงตั้งแต่ก่อนที่อัลบั้มจะถูกปล่อยออกมาเสียอีก โดยเธอได้กล่าวโยงว่างานชุดนี้เปรียบเสมือน sister records ของ folklore
ภาพรวมของอัลบั้มนี้จัดว่ามีแนวเพลง อารมณ์ และเฉดสีที่หลากหลายมากขึ้น ลดดีกรีความFolkลง คงความเป็น Alternative Rock และย้อนกลับมามีกลิ่น Country/CountryPop และงานเพลงสไตล์ Old Taylor มากขึ้นในบางสัดบางส่วนของอัลบั้ม ภาพฉากของแต่ละเพลงนั้นฉายให้เห็นความสมจริง มีความเรียลมากขึ้นเมื่อเทียบกับงานชิ้นก่อนที่มีเสน่ห์ในความลึกลับ ปรัมปรา และความซับซ้อนของเนื้อหา โดยการบรรยายของ evermore ที่ฉีกเบนออกไปเล็กน้อยทำให้เราสามารถเห็นความชัดเจนของเหตุการณ์ที่เล่ากันอย่างตรงไปตรงมามากขึ้นผ่านปลายปากกาการประพันธ์บทเพลงที่มีการพัฒนามากขึ้นเรื่อยๆตามลำดับวัยวุฒิของเธอ หลายเพลงมีการใช้คำศัพท์ที่ยากขึ้น การซ่อนความหมายแฝง แต่ยังคงเสน่ห์ของการเล่าเรื่องพร้อมขมวดปมให้จบภายในเพลงที่ทำได้อย่างเฉียบขาดน่าชื่นชมและเฉียบคมชวนติดตาม
สำหรับ evermore ได้รับสัดส่วนการ Produced หลักๆ จากหนุ่ม Aaron Dessner จาก The National ที่ก้าวมาเป็นตัวยืนหลักเป็นครั้งแรกหลังจากที่เธอนั้นผ่านยุคการกุมบังเหียนอัลบั้มโดย Jack Antonoff มาเนิ่นนานในช่วงหกปีก่อนหน้านี้ที่เป็นผู้ร่วมผ่านร้อนผ่านหนาวและเป็นส่วนสำคัญในแกนความสำเร็จของสาวเทย์เลอร์อย่างปฏิเสธไม่ได้ การเปลี่ยนแปลงตรงนี้ส่งผลเล็กน้อยให้ภาคดนตรีและดีไซน์ต่างๆมีการเปลี่ยนเฉดไปบ้าง แต่ไม่ได้พลิกไปเสียทีเดียว เพราะงานชิ้นนี้ยังทำให้เราเชื่อได้ว่ายังคงความเป็นเทย์เลอร์ไว้สูงมากรวมถึงกลิ่นของอัลบั้มที่แล้วที่ยังมีความกรุ่นแซมแทรกอยู่ไม่เลือนราง แม้จะมีการลองสิ่งใหม่ๆ ใส่แนวทดลองมาบ้างก็ตาม อาจทำให้แปลกหูบ้าง แต่ไม่แปลกใจ
Track By Track
“willow” (4.5/5)
หลิวลู่ลม Lead single จากอัลบั้ม ที่ในครั้งนี้ถูกมอบหมายให้อยู่ในแทร็คแรกสุด เป็นเพลงที่เป็นตัวเลือกที่ลงตัวมากๆในการนำมาตัดเป็นเพลงโปรโมท เพลงยังคงความ Folk และมีกลิ่นความเป็น folklore สูงมาก เปรียบเสมือนจุดเชื่อมต่ออัลบั้มที่ 8 และ 9 เข้าด้วยกันอย่างแนบสนิท โทนเพลงยังคงความลึกลับแต่เป็นสีที่สว่างขึ้นและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ความติดหูผสมกับความวาบหวามอ่อนๆ ทำให้เพลงมีเสน่ห์ยั่วยวนชายหนุ่มให้หลงใหลในตัวเธอ รวมถึงเชื้อเชิญให้บุคคลที่ผ่านไปมาได้ให้ความสนใจเข้ามาฟังเพื่อนๆแทร็คอื่นๆ อีก 14 เพลงได้ไม่ยากเย็นนัก สำหรับตัวมิวสิควิดีโอที่ถูกปล่อยมาพร้อมกันนั้นมีฉากหลังที่ต่อจากเพลงเปิดตัวจากอัลบั้มก่อนหน้า ‘Cardigan’ โดยเปรียบเป็นเหรียญคนละด้านในห้วงเวลาเชื่อมเนื่องกัน และมีการอ้างถึงเนื้อหาจากอัลบั้ม folklore อยู่พอสมควร ที่เห็นชัดที่สุดคือความหมายของรักแท้กับเส้นด้ายสีทองประกายที่อิงได้จากเนื้อหาเพลง ‘Invisible Strings’ รวมถึงฉากที่ย้อนกลับไปในช่วงชีวิตวัยเด็กที่เล่นกับเพื่อนชายสัมพันธ์กับเพลง ‘Seven’ เป็นต้น ราวกับว่าเป็นการ tribute ปิดอัลบั้มก่อนหน้าไปอย่างสมบูรณ์แบบใน era อันแสนสั้น เพียงสี่เดือนเศษ รวมถึงการเลือกใช้โทนสี คอสตูม รวมถึงฉากของนักแสดงร่วมที่ล้อกันไปตามไทม์ไลน์อัลบั้มก่อนหน้าทั้ง 8 ของเธอ (ที่สังเกตได้จะเห็นเพลงตัวแทนจากแต่ละอัลบั้มได้แก่ Tim McGraw, Love Story, Mean, I Knew You Were Trouble, Out Of The Woods, ...Ready For It ในเบื้องต้น) แสดงถึงความใส่ใจรายละเอียดที่เธอแอบซ่อนไว้ให้ค้นหาไม่เพียงแต่ตัวเพลงแต่ละเพลงแต่ควบรวมถึงมิวสิควิดีโอแต่ละชิ้นที่เธอปล่อยออกมาด้วย
“champagne problems” (4/5)
ย้อนกลับมาในแทร็คที่มีความเป็น Old Taylor สูงปรี๊ด กับเสียงร้องกังวานโดดเด่นคลอกับเปียโนชิ้นเดี่ยว กับเพลงที่มีเนื้อหาการจบลงของงานเลี้ยงความรักของสองเรา ความสัมพันธ์ที่ได้สร้างมาเมื่อถึงจุดหนึ่งที่คนรักทั้งสองต่างมีเป้าประสงค์อนาคตระยะยาวที่ต่างกันไป การจบความสัมพันธ์ย่อมทำให้เกิดความเจ็บปวดให้แก่อย่างน้อยหนึ่งฝ่ายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะแชมเปญหรือไวน์ชั้นเลิศเพียงใดก็ไม่ทำให้บรรยากาศสนุกขึ้นมาแม้แต่น้อย มีหลากวิธีที่ถูกงัดมาใช้ในการเลิกราแต่ในเพลงนี้ฝ่ายหญิง'เลือก'ให้เป็นการจากอย่างประนีประนอม แม้จะมีการกล่าวอวยพรหรือฝ่ายชายในช่วงจบ แต่ผลลัพธ์คือตัวเธอเองพร้อมที่จะจากไปอยู่ดี แผลในใจที่คั่งค้างจึงเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ ไม่ว่ามันจะเป็นแค่แผลสดหรือจะแปรเป็นแผลเป็นก็ตาม เพลงที่เรียบง่ายแต่สื่อความหมายและสามารถสะท้อนสถานการณ์นั้นได้ดียิ่ง
“gold rush” (3.5/5)
ให้ความรู้สึกโอ่อ่าโอ่โถง ให้ความรู้สึกผู้ฟังเหมือนเป็นชนชั้นสูงมีความเป็นตัวของตัวเองสูงกับการมองอีกฝ่ายเป็นผู้มีชื่อเสียงหรือมีความนิยมสูงชะลูด หรือง่ายๆโดยนัยว่าเป็นหนุ่มป๊อปในขณะนั้นโดยมีการนำไปเปรียบกับสภาวะการ”ตื่นทอง”ที่ทุกคนต่างถาโถมเข้ามาหาเธอดั่งทรัพยากรล้ำค่า สเกลของคำร้องและบรรยากาศฉากหลังของเพลงนั้นใช้การพรรณนาร่วมสูงจึงดูเหนือจริงหรือ overact ไปบ้าง เหมาะกับการเต้นระบำหรือใช้บรรเลงละครเวที แต่ยังรู้สึกถึงความไม่ราบรื่นของการเชื่อมต่อ verse chorus bridge ที่ยังขาด ๆ เกิน ๆ อยู่และเนือยอยู่บ้างในบางพาร์ท
“‘tis the damn season” (5/5)
เปรียบเสมือนเรื่องราวเรื่องหนึ่งของความสัมพันธ์อันซับซ้อนและคลุมเครือของอดีตคู่รักที่ต้องโคจรกลับมาพบกันอีกครั้งในงานรวมเพื่อนเก่า ณ สถานที่เดิมๆ ความทรงจำในครั้งเก่าต่างพรั่งพรูเข้ามาทั้งเรื่องขมเรื่องหวาน หลังจากที่ฝ่ายหญิงได้จบการศึกษาและเดินทางตามความฝันในL.A. นั่นได้กลายเป็นบทบาทหลักที่เธอต้องขับเคลื่อนตนเองไป ประสบการณ์ชีวิตทั้งเรื่องงาน สังคม และการใช้ชีวิตในปัจจุบันทำให้เธอหวนกลับมาคิดอีกครั้งว่าสิ่งใดที่มอบรอยยิ้มและสร้างความสุขให้เธอ เราต้องมาลุ้นกันว่าความสัมพันธ์อันซับซ้อนที่เหมือนจะเคยยุติลงอย่างคลุมเครือเมื่อครั้งเยาว์วัยจะสามารถกลับมาสานต่อได้หรือไม่ ด้วยเส้นทางที่จะนำทางเธอกลับไปเมืองเกิดนั้นหรือจะทำให้เธอตัดสินใจเลี้ยวไปยังบ้านฝ่ายชายในทุก weekend ที่เธอกล่าวถึงกันแน่ สำหรับคนที่ Lucky in Game อยู่เสมอ ในบางครั้งก็อาจโหยหาความ Lucky in Love
“tolerate it” (4/5)
ซีนอารมณ์ที่หนักหน่วงระหว่างคู่รักที่อยู่กินกัน กับความรู้สึกของฝ่ายหญิงที่เอ่อล้นใจและพร้อมมอบให้อีกฝ่ายอย่างเต็มที่ แต่ผลลัพธ์กลับไม่เป็นอย่างที่คิดซ้ำยังเลวร้ายลงเมื่อได้รับการตอบกลับมาอย่างเย็นชาจากคนรักของเธอ ส่งผลให้ความกดดันและความรู้สึกเศร้าซึมนั้นพอกพูนเป็นมะเร็งร้ายในใจเธอ แม้ว่าจะไม่ได้เชือดเฉือนกันด้วยคำพูด แต่สงครามเย็นของความรัก และอวจนะภาษาที่ไม่สามารถบดบังอารมณ์หน่ายความรักนั้น ทำให้เธอเสมือนตายทั้งเป็นได้เลยทีเดียว การเดินเพลงโดยใช้เปียโนเป็นตัวเอกและการไล่เมโลดี้ตามองก์ต่างๆของเพลงช่วยเสริมความเลือดเย็น เย็นชา และตอกย้ำความเย็นยะเยือกของเนื้อหาเพลงได้เป็นอย่างดี
“no body, no crime ft.HAIM” (4.5/5)
คันทรี่เกิร์ล 100% เหมือนนำเราวาร์ปกลับสู่รากของอัลบั้ม Taylor Swift 2006 อารมณ์เหมือนได้ฟัง Should’ve Said No ในเวอร์ชั่นที่อายุถูกเบิ้ลเป็นสองเท่า 55 เนื้อหาจึงออกมาเป็นวัยมีครอบครัวมีเพื่อนมีฝูงจับเข่าคุยตมประสาแม่บ้านในมลรัฐตอนกลางของแดนมะกัน แต่ขออุบเนื้อหาไว้ ไม่อยากเล่า ให้ท่านๆไปฟังกันเอาเอง มิเช่นนั้นเดี๋ยวเราจะกลายเป็นพวกสปอยล์หนัง หนังเรื่องนี้ที่เธอบรรจงเดินเส้นเรื่องครบจบภายในสามนาทีครึ่ง แต่สร้างความแสบสันตราตรึงใจได้เป็นอย่างดี แอบกระซิบว่ามีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น สำหรับสามสาว HAIM นั้นยังไม่ปรากฏออกมาชัดนักในเสียงคำร้อง แต่มีบทบาทเป็นตัวละครเอกในเนื้อเรื่อง เพื่อนนางเอก และน้องเพื่อนนางเอก เพลงนี้จัดเป็นเพลงที่ติดหูที่สุดในอัลบั้มและแฟนๆน่าจะชอบกันได้ไม่อยาก ส่วนตัวหักนิดหนึ่งตรงดีไซน์การร้องเสียงบางที่ถูกนำมาใช้มากใน Lover era ซึ่งเรานั่งยันนอนยันมาตลอดว่า ไม่ชอบ เสียดายมาก เสียดายไอเดียเพลงที่ปูทางมาดีในระดับ 10 10 10
“happiness” (3/5)
เพลงแม่ชี หลังจากอกหักรักคุดก็จัดแจงโกนหัวบวชเข้าทางธรรม ปล่อยวาง ปลงสังขาร พักกายพักใจ จนจิตสว่างสะอาดบริสุทธิ์เปล่งปลั่ง พร้อมให้อภัยทุกคน ตื่นเช้ามาเดินยิ้ม เดินคุยกับต้นไม้ บางครั้งก็คุยคนเดียว มีความแกรนด์สูง ผู้รู้ผู้ตื่น สรุปคือ หลับ
“dorothea” (3.5/5)
เนื้อหาจะสัมพันธ์กับเพลง ‘’tis The Damn Season’ โดยจะมาจากมุมมองฝ่ายชายที่หลังจากความสัมพันธ์ในวัย High School จบลงเขาไม่ได้ไปที่ไหนต่างจากฝ่ายโดโรธีอาที่อออกไปตามหาความฝัน มุมมองของเขาต่อการกลับมาพบกันอีกครั้งนับเป็นโอกาสที่ดี เป็นอีกเพลงน่ารัก ๆ ที่มีมุมมองเชิงบวก สว่างไสว และเต็มไปด้วยความจริงใจปรารถนาดี ให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนคู่คิดเก่าที่รู้ใจรู้ไส้รู้พุงกันดี แต่ความอบอุ่นนี้ก็เป็นดาบสองคมเมื่อความที่มีมิติเดี่ยวๆทำให้ผลลัพธ์ค่อนข้างเลี่ยนและเอียนง่ายอยู่เหมือนกัน เพราะเพลงมาโทนเดียวโดดๆเลย
“coney island ft.The National” (4.5/5)
เป็น collaboration ที่ลงตัวมากๆ ซึ่งนานครั้งจะได้พบกับศิลปินชายที่มีเนื้อเสียงเข้ากับเพลงคู่ของเทย์เลอร์ได้มากเท่ากับหนุ่ม Matt Berninger จาก The National ผู้นี้ เพลงทอดอาลัยอาวรณ์ในสถานที่แห่งนี้ บรรยากาศอบอุ่น คู่รักเดินควงผ่านไปมา ทำให้ความรู้สึกหนาวเหน็บนั้นเกาะกินหัวใจมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อมาถึงกลางเพลงแสดงให้เห็นถึงการมีคนรักและการพยายามดำเนินความสัมพันธ์ แต่สุดท้ายความไม่ลงตัวของทั้งสองฝ่ายทำให้เธอต้องประสบกับความผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่าจนเริ่มชินชาต้องร้างลากันด้วยคำขอโทษ แล้วก็กลับมาทอดอาลัยถ่ายเอ็มวีบนม้านั่งในเกาะนี้อีกครั้ง ความสอดประสานระหว่างคำร้องและทำนองยังขาดเกินไปบ้าง
“ivy” (3/5)
เพลงจังหวะ Country รื่นเริงคลอเสียงแบนโจวิ่งดี๊ด๊าพร้อมเผชิญป่าใหญ่ไปพบพานผู้ชาย(ชู้)รายใหม่ ที่เปรียบชายชู้เสมือนเถาวัลย์ไม้ชอนไชกำแพงหัวใจอันแข็งกระด้างหินผาของเธอได้จังหวะ สาวผัวเผลอก็สบโอกาสพลอดรักกันอย่างมีความสุข แต่เพลงมันเดิมๆ กลวงและเนือยไปนิด
“cowboy like me” (5/5)
ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ ไม่มีสัจจะในหมู่โจร รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง ไม่รู้จะสรรผาคำพังเพยอื่นใดมาเปรียบเปรยกับแทร็คนี้ หลงใหลกับศักยภาพในการแต่งเพลงนี้ของเธอที่งอกเงยผลิดผลออกมาเป็น Lyrics ที่สวยมาก และดีไซน์การร้องแผ่วๆปนเซ็กซี่ที่ออกมาอย่างน่าประทับใจมากๆ ประหนึ่งสาวนั่งบาร์พร้อมเต้นจังหวะช้าตามหารักแท้ในคืนหลอก(เมียห)ลวง บางครั้งสิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น คนที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตประจำวันที่แสดงออกเป็นจริงใจ ยากที่จะแกะแงะออกมาให้เห็นถึงแก่นประสงค์ที่แท้ว่ามีสิ่งใดซ่อนเร้นอยู่หรือคาดหวังกับผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่ และถึงแม้ว่าเราจะเจอกลเม็ดใดๆที่ถูกเก็บซ่อนอยู่ในการซื้อใจซื้อความสัมพันธ์ ก็ขึ้นอยู่กับเราอีกชั้นหนึ่งว่าจะเลือกที่จะแสดงออกมาว่าจับได้แล้วหรือจะแสร้งทำให้เหมือนว่าทุกอย่างเป็นเช่นดังเคย แล้วจับตามองความสัมพันธ์นั้นต่อไป อย่างผู้กุมความลับอยู่บนยอดสูง
“long story short” (2.5/5)
อยู่ดีๆก็ปลุกให้ทุกคนตื่นขึ้นมาด้วยจังหวะที่เร็วฉีกไปจากสิบกว่าเพลงก่อนหน้าที่ท่วงทำนองค่อนข้างคุมโทนได้สุขุมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน อ้างอิงถึงช่วงชีวิตที่ผ่านสิ่งแย่ๆ รวมถึงศัตรูชีวิตที่เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ทุกอย่างในชีวิตมันดูเลวร้ายลงจนเหมือนกับว่าจะผ่านมันไปไม่ได้ แต่สุดท้ายก็ผ่านได้ ด้วยพลังแห่งความรัก และศัตรูก็จะแพ้ภัยตัวเอง ปัญหาทุกอย่างคลี่คลาย สว่างสดใส แฮปปี้มากๆ ทุกคนยิ้ม แฟนคลับยิ้ม สนุกจังเลยยยย ภาพรวมกลายเป็นเพลงเร็วโล้นๆที่ถูกเรียบเรียงออกมาอย่างขาดสีสัน
“marjorie” (4/5)
เพลง Tribute ให้คุณยายตัวเอง อินมาก เธอกลับไปเป็นเด็กน้อยและนำคำต่างๆที่ได้รับจากคุณยายมาประพันธ์เป็นเพลงได้อย่างลงตัวเหมาะเจาะ เท่าที่ทราบคุณยายมีอิทธิพลต่อการเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เธอในการเดินเส้นทางสายศิลปินเป็นอย่างมาก โทนเพลงออกมาเป็นเชิงสรรเสริญทำออกมาได้อย่างน่าขนลุก จุดสังเกตคือเพลงนี้ถูกวางไว้เป็น Track13 ซึ่งเป็นเลขนำโชคของเธอ และเป็นเลขแทร็คเดียวกับ ‘epiphany’ ใน folklore ซึ่งเป็นเพลง tribute ให้แก่คุณตาของเธอช่วงอยู่ในสนามรบ
“closure” (3/5)
ใครมือบอนซนกดเอ็ฟเฟ็คเสียงสับหมูขาดๆหายๆใส่เพลงรองสุดท้ายของนาง ฟังครั้งแรกนึกว่าคอมติดไวรัส 55 เลยกลายเป็บบัลลาดอิเล็คโทรนิคแบบงงๆ แต่มองต่างมุมแล้วอาจเป็นข้อดีเพราะถ้ามาเป็นบัลลาดเปียโนเพียวๆ อาจทำให้กราฟอารมณ์ลู่ลงต่อเนื่องและหลับไหลได้ ด้านเนื้อหาก็พยายามทำให้อินตามว่าด้วยการมุฟออนหรือไม่มุฟ ลืมหรือไม่ลืม โดยขณะที่เธอเฝ้ารอประโยคบอกลาดีๆจากฝ่ายชายเป็นระยะเวลานาน กว่าจะมีคำดีๆใดๆร่วงออกมาจากปากฝ่ายนั้น เธอก็ไม่ต้องการมันอีกแล้ว ขอจากลาไปด้วยตัวเอง ไม่ต้องพูดอะไรแล้วจ้า ไม่ต้องย้อนแล้วจ้า ไร้ราคา หมดอารมณ์ (โกรธทำไมวะ)
“evermore ft.Bon Iver” (4.5/5)
ปิดฉากมหากาพย์ folklore/evermore ด้วยเพลง collabation ภาคสองกับหนุ่มๆ Bon Iver ที่มาครั้งนี้ไม่ได้เป็น duet style แต่มาเป็นการเสริมความหนักแน่นให้กับแทร็คจบเพลงนี้มากกว่า เนื้อหาพูดถึงการผ่านปี’นั้น’ไปอย่างยากลำบาก นั่นก็คือ ปี 2016 ที่เธอถูกกระแสถาโถมเข้ามามากมาย ทั้งเรื่องชื่อเสียงและชื่อเสียทั้งกรณีเพลง famous จากตาคันหยี รวมถึงการถูกแฉในเรื่องพิพาทปลอมๆจากคลิปเสียงของบ้านคาร์เดเชี่ยนจนวูบหนึ่งเธอกลับมานั่งทอดอารมณ์ทบทวนว่าตนเองนั้นทำพลาดตรงไหนไปหรือไม่ แต่ก็ไม่พบแต่อย่างใด พาลกลับคิดไปว่าบาดแผลในใจนี้น่าจะเจ็บปวดติดตัวเธอไปตราบนานเท่านาน จนกระทั่งพบแสงสว่างในชีวิตช่วงปลายปี เรื่องดีๆพรั่งพรูเข้ามาแบบไม่คาดคิด ได้พบรักครั้งใหม่ แถมอัลบั้มสุดดาร์คอย่าง ‘reputation’ ก็ประสบความสำเร็จเกินความคาดหมาย นั่นทำให้ pain ที่กล่าวนำไว้นั้นไม่ would be for evermore เหมือนที่คิดไว้ตอนต้นปีแต่อย่างใด โล่งใจจจ จบแล้ว เย่
ต้องขอชื่นชมทักษะการเล่าเรื่องและเขียนเพลงของเธอไว้ตรงนี้อีกครั้งว่าทำได้อย่างเฉียบคมและขมวดจบได้อย่างไม่ค้างคา มีเป้าหมายที่ชัดเจนในทุกๆแทร็ค รวมถึงความยินดียิ่งในการกลับมาของเพลงแนว Country ที่แทบจะไม่ได้ถูกนำกลับมาบรรจุในอัลบั้มหลักของเธอเลยนับตั้งแต่ ‘1989’(2014) ที่เธอประกาศผันตัวมาทำเพลง Pop อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในวันนี้ เธอได้พิสูจน์แล้วว่า เธอเป็นศิลปินเพชรน้ำงามที่มีความสามารถและผ่านประสบการณ์การทำเพลงมาแล้วในหลาย Genres และประสบความสำเร็จทั้งในแง่ของชื่อเสียงความนิยม ควบคู่ไปกับความสำเร็จในแง่รางวัลและคำวิจารณ์เชิงบวก ซึ่งศิลปินน้อยคนหรือแทบจะไม่มีเลยในยุคหลัง 2000s ที่จะสามารถยืนอยู่ได้ในระดับเธอ และงานเพลงชุดนี้ก็มีผลลัพธ์ที่ออกมาดีสมตามมาตรฐานของเธอ รวมถึงการดึงศิลปินท่านอื่นมา collaboration ก็ถือว่ามีความคึกคักมากขึ้นกว่างานชุดก่อนๆ และศิลปินร่วมแต่ละท่านได้มีโอกาสแสดงพลังออกมาได้อย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเพลงของ The National ที่ประทับใจส่วนตัวเป็นพิเศษ รวมถึงตัวเนื้อหาเพลงที่มีเฉดสีหลากหลายและมีความเป็นมนุษย์ปุถุชนมากขึ้น ทำให้แม้ว่าจะยังความฟังยากต้องใช้เวลาย่อยอยู่บ่าง แต่ก็ไม่ได้ยากเกินไปนักที่จะเข้าถึงโดยไม่ต้องพึ่งความพยายามสูงในการฟัง
จุดอ่อนของอัลบั้มยังคงอยู่เรื่องของอารมณ์เพลงและการวางแทร็คที่ยังโดดไปโดดมาทำให้อารมณ์ไม่ต่อเนื่อง และมีบางช่วงบางเวิ้งที่สามารถหลับไปขณะที่ฟังได้ รวมถึงดีไซน์การร้องเสียงบางๆ ซึ่งมีหลุดออกมาบ้างในบางเพลงทำให้ความรู้สึกที่มีต่อเพลงถูกลดทอนไปโดยที่เสียดายคุณภาพวัตถุดิบคำร้องทำนองที่ทำรอไว้ดีมากๆ อีกข้อหนึ่งที่อาจไม่ใช่จุดด้อยแต่ต้องพูดถึงคือการปล่อยอัลบั้มนี้ต่อจาก folklore ในระยะเวลากระชั้นชิดและมีธีมที่ถูกโปรยไว้ว่าเป็นอัลบั้มที่มาคู่กันจึงทำให้มีตัวเปรียบเทียบที่ทำมาตรฐานไว้สูงมากระดับมาสเตอร์พีซ ทำให้งานชิ้นนี้ดูอ่อนกว่าในเรื่องของการคงคอนเซ็ปต์อัลบั้ม ที่มีอารมณ์ที่กระจัดกระจายอยู่บ้างหรือบางท่อนที่แปลกโดดไปมากจนทำให้ฟังแล้วชะงัก ทำให้ชิ้นงานยังดูไม่เป็นเอกภาพนัก แต่ในภาพรวมนั้นยังจัดเป็นอัลบั้มที่แนะนำว่าถ้ามีโอกาสควรลองฟังดูสักครั้ง
โฆษณา