1 ก.พ. 2021 เวลา 01:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ
[สรุป] I Will Teach You to Be Rich - หนังสือที่สอนให้คุณรวยด้วยการวางแผนการเงินแบบอัตโนมัติ
คำว่า Rich ในที่นี้ไม่ได้หมายความว่าคุณจะรวยแบบเศรษฐีขนาดนั้นนะครับ แต่ถ้าคุณทำตามแนวคิดของ Ramit Sethi ผู้เขียนนี้แล้ว มันจะทำให้คุณ”รวยขึ้น”กว่าที่เป็นแน่นอน
และนี่คือหนึ่งในหนังสือ Personal Finance ที่น่าสนใจ เพราะสอนให้คนอ่านวางแผนการเงินตั้งแต่เริ่มเลือกเปิดบัญชีธนาคาร การใช้บัตรเครดิต ไปจนถึงการบริหารพอร์ทการลงทุนเพื่อวางแผนเกษียญด้วยแนวคิดที่ทำได้จริงภายใน 6 สัปดาห์
*** ขั้นตอน และคำแนะนำทั้งหมดเป็นของประเทศอเมริกา เพราะฉะนั้นถ้าจะนำมาปรับใช้กับบ้านเรา อาจจะไม่ตรงจุดเท่าไหร่นัก แต่ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดีและน่าสนใจเลยครับ
ผมเริ่มอ่านเล่มนี้ช่วง COVID-19 มาใหม่ๆแล้วก็ลองศึกษาและปฏิบัติตามในบางส่วนละมันเวิร์คมากๆ วันนี้ก็เลยถือโอกาสมาสรุปขั้นตอนและข้อคิดต่างๆมา”เล่า”ให้ฟังกันครับ
มีทั้งหมด 9 ขั้นตอน สรุปมาให้แล้วสั้นๆ ซึ่งถ้าทำตามได้รับรองว่ามีประโยชน์แน่นอน มาเริ่มกันเลยดีกว่า
1 - บัตรเครดิต : เลือกให้ดีแล้วจะรวย
2
ในยุคปัจจุบันนี้แทบทุกคนต้องมีบัตรเครดิตเป็นของตัวเองอยู่แล้วเพื่อใช้ในการใช้จ่าย ข้อดีของมันคือการใช้ก่อน จ่ายทีหลัง ซึ่งในหลายๆครั้งมันตามมาด้วยข้อเสียมากมาย ทั้งในเรื่องของดอกเบี้ย (ในกรณีจ่ายช้า) และ ค่าธรรมเนียมบัตร
ทริคในการเลือกบัตรเครดิตที่ดีคือควรเลือกบัตรที่ไม่มีค่าธรรมเนียม หรือถ้ามีก็ลองโทรไปขอเวฟค่าธรรมเนียมซะ เพราะการลองขอดูใช้เวลาไม่กี่นาที และถ้าขอได้ (ซึ่งส่วนใหญ่ก็มักจะขอได้) ก็จะช่วยลดค่าใช้จ่ายต่อปีไปได้เยอะมากๆ แต่ถ้าบัตรไหนขึ้นขื่อว่าขอไม่ได้ก็อย่าไปตื๊อมากนะครับ เค้ามีนโยบายของเค้าอยู่
และสุดท้ายสำคัญที่สุดคือ “ห้ามเป็นหนี้บัตรเครดิต” ด้วยดอกเบี้ยที่สูงมากๆ การใช้จ่ายเกินตัวจนจ่ายไม่ทันคือสิ่งที่ต้องห้ามให้ได้
แต่ถ้าใครเผลอเป็นหนี้บัตรเครดิตไปแล้ว ก็คงต้องเดินหน้าจ่ายหนี้ให้เร็วที่สุด อีกทริคที่ผู้เขียนแนะนำคือ โทร(อีกแล้ว)ไปเพื่อขอเจรจาลดดอกเบี้ย
*** อันนี้ตัวผมเองไม่เคยลอง แต่ถ้าขอได้จริง ธนาคารเองก็น่าจะยอมครับ เพราะอย่างไรมันก็ดีกว่าปล่อยให้เราเบี้ยวทั้งเงินต้นและดอกไปเลย
2 - บัญชีออมทรัพย์ : เราต้องชนะธนาคาร
ในเรื่องของการเลือกบัญชีออมทรัพย์ ซึ่งคือบัญชีที่เราจะนำเงินสดไปฝากไว้ก่อนเป็นทางผ่านไปสู่บัญชีอื่นๆ วิธีการเลือกมีอยู่แค่ 2 ปัจจัยเท่านั้น คือ ดอกเบี้ยสูง และไม่มีค่าธรรมเนียม
ในส่วนของดอกเบี้ย เราจะเห็นว่ามีหลายธนาคารที่พยายามดึงดูดลูกค้าด้วยดอกเบี้ยที่สูงกว่าคู่แข่ง อันนี้หาข้อมูลได้ไม่ยากครับ ทางเพจเล่าเองเคยแนะนำบางตัวอยู่บ้างเหมือนกัน ส่วนเรื่องของค่าธรรมเนียมในปัจจุบันนี้แทบไม่มีแล้ว ก็ไม่ต้องไปกังวลในส่วนนี้ครับผม
3 - เตรียมตัวสำหรับการลงทุน : เปิดบัญชีและเตรียมตัวให้พร้อม
การเปิดบัญชีลงทุน ทั้งบัญชีหุ้นหรือกองทุน เราต้องเลือกให้ดี ปัจจัยที่ต้องคำนึงถึงอย่างแรกคือเรื่องค่าธรรมเนียมครับ ให้เลือกที่ค่าธรรมเนียมถูกที่สุด ซึ่งที่อเมริกานั้นมี บล. ที่ตีตลาดด้วยค่าธรรมเนียมที่ต่ำมากๆครับ ในไทยก็พอมีเช่นกัน โดยเฉพาะบริษัทเล็กๆเช่น SBITO
*** ไม่ได้ค่าโฆษณานะครับ แต่หาข้อมูลมาแล้วมันต่ำมากจนน่าตกใจ (0.075%) ส่วนบริษัทอื่นๆที่รองลงมาจะอยู่ที่ 0.11-0.1578%
นอกเหนือจากนั้นคือการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการลงทุน ซึ่งสิ่งสำคัญเลยคือต้องปิดหนี้บัตรเครดิตให้หมด เพราะเป็นหนี้ที่ดอกเบี้ยสูงมากๆ ถ้ายังไม่ปิดแล้วเอาเงินไปลงทุนจะยิ่งขาดทุนหนักเข้าไปใหญ่ และอีกเรื่องที่ต้องทำเลยก็คือ
***การลงทุนในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพให้เต็มสิทธิ์เพื่อให้บริษัท/นายจ้างสมทบให้อีกเท่าตัว***
เพราะส่วนที่ได้สมทบคือเงินฟรีๆที่จะได้จากนายจ้าง และจะทำให้พอร์ทเราโตเร็วมากๆ
4 - ค่าใช้จ่าย : ใช้จ่ายอย่างมีสติ
นอกจากจะเตรียมสร้างผลตอบแทนจากการลงทุน เรื่องของการใช้จ่ายก็สำคัญไม่แพ้กัน
แต่ตามหลักของการใช้จ่ายอย่างมีสติ (Concious Spending) นั้นไม่ได้บอกว่าคุณต้องประหยัดทุกสิ่งทุกอย่าง แต่แค่ไม่ใช้เงินกับสิ่งที่ฟุ่มเฟือยและเกินตัว เพื่อจะได้เหลือเงินมาใช้กับสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขนั่นเอง
วิธีที่จะทำให้เราใช้จ่ายได้อย่างมีสติคือการวางแผนค่าใช้จ่ายไว้อย่างรัดกุม โดยแบ่งค่าใช้จ่ายต่อเดือนออกเป็นสัดส่วนต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น
50-60% สำหรับใช้กับสิ่งของจำเป็น - อาหาร, เครื่องดื่ม และของใช้ภายในบ้าน
10% สำหรับการลงทุนรายเดือน
5-10% สำหรับการออมเงินเพื่อเป้าหมายอื่นๆ (ท่องเที่ยว, ซื้อของขวัญ)
20-35% สำหรับใช้อย่างอิสระกับสิ่งที่เราชอบ (ช้อปปิ้ง, กินอาหารดีๆ, ซื้อของสะสม)
*** ทั้งนี้ต่างคนต่างมีความชอบเป็นของตัวเอง ซึ่งอาจจะดูไร้สาระในสายตาคนอื่นแต่ตราบใดที่เป็นเงินเรา และไม่ทำให้เราลำบากเรื่องเงินก็ใช้จ่ายได้ตามใจเลยครับ
5 - ให้เงินทำงานแม้ตอนหลับ : ตั้งระบบการลงทุนโดยอัตโนมัติ
ตั้งระบบโอนเงินอัตโนมัติเอาไว้ในทุกๆเดือนเลยครับ เพื่อให้เกิดวินัยในการลงทุนและการจัดการการเงินโดยที่ไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายกับมันบ่อยๆ
สมมุติว่าเงินเดือนเข้ามา 30,000 ให้เราตั้งระบบโอนเงินอัตโนมัติไว้ตั้งแต่ต้นเดือนตามแผนที่วางไว้ในข้อที่แล้วได้เลย เช่น
1. โอน 3,000 บาทไปยังบัญชีกองทุน เพื่อลงทุนตามแผนในข้อต่อๆไป
2. โอน 27,000 บาทที่เหลือไปยังบัญชีออมทรัพย์/บัตรเครดิต
3. โอน 1,500-3,000 บาทจากออมทรัพย์ไปยังบัญชีเงินออมตามเป้าหมายที่วางไว้ ***แอพใหม่ของกสิกรมีฟีเจอร์นี้อยู่นะครับเคยเล่าไปเมื่อปีที่แล้ว
4. ตั้งระบบหักบัตรเครดิตโดยตรงจากบัญชีออมทรัพย์
5. ส่วนที่เหลือก็แบ่งใช้ตามแผน และสามารถนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ชอบได้ตามที่วางแผนไว้
ถ้าทำทำระบบแบบนี้ไว้สำหรับทุกๆเดือน ก็ไม่ต้องคอยมาโอนเงินเข้าๆออกๆตอนสิ้นเดือน และเป็นการฝึกวินัยในการลงทุน/ใช้จ่ายโดยอัตโนมัติด้วยครับ
6 - บทวิเคราะห์ต่างๆ : อย่าไปเชื่อมันให้มากนัก
มีหลายงานวิจัยที่พยายามศึกษาว่าพวกผู้จัดการกองทุน หรือนักวิเคราะห์ที่ดูเหมือนจะเก่งนั้นสามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดหรือไม่ ?
ผลปรากฎว่ามีเพียง 2% เท่านั้นครับที่สามารถทำผลตอบแทนได้ดีกว่าตลาด นั่นหมายความว่าเราไม่จำเป็นต้องไปเชื่อหรือคล้อยตามคำแนะนำในการลงทุนของคนเหล่านั้นมากเท่าไหร่
นอกจากนั้นจากการวิเคราะห์จะพบว่าการลงทุนแบบ Passive ที่คอยลงทุนในกองทุนดัชนีที่มีค่าธรรมเนียมต่ำอย่างสม่ำเสมอนั้นมีผลตอบแทนที่ดีในระยะยาว โดยที่ไม่ต้องใช้เวลาหรือพลังงานในการลงทุนเลยครับ (หลายคนจะทราบว่านี่คือวิธี Dollar Cost Average ; DCA)
ผู้เขียนจึงสนับสนุนการลงทุนแบบ Passive ที่ค่าธรรมเนียมต่ำมากกว่าที่จะไปลงในกองที่ Active แต่เก็บค่าธรรมเนียมในการบริหารกองทุนสูงๆครับ เหตุผลก็เพราะการบริหารแบบ Active นั้นไม่ได้ดีกว่า Passive เหมือนที่กล่าวไว้ในการวิจัยข้างต้น
7 - การลงทุนไม่ใช่ของสงวนของคนรวย : คนธรรมดาก็เข้าถึงได้
จริงแล้วการลงทุนไม่ได้ยากเหมือนที่หลายคนกลัวนะครับ เพียงแค่เรารู้จักการแบ่งสัดส่วนการลงทุน (Asset Allocation) ให้เหมาะสม ใครๆก็สามารถเข้าถึงการลงทุนที่ดีและมีประสิทธิภาพได้ ปัจจัยหลักที่จะทำให้การลงทุนง่ายขึ้นคือการซื้อกองทุน Index ที่มีค่าธรรมเนียมน้อยมาก และเป็นการลงทุนแบบ Passive ตามที่กล่าวไปในข้อที่แล้ว
การแบ่งสัดส่วนนั้นอาจจะแตกต่างกันไปในแต่ละคน, แต่ละฐานะ และ แต่ละช่วงอายุ ทางผู้เขียนได้ยกตัวอย่างของ Swensen Model ของ Yale University ไว้ดังนี้
50% Equity - แบ่งเป็น
- 30% Domestic (กองทุนหุ้นในประเทศ ในที่นี้คือหุ้นสหรัฐฯ)
- 10% International Developed (กองทุนหุ้นต่างประเทศ - ประเทศพัฒนา)
- 10% International Emerging (กองทุนหุ้นต่างประเทศ -กำลังพัฒนา)
2
20% Real Estate - REITS
และ
30% Bond
*** อันนี้เป็นสัดส่วนการลงทุนของชาวอเมริกา ถ้านำมาปรับใช้กับเราอาจจะลดสัดส่วนหุ้นในประเทศไทยลงบ้างก็ได้ครับ
8 - รักษาระบบให้ดี : และทำให้มันเติบโต
การรักษาระบบก็คือการมีวินัยในการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ และคอย Rebalance หรือปรับสัดส่วนให้เป็นไปตามที่วางแผนไว้ตลอดเวลา
เพราะในอนาคตถ้าสัดส่วนของ Equity นั้นเพิ่มมูลค่าขึ้น (ซึ่งมักจะเพิ่มเร็วอยู่แล้ว) ก็อาจจะต้องปรับโดยการขายกองทุนหุ้นออกมาเพื่อให้สัดส่วนของ Equity กลับไปที่ 50% ดังเดิม หรือถ้าหุ้นของประเทศไหนโตเร้วเป็นพิเศษอาจจะต้องคอยปรับสัดส่วนให้ไม่ไปกินสัดส่วนของประเทศอื่นๆด้วย
ซึ่งวิธีนั้นจะทำให้เราได้ Asset Allocation ที่สมดุล และยังเป็นการขายหุ้น/กองทุนตัวที่ราคาสูงออกไปเพื่อทำกำไรเป็นรอบๆได้ด้วยครับ
9 - สรุป - ใช้ชีวิตอย่างมีความสุข : และร่ำรวย
เมื่อทำตามแผนดังกล่าวได้ทั้งหมด 8 ข้อ เราก็จะสามารถมีฐานะและทรัพย์สินที่มากขึ้นได้ในระยะยาว (ย้ำนะครับว่าระยะยาว) โดยที่ไม่ต้องไปให้ความสนใจกับมันมากเท่าไหร่ครับ
Key Takeaway ของหนังสือเล่มนี้คือการวางแผนการลงทุนแบบ Passive ที่ใช้ระบบอัตโนมัติ และการวางแผนที่ดี และไม่ต้องมายุ่งวุ่นวายหรือพยายามจับจังหวะหารขึ้นลงของตลาดครับ จึงเป็นทางเลือกที่ดีที่ใครๆก็สามารถนำไปปรับใช้ได้
ส่วนตัวผมลองทำมาเกือบปีแล้ว ก็มีผลตอบแทนในกองทุนแบบ Passive ในระดับที่น่าพึงพอใจนะครับ (อาจจะเรียกว่าสูงมากก็ได้เพราะทยอยลงทุนช่วงดัชนีต่ำเพราะโควิด) ที่สำคัญคือปล่อยให้ระบบมันดำเนินไปเองโดยที่ผมไม่ต้องไปสนใจคอยนั่งดูหุ้นเลย (แต่ก็ยังมีส่วนน้อยที่เอามาเทรดหุ้นเพื่อความท้าทายส่วนตัวบ้างนิดหน่อยนะครับ)
ก็จบเท่านี้กับ 9 ขั้นตอนการจัดการการลงทุนจากหนังสือ I Will Teach You To Be Rich ในตัวหนังสือเองจะมีตัวอย่างของหลายๆขั้นตอนให้อ่านเพื่อเห็นภาพที่มากขึ้นครับ มีให้เลือกอ่านทั้งภาษาอังกฤษและภาษาไทย
ถ้าใครสนใจหาข้อมูลเพิ่มเติม หรือต้องการคู่มือในการลงทุน แนะนำให้ลองหามาอ่านกันครับ ตัวบทต่างๆจะมีการกำหนด Action Plan ให้เราได้ทำตามในทุกๆอาทิตย์ด้วยครับ
หลังจากนี้ทางเพจเล่าเองจะเริ่มมีเนื้อหาด้านการเงินการลงทุนหรือการทำธุรกิจเพิ่มมากขึ้นนะครับ แต่ก็จะพยายามหาหนังสือดีๆมาลงให้ทุกเดือน ยังไงก็ฝากติชมด้วยนะครับ 😆😆
วันนี้จบเพียงเท่านี้
ถ้าใครชอบเนื้อหาเน้นๆตามสไตล์เพจ “เล่า” ของผมก็สามารถกด Like เพจเพื่อติดตามเนื้อหาใหม่ๆของทางเพจได้นะครับ จะมีมาเล่าให้ในหลายๆเรื่องเลย ตามเพจเล่าไม่มีเบื่อแน่นอน เพราะแอดมินขี้โม้ หามาเล่าได้ทุกเรื่องครับ 😂😂
อยากให้เล่าเรื่องไหน รีเควสได้ ถ้าไม่นอกเหนือความสามารถก็จะไปหามาให้ครับ 😎😎
ติดตามเรื่อง “เล่า” ผ่านช่องทางต่างๆได้ดังนี้
Facebook “เล่า” : http://www.facebook.com/lao.unfold
Blockdit “เล่า” : https://www.blockdit.com/unfold
Instagram “เล่า” @withptns : https://instagram.com/withptns
Twitter “เล่า” @withptns : https://twitter.com/withptns
ติดต่อโฆษณา หรือ ติดต่อร่วมงานกับเพจ “เล่า” ได้ที่อีเมล์ ptns81@gmail.com
#เล่า #เล่าหนังสือ #เล่าความรู้ #unfold #ส่งเสริมการอ่าน #ส่งเสริมการเรียนรู้ #IWillTeachYouToBeRich #RamitSethi
โฆษณา