2 ก.พ. 2021 เวลา 00:35 • ประวัติศาสตร์
ไสยศาตร์ คุณไสย เวทมนต์ มนต์ดำ ภูติผีปีศาจ อยู่คู่กับวัฒนธรรมและความเชื่อของมนุษย์มาอย่างช้านาน บางความเชื่อนั้นก็ออกไปทางน่ากลัวด้วยซ้ำ เช่นการสังเวยชีวิตของสัตว์ หรือของมนุษย์ เพื่อทำพิธีกรรมต่างๆ และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งคดีที่เกี่ยวกับการสังเวยชีวิตของผู้โชคร้าย ให้กับเวทมนต์ดำแห่งวูดู
ขอเกริ่นก่อนนิดหนึ่งว่า ช่วงนี้ผมติดตามคดีน้องชมพู่ที่กลับมาเป็นกระแสแรงอีกครั้งในช่วงที่ผ่านมา ก่อนหน้านี้ผมไม่ได้ติดตามเลยเพราะความ ปสด. ของคนไทย กับการทำให้ผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรมมีชื่อเสียง ผมรู้สึกว่า นี่มันอะไรกันวะเนี่ย มีคนติดตามชีวิตของคนๆ นึง เป็นคอนเทนต์ครีเอเตอร์ ยูทูปเบอร์จากการตามติดชีวิตลุงแล้วได้เงินจำนวนเยอะมาก
ผมจะยกตัวอย่างที่ผมไปติดตามมานะครับ มีช่องยูทูปช่องหนึ่ง ยอดติดตามเป็นหลายแสน ตามติดชีวิตลุงในคดี ไลฟ์ถ่ายถอดสด รวมไปถึงอัพคลิป "วันเดียว" รวม 40 กว่าคลิปในช่องของตัวเอง ได้ยอดวิวรวมราวๆ 2-3 ล้านวิว พอมาตีเป็นเงินแล้ว 1 ล้านวิวจะได้ประมาณ 1 หมื่นกว่าบาท เท่ากับว่ายูทูปเบอร์ที่ทำเพียงถ่ายชีวิตลุงแล้วเชียร์เนี่ย สามารถทำเงินได้วันละเป็นหมื่นหรือมากกว่านั้น มันทำให้ผมมองย้อนกลับมามองว่า คนที่ตั้งใจทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพ แต่ไม่ได้รับการสนใจหรือการตอบรับที่ดีเท่ากันกับการอวยลุงคนหนึ่ง นี่ฉันกำลังทำอะไรอยู่ แต่พอหันกลับไปมองสังคมไทยแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ มันมีแต่ความผีบ้า สุดท้ายก็ต้องปลง ทำอะไรตามทางของเราเองดีกว่า
พอมันกลับมาเป็นกระแสจากพฤติกรรมของคนๆ นั้นที่เริ่มออกลาย มันก็มีหลายทฤษฏีเกี่ยวกับรูปคดีที่น่าจะเป็นไปได้ และที่น่าสนใจและสะดุดใจผมมากก็คือ การที่น้องชมพู่ อาจจะเสียชีวิตเพราะเกี่ยวข้องกับการทำพิธีทางไสยศาตร์ มันจึงเป็นที่มาของคดีที่ผมอยากจะนำเสนอในครั้งนี้ครับ
1
เรื่องราวมันเกิดขึ้นในปี ค.ศ.1989 ช่วงที่เหล่านักศึกษามหาวิทยาลัยได้หยุดพักจากการเรียนในช่วงฤดูใบไม้ผลิ มาร์ค คิลรอย (Mark Kilroy) นักศึกษาแพทย์หนุ่ม ของมหาวิทยาลัยเท็กซัส วัย 21 ปี กำลังจะออกทริปพักร้อนกับเหล่าเพื่อนๆ และคิดว่า ทางตอนใต้ของเท็กซัสมันก็น่าสนใจนะ ได้ออกไปสังสรรค์ ไปพักผ่อนจากการเรียนที่หนักหน่วง ออกไปเปิดหูเปิดตาสัมผัสกับธรรมชาติ ซึ่งมาร์คก็ได้ชวนเพื่อนๆ มาร่วมเดินทางอีกสามคนและออกเดินทางไปยังบราวน์สวิลล์ ซึ่งมันเป็นเมืองที่มีพรมแดนสามารถเดินข้ามไปยังเมือง ริโอ กรานเด โทมาทาโมรอส เป็นเมืองชายแดนของประเทศเม็กซิโก
เหล่ากลุ่มเพื่อนๆ ก็ได้เดินข้ามสะพานจากบราวน์สวิลล์ไปยังเมืองชายแดนของเม็กซิโก ไปเที่ยวไปสังสรรค์กันตามปกติ เพราะที่นี่ถือว่าเป็นเมืองท่องเที่ยว และพื้นที่นี้ก็มีนักศึกษาอเมริกามาเที่ยวบ่อยเพราะเป็นที่นิยม เพราะเมืองชายแดนเม็กซิโกอย่างมาทาโมรอส ขึ้นชื่อว่าเป็นสวรรค์วันหยุดแห่งฤดูใบไม้ผลิของที่นั่นเลยก็ว่าได้
มาร์คและเพื่อนๆ ก็ได้สังสรรค์ปาร์ตี้ที่ชายหาดในคืนนั้น แต่งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา เมื่อสังสรรค์เสร็จ มาร์คกับเพื่อนของเขาก็ต้องเดินกลับไปที่สะพานเพื่อข้ามกลับไปยังบราวน์สวิลล์ แต่มันมีปัญหาหนึ่งตอนเดินข้ามกลับนั่นก็คือ เหล่านักท่องเที่ยวที่สะพานเยอะมาก ทำให้การเดินกลับของเหล่าเพื่อนๆ ทั้งสี่คน ก็ค่อนข้างทุลักทุเล กว่าจะกลับไปได้ สุดท้าย มาร์ค ก็พลัดหลงกับเพื่อนๆ
ตอนนั้นเหล่าเพื่อนของมาร์คก็คิดว่า ไม่น่าจะเป็นเรื่องใหญ่อะไร เดี๋ยวเราก็รอเพื่อนเดินออกมาแล้วค่อยเจอกันก็ได้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นตามที่คาดหวังไว้ มาร์คไม่ได้ข้ามสะพานกลับมาเลย
จนถึงตอนเช้า เหล่าเพื่อนๆ ก็ยังไม่พบว่ามาร์คกลับมา พวกเขาจึงได้เข้าแจ้งตำรวจและมาร์คก็ถูกลงทะเบียนให้เป็นบุคลสูญหายทันที สรุปแล้ว มาร์คเขาหายไปไหนกัน? ไม่มีร่องรอยหรือเบาะแสอะไรให้ตามตัวจนตำรวจและเหล่าเพื่อน ๆ ต้องมึนงงและสงสัยไปตามๆ กัน เพราะว่ามาร์คเอง ก็ไม่น่าจะเป็นคนที่เด๋อด๋าถึงขนาดที่ว่าเดินข้ามสะพานกลับมาไม่ได้ หรือว่ามาร์คได้ตัดสินใจที่จะไปเริ่มชีวิตใหม่ในเม็กซิโก? หรือเกิดอะไรไม่ดีบางอย่างเกิดขึ้นกับเขากันแน่?
เป็นเวลากว่าหนึ่งเดือนเดือนที่ทางตำรวจตามสืบ แต่คดีนี้ ไม่มีภาพกล้องวงจรปิดที่บันทึกไว้ได้ ไม่มีพยานหลักฐาน ไม่มีเบาะแสอะไรให้สืบต่อได้เลย
แต่แล้วโชคก็เริ่มเข้าข้างตำรวจ วันที่ 1 เมษายน หลังจากมาร์คหายตัวไปได้ 1 เดือน ได้มีชายคนหนึ่งชื่อว่า เซราฟิน เฮอนันเดช กาเซีย (Seraphin Hernandez Garcia) ที่ตำรวจได้สอบปากคำเขาจนได้เบาะแสถึงฟาร์มแห่งหนึ่งชื่อว่า ซานต้า เอเลน่า
สาเหตุที่เซราฟินเขาถูกตำรวจจับมาสอบปากคำก็เพราะว่า เขาถูกตั้งข้อสงสัยในคดีค้ายาเสพติด และตำรวจก็ต้องการปราบปรามพวกแก๊งค์ค้ายา แต่ตำรวจเองก็คาดไม่ถึงว่าคดีนี้ จะมีเบาะแสและข้อมูลของมาร์ค คิลรอย ที่หายตัวไป
เมื่อตำรวจ ได้นำกำลังเข้าจับกุมแก๊งค้ายาที่บ้านฟาร์ม หนึ่งในคนของแก๊งค์ได้บอกกับตำรวจว่าเห็น "กริงโก้" (ศัพท์แสลงที่พวกเม็กซิกันใช้เรียกคนอเมริกา คล้ายๆ กับการเรียกชาวต่างชาติว่าฝรั่งในบ้านเรา) ถูกมัดไว้ที่หลังรถของคนในแก๊งค์เมื่อหลายสัปดาห์ก่อน แต่ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาต่อจากนั้น แต่นั่นทำให้เซราฟินสารภาพบางอย่างออกมา
เซราฟินบอกกับตำรวจว่าไอ้กริงโก้หนุ่มคนนั้นน่ะ ตายไปแล้ว เพราะว่าเขาเป็นคนที่ช่วยในการลักพาตัวเขามาฆ่าเอง ซึ่งตอนที่เขาสารภาพนี้ ทางตำรวจก็ใช้เวลาไม่นานก็ปะติดปะต่อเรื่องราวของคำสารภาพนี้กับคดีคนหายของมาร์ค คิลรอยได้ทันที และเรื่องราวของคดีนี้ก็ยิ่งดำดิ่งลงสู่ความมืดขึ้นเรื่อยๆ
หลังจากที่สอบปากคำเซราฟินกว่าหลายชั่วโมง ทางตำรวจก็ได้เบาะแสหลายๆ อย่างมาจากเขา ทีแรกเราก็อาจจะคิดไปว่ามาร์ค น่าจะถูกสุ่มลักพาตัวแล้วนำไปฆ่า หรือว่าเขาอาจจะถูกพวกแก๊งค์ค้ายาจับตัวไป แต่ความจริงจากคำสารภาพของเซราฟินก็คือ มาร์ค ถูกจับไปโดยคนของลัทธิคุณไสยวูดู
ตัวของเซราฟินและเหล่าผู้ศรัทธาพวกนี้ นับถือในศาสนาหัวรุนแรงศาสนาหนึ่งในแอฟริกาที่ชื่อว่า พาโล มายอมเบ (Palo คือศาสนาแขนงหนึ่งของวูดู Mayombe เป็นเหมือนกับสาขาแยกออกมา เพราะมีทั้ง Palo Monte และพาโลอื่นๆ อีก) พวกเขาเชื่อว่า การสังเวยชีวิตของมนุษย์ จะช่วยอวยพรให้พวกเขาโชคดีมีชัย เจริญรุ่งเรืองขึ้น และได้รับการคุ้มครอง ซึ่งมันฟังดูบ้ามาก แต่ทางตำรวจก็พยายามเค้นถามถึงวิธีการที่พวกเขาจับคนไปสังเวยว่าเป็นอย่างไรบ้าง
เขาบอกกับตำรวจว่า ในการทำพิธีกรรม คนทำพิธีจะใส่หน้ากาก แล้วก็วาดลายสัญลักษณ์สีขาวลงบนตัวของผู้ที่ถูกสังเวย ซึ่งตัวมาร์คเอง ถูกทรมาณกว่าหลายชั่วโมง รวมไปถึงการทรมาณทางรูทวารอีกด้วย และเมื่อทำพิธีเสร็จ พวกเขาก็ได้ทำการตัดหัวของมาร์คออก แบะหัวออกมาและนำสมองไปต้มเพื่อทำสตูว์ เพื่อเป็นเครื่องสังเวย บูชาให้กับพระเจ้าที่เขานับถือ
ทีแรกตำรวจไม่ค่อยเชื่อในคำสารภาพสุดช็อคนี้ เพราะว่ามันเป็นวันที่ 1 เมษายน April Fool's ไอ้เซราฟิน เด็กของแก๊งค์ค้ายาคนนี้อาจจะแต่งเรื่องเพื่อหลอกตำรวจให้เสียเวลาไปตามสืบก็เป็นได้ ถ้าเป็นเราได้ฟังเรื่องนี้เองก็คงจะไม่ค่อยเชื่อคำสารภาพนี้เท่าไหร่เหมือนกัน แต่มันมีเพียงแค่เบาะแสนี้ สุดท้ายตำรวจก็ต้องตามสืบ พวกตำรวจจึงพาเซราฟินไปชี้พื้นที่ๆ มาร์คถูกฆ่า และก็เจอหลักฐานจริงๆ
ตำรวจได้พบกับสมองของคนในหม้อต้ม ซึ่งหม้อนี้เป็นหม้อที่พวกลัทธิวูดูใช้ทำยาคุณไสยมืด และร่างของมาร์ค ก็ถูกพบในหลุมศพตื้นๆ ไม่ห่างจากที่ทำพิธีนี้มาก เมื่อตรวจสอบศพดูก็ไม่พบกับหัวใจ ซึ่งน่าจะถูกตัด ดึงออกไปทำพิธีด้วย (หัวใจของเธอก็เช่นกัน) การสืบสวนหลังจากการค้นพบนี้ ก็ลงลึกเรื่อยๆ และพบว่า มาร์ค ไม่ใช่เหยื่อรายแรกของลัทธินี้
1
พื้นที่ทำพิธี ได้ถูกตรวจสอบอย่างละเอียด ทางตำรวจได้ขุดพบศพแล้วศพเล่า แต่ละศพก็มีร่องรอยการถูกทรมาณก่อนตาย และการทำพิธีสังเวยต่างกันไปในแต่ละศพด้วย ในกระท่อมใกล้ๆ กันนั้นก็พบพวกเครื่องรางของขลังเกี่ยวกับมนต์ดำ และมีรอยเลือดติดพวกเครื่องรางเหล่านั้น รวมไปถึงพวกข้าวของเครื่องใช้ของเหยื่อที่ถูกสังเวย ก็ถูกเก็บไว้ในกระท่อมนี้ด้วย สรุปรวมแล้วมีคน "อย่างน้อย" 60 คน ที่ถูกจับมาสังเวยให้กับลัทธิสุดสยองนี้
เห็นได้ชัดว่า ตัวเซราฟินเอง เป็นเพียงแค่ผู้ศรัทธาในลัทธิ ในศาสนา และมันก็ต้องมี "ผู้นำ" ด้วย ซึ่งผู้นำของลัทธินี้เป็นชายที่ถูกเรียกว่า เอล พาดริโน(แปลไทยคำนี้ว่า เจ้าพ่อ) ชื่อจริงเขาชื่อว่า อัลโดโฟ คอนสแตนโซ หมอผีที่ขึ้นชื่อในเรื่องการทำคุณไสยมนต์ดำมาอย่างยาวนาน และเขายังเป็นขี้ยาอีกด้วย
เป็นเวลากว่าหลายปี อัลโดโฟ ได้ทำธุรกิจเกี่ยวกับความเชื่อ ทำคุณไสย ให้กับพวกแกงค์ผู้มีอิทธิพล แกงค์ค้ายาต่างๆ ในพื้นที่ ผู้ใช้บริการของเขามีทั้งหัวหน้าแกงค์ค้ายารายใหม่ พวกแกงค์ในชุมชนเล็กๆ หรือนักธุรกิจระดับสูง ทำให้เม็ดเงินที่อัลโดโฟ ได้มาในจำนวนที่เยอะมาก โดยในทีแรก การทำพิธีก็จะเป็นแค่การสังเวยพวกสัตว์ต่างๆ เพื่อปัดเป่าภัยร้าย เสริมบารมี ให้ผีคุ้มครองอะไรก็ว่ากันไป และธุรกิจนี้ก็เติบโตอย่างรวดเร็ว
ไม่นานนัก แค่การสังเวยชีวิตสัตว์มันไม่น่าจะเพียงพอ เพราะว่าพลังเวทมนต์ของเขาได้เพิ่มพูนขึ้น ทำให้มันต้องใช้เครื่องเซ่นที่ต่างจากของเดิม ใช้ชีวิตสัตว์สังเวยไม่ได้แล้ว เพราะฉะนั้น มันต้องเป็นชีวิตของมนุษย์แทน ถึงจะเหมาะสมกับพลังอันแก่กล้า
เวลาผ่านไปเรื่อยๆ ไอ้ลัทธินี้ ก็ได้เข่นฆ่าคนไปอย่างมากมาย จับคนบริสุทธ์มาฆ่าเพื่อสังเวยทำพิธีกรรม ทรมาณด้วยหลากหลายวิธี เช่น ถลกหนังทั้งเป็น ซึ่งยิ่งทำไป อัลโดโฟ ก็เชื่อว่าพลังของเขาก็ยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆ และต้องการเครื่องสังเวยที่เฉพาะเจาะจงในการทำพิธีเพิ่มพลังของตัวเอง นั่นก็คือการนำ "กริงโก้" ที่ตายด้วยความโหยหวน มาเพิ่มพลังให้ตัวเอง และหวยเลยไปออกที่ มาร์ค คิลรอย
เรียกได้ว่ามาร์ค อยู่ได้ผิดที่ ผิดเวลาอย่างมาก ซวยแบบสุดๆ เพราะหลังจากที่มาร์คกับเพื่อนๆ กำลังเดินขึ้นสะพานกับเพื่อนๆ ไอ้พวกคนของลัทธิวูดูก็เห็นเหยื่อพอดี จึงได้พยายามสะกดรอยตามเพื่อหาโอกาสจับตัว และก็สบโอกาสจนได้ สุดท้ายก็ต้องสังเวยชีวิตให้กับความเชื่อบ้าๆ นี้
เมื่อลัทธิชั่วนี้ถูกเปิดโปง ตำรวจก็ตามจับตัว แต่ผู้นำลัทธิก็ไหวตัวทันและหนีไปยังเม็กซิโกซิตี้เพื่อซ่อนตัวเป็นเวลากว่า 2 เดือน แต่ตำรวจก็ตามเบาะแสเจอจนได้ เพราะเขาได้กระทำการโง่ๆ บางอย่างจนถูกเจอตัว
ตอนนั้น อัลโดโฟ น่าจะกำลังเมายาอยู่ เขาได้โยนเงินออกไปนอกหน้าต่างพาร์ทเมนต์ที่เขาหลบซ่อน แล้วพยายามใช้ปืนไล่ยิงคนที่จะมาเก็บเงินที่เขาโยน จนมีคนแจ้งความและตำรวจก็มาถึงเพียงไม่กี่นาที และพบว่าคนที่ทำโง่ๆ นี้ก็คือผู้นำลัทธิที่พวกเขากำลังตามหาอยู่
1
เกิดการยิงต่อสู้กันระหว่างตำรวจและผู้นำลัทธิกับเหล่าสาวกเป็นไปอย่างยาวนานเกือบหนึ่งชั่วโมง จนในที่สุดเขาก็ถูกยิงเสียชีวิต พลังแห่งเวทมนต์ดำไม่สามารถช่วยอะไรเขาจากกระสุนปืนได้เลย มีเหล่าสาวกบางคนก็ถูกวิสามัญในที่เกิดเหตุ และที่เหลือ 5 คน ถูกจับตัวไป และถูกดำเนินคดีให้ไปนอนคุกอย่างน้อยคนละ 60 ปี
และสุดท้าย คดีการหายตัวไปของ มาร์ค คิลรอย ก็ได้รับการคลี่คลาย แม้ว่าความจริงเบื้องหลังคดีนี้ ฟังดูเหมือนจะเป็นนิยายหรือเรื่องแต่งที่น่าเหลือเชื่อ แต่อย่างน้อย เหล่าเพื่อนๆ และครอบครัวของเขาก็ได้รับความยุติธรรม
เรื่องราวยังไม่จบ เพราะทางตำรวจเองคิดว่าน่าจะมีผู้ศรัทธา เหล่าสาวกของ อัลโดโฟ อยู่อีกเป็นจำนวนมากกว่านี้ ไม่น่าจะมีแค่กลุ่มเล็กๆ ที่ถูกจับได้ เพราะเขาค่อนข้างมีชื่อเสียงในเรื่องคุณไสยมนต์ดำอยู่แล้ว ทางตำรวจสันนิษฐานว่า น่าจะมีเหล่าสาวกกว่าอีก 90 ชีวิต ที่หลบซ่อนตัว ใช้ชีวิตอยู่ในสังคมรวมกับคนทั่วไป และอาจจะจับคนตามถนนในเม็กซิโกไปทำพิธีสังเวยอีกก็เป็นได้
ชอบเรื่องราวแบบนี้กันไหมครับ ถ้าชอบล่ะก็ อย่าลืมสนับสนุนได้ง่ายๆ ด้วยการกด Like กด Share และกดติดตามไว้ด้วย
พบกับเรื่องราวลึกลับจากทั่วโลก คดีแปลกๆ ปริศนาชวนขนหัวลุกที่ไม่ได้รับการไข และอื่นๆ อีกมากมายได้ที่เพจ Ordinary Mystery ปริศนาธรรมดาๆ ในโลกที่ไม่ธรรมดา
.
เนื่องจากได้รับผลกระทบจากโควิด
สามารถสนับสนุนผู้เขียนเป็นค่าข้าวได้ที่
.
พร้อมเพย์ - True Money
0972217753
อนิรุทธ์ เสริมสุข
.
เลขบัญชี 328-2-96012-3
ธนาคารทหารไทย TMB
อนิรุทธ์ เสริมสุข
Anirut Sermsuk
.
ขอบคุณทุกการสนับสนุนนะครับ
ถ้าหากข้อมูลผิดพลาดตรงไหน เรียบเรียงไม่ดียังไง มีคำผิดตรงไหน
คอมเมนต์ติชมได้ และจะน้อมรับไปปรับปรุงนะครับ
โฆษณา