2 ก.พ. 2021 เวลา 15:32 • หนังสือ
Part One : THE BET
Chapter 1
-- "All of this pulled me in different directions. It was as if, because of the very strangeness of my heritage and the worlds I straddled, I was from everywhere and nowhere at once, a combination of ill-fitting parts, like a platypus or some imaginary beast, confined to a fragile habitat, unsure of where I belonged. And I sensed, without fully understanding why or how, that I could stitch my life together and situate myself along some firm axis, I might end up in some basic way living my life alone."
- ครอบครัวโอบามา ไม่ใช่ครอบครัวการเมือง แต่จะคอยติดตามข่าวสารโดยรอบอยู่ตลอด “It’s part of being a well-informed citizen.” ยายของโอบามาพูด ส่วนใหญ่ครอบครัวจะให้ความสำคัญกับการทำงานมากกว่า ครอบครัวอาศัยอยู่ที่ฮาวาย แม่ของโอบามาค่อนข้างเป็นคนที่ full of strong opinions แต่สนไปในเรื่องพวกเชื้อชาติ เรื่องใกล้ตัวมากกว่าการเมือง
- ตั้งแต่เด็กที่โอบามาโตมาในอินโดนีเซียก็เห็นความเหลื่อมล้ำในสังคมต่างๆ
1
- ตอนเด็กๆเวลาโอบามาต้องติดแม่ไปทำงาน แล้วบ่นว่าเบื่อ แม่ก็จะไล่ให้ไปอ่านหนังสือ จนโอบามากลายเป็นคนที่อ่านหนังสือเยอะมากๆ ชอบอ่านหนังสือไปเลยแบบมากๆ "Not sure what I’d do with any of it, but convinced it would prove handy once I figured out the nature of my calling."
- โอบามาสนใจใน social movements แล้วก็เริ่มตั้งคำถามต่างๆว่าทำไมบางการเคลื่อนไหวถึงประสบความสำเร็จ ในขณะที่บางอันล้มเหลว
- หลังเรียนจบ โอบามาก็ไปทำงานในชิคาโก ทำงานกับพวกโบสถ์ในชุมชนที่พยายามจะกลับมาเข้มแข็งขึ้นอีกครั้งหลังจากโรงงานเหล็กถูกปิด ตรงนี้เองเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้โอบามาได้เริ่มรักการทำงานกับคนอื่น เพราะต้องพูดคุยและฟังความเห็น ความต้องการของผู้คนมากขึ้น “I noticed how people stood up a little straighter, saw themselves differently, when they learned that their voices mattered.“
- สุดท้ายก็ลาออก เพราะรู้สึกว่าที่ทำอยู่มันไม่พอ impact น้อย ต้องการสร้างความเปลี่ยนแปลงมากกว่านี้ เลยไปสมัครเรียนที่ Harvard Law School
- Harold Washington ได้รับเลือกเป็นผู้ว่าการรัฐผิวสีคนแรกของชิคาโก ทำให้โอบามาเริ่มอยากลงเล่นการเมือง รู้สึกมีความหวัง สัมผัสถึงความเป็นไปได้
- ในขณะที่เรียนอยู่ที่ Harvard โอบามาได้รับเลือกเป็น the first black head of the Law Review มีงาน offer เข้ามามากมาย เงินเดือนดีๆ แต่ตั้งคำถามกับตัวเองว่ามันเร็วไปที่จะเข้าสู่กับดักคนทำงานกินเงินเดือน
Chapter 2
- โอบามาเจอมิเชลที่บริษัทกฎหมายในชิคาโก เพราะมิเชลได้รับมอบหมายให้เป็นพี่เลี้ยงคอยดูแล ทั้งคู่ก็ไปกินข้าวกัน เริ่มสนิทกัน คุยกันเรื่องงานจนถึงวันนึงที่คุยกันทุกเรื่อง
-- "Life with me promised Michelle something else, those things that she saw she had missed as a child. Adventure. Travel. A breaking of constraints. Just as her roots in Chicago — her big, extended family, her common sense, her desire to be a good mom above all else — promised an anchor that I’d been missing for much of my youth."
- ทั้งคู่แต่งงานกันในต้นเดือนตุลาคม ปี 1992 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีพอดี โอบามาเลยเข้าร่วมทำงานกับ Project VOTE! ในตอนนนั้นมิเชลก็ทำงานเป็นผู้บริหารให้กับองค์กรไม่แสวงหากำไรสำหรับผู้นำเยาวชนที่เรียกว่า Public Allies
- ต่อมาในปี 1995 โอบามามีโอกาสที่จะลงสมัครตำแหน่งในวุฒิสภา เพราะ Alice Palmer ที่ดำรงตำแหน่งอยู่ในขณะนั้น กำลังจะไปสมัครอย่างอื่นแทน แล้วตำแหน่งนี้ก็จะว่างลง (ถ้าเธอชนะอันใหม่นะ) ทั้งนี้ทั้งนั้นเธอก็รับปากและสัญญากับโอบามาแล้วว่าไม่ว่าเธอจะแพ้หรือชนะตำแหน่งใหม่ เธอก็จะไม่เอาตำแหน่งในวุฒิสภาอันเดิมแล้วแน่ๆ ให้วางใจได้ว่าโอบามาสมัครได้เลยโดยไม่มีอะไรต้องกังวล
- ตอนนั้นเองที่แม่ของโอบามาได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งที่มดลูก
- ต่อมา Alice Palmer แพ้การเลือกตั้งในตำแหน่งใหม่ที่เธอสมัคร และแล้วเธอก็กลับคำพูดหันมาสมัครตำแหน่งเดิมในวุฒิสภาแข่งกับโอาบามาซะงั้น แต่สุดท้าย Alice ก็ถอนตัวเพราะทีมโอบามาไปร้องเรียนเรื่องความไม่สุจริตในการลงสมัครของเธอในการล่ารายชื่อผู้สนับสนุน และโอบามาก็ได้ตำแหน่งวุฒิสมาชิกไปในที่สุด
- ต่อมาไม่นานแม่โอบามาก็เสีย ซึ่งโอบามาไปดูใจไม่ทัน เพราะมัวแต่ทำงานที่คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญ นี่คือสิ่งที่โอบามารู้สึกผิดมาก
- ปี 1997 โอบามาและมิเชลก็ให้กำเนิดลูกสาวคนแรก ชื่อ Malia
- เค้าทั้งสองเริ่มทะเลาะกันมากขึ้น เพราะมิเชลเองก็ทำงาน และยังต้องกลับมาทำงานบ้าน รู้สึกว่าตัวเองเหนื่อยแทบหมดแรงในแต่ละวัน ในขณะที่สามีออกไปทำงาน สุดท้ายมิเชลก็ถามโอบามาจริงจังว่าที่ทำอยู่นี่คุ้มมั้ย แต่แทนที่โอบามาจะหยุด กลับเอาคำถามนั่นไปคิดต่อว่าการที่เค้าออกไปทำงานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว งานเหนื่อยแต่ได้ผลงานไม่คุ้ม แปลว่างานที่ทำอยู่ไม่ impact พอ (again) เลยตัดสินใจไปสมัครตำแหน่งในรัฐสภาซะเลย แต่สุดท้ายก็แพ้เพราะโอบามาไม่ได้เป็นที่รู้จักขนาดนั้น และลูกชายของคู่แข่งก็ดันถูกยิงตายในช่วงการหาเสียง ฝั่งนั้นเลยได้รับคะแนนความสงสารไปเต็มๆ ซึ่งโอบามาแพ้ไปเพียงสามสิบคะแนน
Chapter 3
- อีกไม่ถึงสามปีให้หลัง โอบามาและมิเชลก็มีลูกสาวอีกคน ชื่อ Sasha
- หลังจากแพ้การเลือกตั้งไปในครั้งล่าสุด โอบามาก็ดูเหมือนจะหยุด และหันมาให้ความสนใจและใช้เวลากับครอบครัวมากขึ้น ย่างก้าวในชีวิตดูสงบขึ้น ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง คิดไปถึงว่าหลังหมดงานในตำแหน่งวุฒิสมาชิก ก็คงไปโฟกัสการสอนหนังสือ และเขียนหนังสือเต็มเวลา แต่สุดท้ายด้วยความที่เป็นโอบามา ที่ต้องการจะลงในสนามการเมืองไม่ใช่เพราะต้องการอำนาจ ชื่อเสียง แต่ต้องการจะเปลี่ยนแปลง ขุดรากถอนโคนถึงต้นตอปัญหาทั้งหมดของอเมริกาจริงๆ ในที่สุดโอบามาก็ตัดสินใจลงสมัครตำแหน่งวุฒิสมาชิกของสภาระดับประเทศ ไม่ใช่ที่ผ่านมาที่เป็นเพียงระดับรัฐ Illinois อีกต่อไป ซึ่งนี่ถือเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายสำหรับทั้งโอบามาและมิเชลเอง ว่าถ้าสำเร็จก็ไปต่อ ถ้าพ่ายแพ้ก็จะยุติบทบาททางการเมืองเพียงเท่านี้จริงๆ แต่ขอให้อันนี้ได้เป็นสนามสุดท้าย ได้ลองทำในสิ่งที่ต้องการจริงๆอีกสักครั้ง
-- "I realized, our politics would never truly change. It would always be too easy for politicians to feed the stereotypes that pitted Black against white, immigrant against native-born, rural interests against those of cities. Ultimately wasn’t this what I was after — a politics that bridged America’s racial, ethnic, and religious divides, as well as the many strands of my own life? Maybe I was being unrealistic, maybe such divisions were too deeply entrenched. But no matter how hard I tried to convince myself otherwise, I couldn’t shake the feeling that it was too early to give up on my deepest convictions. Much as I’d tried to tell myself I was done, or nearly done, with political life, I knew in my heart that I wasn’t ready to let go."
- ในแคมเปญนี้ โอบามาเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการขึ้นพูดของเค้าครั้งหนึ่งว่าตัวเค้าไม่ได้ต่อต้านสงครามทุกประเภท แต่สิ่งที่เค้าต่อต้านคือสงครามที่โง่เง่า แล้วอธิบายต่อว่าแม้สงครามในอิรักตอนนี้ อเมริกาเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่ก็แลกมาด้วยความยืดเยื้อ ต้นทุนที่สูง และผลกระทบตามมาที่ยากจะคาดเดา นอกจากนี้ทีมโอบามาก็ยังมีการปล่อยโฆษณาแคมเปญที่จบด้วยสโลแกน Yes we can ที่โอบามาหันมาพูดกับกล้องในตอนจบ ทั้งหมดทั้งมวลทำให้เค้าเป็นที่รู้จักมากขึ้น และได้เงินสนับสนุนมากขึ้นเป็นเท่าตัว ในที่สุดเค้าก็ชนะการเลือกตั้ง และได้ตำแหน่งวุฒิสมาชิกมาครองโดย based อยู่ที่กรุงวอชิงตัน
- นอกจากนี้ยังมีเวทีที่โด่งดังที่ถือเป็นสุนทรพจน์ปูทางให้โอบามาก้าวขึ้นเป็นประธานาธิบดีเลย นั่นก็คือ 2004 convention speech
- 2 สิ่งสำคัญสำหรับโอบามาระหว่างดำรงตำแหน่งก็คือตอนที่เกิดพายุแคทรินาถล่ม โอบามาก็ไปเยี่ยมผู้ประสบภัย พร้อมเจอความจริงที่ว่าคนผิวสีส่วนใหญ่ถูกปล่อยปะละเลยก่อนที่จะมีเฮอริเคนเสียอีก คนพวกนี้ไม่มีแม้แต่ประกันหรือเงินเก็บ พวกเขาอพยพไม่ได้เพราะไม่มีรถ และมีพ่อแม่ที่ป่วยหนักเกินกว่าที่จะเคลื่อนย้าย โอมามาเลยคิดได้ว่าการเมืองระดับประเทศแม่งก็เหมือนเดิม คนที่ถูกลืม เสียงที่ถูกลืมมีอยู่ทุกที่ ถูกละเลยโดยรัฐบาล ที่ทำเป็นตาบอดมองไม่เห็นความต้องการของประชาชน (อ่าว เชี่ย คุ้นเฉย) อีกสิ่งหนึ่งก็คือตอนที่โอบามามีโอกาสได้ไปดูงานที่อิรัก ก็ได้เห็นว่ามีเด็กหนุ่มอเมริกันมากมายที่ถูกส่งไปเป็นทหารสู้รบอยู่ที่นั่น เหมือนไปตายฟรี ซึ่งทั้งหมดนี่เป็นผลมาจากคนไม่กี่คนที่รีบตัดสินใจเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาดและรีบก้าวสู่สงครามซะงั้น โอบามาเลยรู้สึกว่าความเปลี่ยนแปลงต้องมาได้แล้ว ต้องเกิดแบบรวดเร็วด้วย เพราะงั้นเค้าต้องตัดสินใจว่าเค้าจะต้องอยู่ในบทบาทไหนเพื่อจะได้นำความเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วมาให้ได้ (ฮึกเหิม)
Chapter 4
- เมื่อโอบามาเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็มีคนคอยเข้ามาบอกเค้าอยู่เสมอว่าครั้งแรกที่พวกเขาได้ฟังโอบามาพูดในทีวี พวกเขาก็รู้ทันทีว่าคนนี่แหละคือ ประธานาธิบดีคนต่อไป ต่อมาในปี 2006 ความคิดที่จะลงสมัครประธานาธิบดียังคงดูเป็นไปได้ยาก แต่ไม่ใช่เป็นไปไม่ได้อีกต่อไป
- หลังจากนั้นก็มีนักการเมืองอาวุโสคนสำคัญหลายคนที่เรียกโอบามาเข้าไปคุย และโน้มน้าวให้เค้าคิดลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดีจริงจังสักที คนเหล่านั้นได้บอกโอบามาว่า
-- "You get people motivated, especially young people, minorities, even middle-of-the-road white people. That’s different, you see. People are looking for something different. Sure, it will be hard, but I think you can win."
-- "The power to inspire is rare. Moments like this are rare. You think you may not be ready, that you’ll do it at a more convenient time. But you don’t chose the time. The time chooses you. Either you seize what may turn out to be the only chance you have, or you decide you’re willing to live with the knowledge that the chance has passed you by."
- แต่ในขณะเดียวกัน มิเชลพยายามไม่สนใจกับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตอนนี้ เธอถึงกับหยุดดูข่าวการเมืองไปเลยด้วยซ้ำ มิเชลเคยพูดกับโอบามาสมัยแต่งงานกันแรกๆว่า "It‘s like you have a hole to fill. That‘s why you can’t slow down."
- สุดท้ายเค้าและทีมงานก็ตัดสินใจเดินหน้าต่อ วางแผนแคมเปญต่างๆให้ออกมาเพอร์เฟคที่สุด เพราะคู่แข่งคนสำคัญคือ Hillary Clinton ที่เปรียบเหมือน national brand เลยทีเดียว ทีมงานของโอบามาเองก็มีการเตือนว่างานนี้เหนื่อยหนักมาก ทุกอย่างจะไม่มีอะไรน่าพิสมัยเลย เป็นบททดสอบความเครียดขั้นรุนแรง ทุกสิ่งจะบ้าคลั่งในหนทางการเตรียมตัวลงสมัครประธานาธิบดีนี้
- ระหว่างนั้นโอบามาก็มีโอกาสไปกินข้าวกับ Craig พี่ชายของมิเชล Craig สนับสนุนโอบามา และบอกว่าเดี๋ยวจะไปช่วยคุยกับมิเชลให้ หลักๆคือมิเชลไม่ชอบเห็นคนรักผิดหวัง พ่ายแพ้ หรือเจ็บปวด ซึ่ง Craig บอกว่าจะลองไปคุยให้มิเชลเห็นภาพใหญ่กว่านี้
- วันนึงก่อนโอบามาและมิเชลจะเดินทางไปพักผ่อนที่ฮาวาย ทีมงานก็เรียกประชุมสุดท้าย เพื่อดูว่าสรุปโอบามาจะตัดสินใจลงสมัคร หรือไม่ไปต่อ ในประชุมนั้นมิเชลก็นั่งฟังอย่างอดทน (ปนทรมาน) ก่อนที่จะถามโพล่งขึ้นว่า ที่โอบามาบอกว่ามีคู่แข่งที่มีความสามารถมากมายในการเป็นประธานาธิบดี และโอบามายังบอกด้วยว่าถ้าตัวเองชนะ โอบามาจะสามารถให้บางสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถให้ได้ ไม่อย่างนั้นก็จะไม่คุ้มที่ลงสมัคร งั้นคำถามที่ฉันจะถามคุณคือ ทำไมต้องเป็น "คุณ?" และนี่คือคำตอบของโอบามาที่ทุกคนในที่ประชุมนั้นบอกว่าเป็นการเตรียมตัวและบททดสอบอย่างดีเยี่ยมสำหรับสิ่งต่างๆที่กำลังจะเกิดขึ้นในหนทางข้างหน้า
-- "There’s no guarantee we can pull it off. Here’s one thing I know for sure, though, I know that the day I raise my right hand and take the oath to be president of the United States, the world will start looking at America differently. I know that kids all around this country — Black kids, Hispanic kids, kids who don’t fit in — they’ll see themselves differently, too, their horizons lifted, their possibilities expanded. And that alone...that would be worth it."
โฆษณา