2 ก.พ. 2021 เวลา 15:52 • ไลฟ์สไตล์
เขียนแบบนี้ไงถึงไม่มีใครอยากจะอ่าน โดย Blogger ตัวร้าย
ที่หน้าตาละม้ายคล้าย ณเดช อร้าย!!
เขียนแบบนี้ไงถึงไม่มีใครอยากจะอ่าน โดย Blogger ตัวร้าย ที่หน้าตาละม้ายคล้าย ณเดช
.
หลายๆ คนอาจแปลกใจว่า
ทำไมคอนเทนต์ที่เราทำแต่ละครั้ง
ถึงได้ไม่มีคนให้ความสนใจ
เหมือนกับคอนเทนต์ของคนอื่นๆ
ทั้งๆ ที่บางครั้งแล้ว สิ่งที่เราทำ สิ่งที่เขาทำ
นั้นเป็นคอนเทนต์เดียวกันแท้ๆ …
.
หยุดเลยครับ ไม่ต้องทำหน้าตาน้อยใจชะตาชีวิตขนาดนั้น
ไม่ต้องตั้งท่าจะกลืนหมากฝรั่งฆ่าตัวตายก็ได้...
.
ตรงนี้ลองนึกกันดูดีๆ นะครับ
ตอนที่กำลังเล่นโทรศัพท์อยู่นั้น
ทุกคนกำลังทำอะไรอยู่บ้าง?
.
กำลังติดตามข่าวสารดราม่า
กำลังพูดคุยกับเพื่อนใหม่ๆ
กำลังส่องสาวหุ่นดีสุดเซ็กซี่
(โอเค!! อันนี้ผมเองก็ได้ เชอะ!)
.
นี่คือเราที่กำลังจมอยู่กับเนื้อหาคอนเทนต์มากมาย
ไม่ว่าจะเป็นภาพสวยๆ บทความดีๆ คำคมเท่ๆ
วิดิโอร้องเพลง ข้อมูลการลงทุนหุ้นต่างๆ
หรือแม้แต่กระทั่งบทความแนวพัฒนาตัวเอง
.
เป้าหมายของคนทำคอนเทนต์ต่างๆ นั้น
คือการทำให้ตัวคนที่กำลังเล่นโทรศัพท์นั้น
หยุดทำกิจกรรมทั้งหลายที่ว่ามาตรงนี้
แล้วไปให้ความสนใจกับคอนเทนต์ของเรานะเอง
.
รู้ไหมครับว่า ผู้อ่านเลือกตัดสินที่จะอ่านบทความอย่างไร
คำตอบนั้นง่ายมากๆ เลยครับ หัวข้อบทความ หรือ Headline นั่นเอง
.
ในส่วนของ Headline นั้น ต้องมีความเตะตาเป็นอย่างมาก
ซึ่งถ้าเกิดเราคิดและทำออกมาได้ไม่ดีนั้น
แน่นอนว่าคนส่วนมากก็จะทำเพียงแค่เลื่อนผ่านไปนั้นเอง
.
ยกตัวอย่างเช่นภาพเกร่อๆ ที่เอามาจากกูลเกิ้ล
หรือการเขียนอัดเนื้อหาไปเลย โดยที่ไม่มีอะไรดึงดูด
ในส่วนของเราแล้วนั้น ภาพปก นั้นก็ถือว่าเป็น Headline เช่นกัน
2
.
ถ้าแบบนั้นแล้ว เราจะต้องทำยังไงละ
ถึงจะมี Headline ที่ดีขึ้นได้
ถึงจะมีคนสนใจบทความของเรามากขึ้น
.
วันนี้ Blogger ตัวร้ายแล้ว มีเทคนิคแบบสำเร็จรูป
ซึ่งไม่ต้องรอให้ครบ 5 นาที รวดเร็วกว่ามาม่า
ก็สามารถนำไปใช้ได้เลย ซึ่งได้ผลแน่นอน!!
.
1. ต้องการจะเขียนให้กับใครอ่าน? แล้วคนเหล่านั้นมีปัญหาอะไร?
.
การเขียนคือการสื่อสารประเภทนึง เมื่อมีผู้ส่งก็จำเป็นจะต้องมีผู้รับ
เพราะอย่างนั้นเราจะต้องรู้ก่อนว่า สิ่งที่เรากำลังจะเขียนนั้น
เขียนให้กับคนแบบไหน หรือกำลังมีปัญหาแบบใด?
.
อย่าพึ่งตอบว่าเขียนให้ใครอ่านก็ได้นะ เดียวยิกพุงซะเลย
เล็บผมยาวนะเออ
.
ในบทความของผมที่กำลังเขียนนี้
กำหนดเป้าหมายมาว่า คือผู้ที่กำลังต้องการหัดเขียนบทความ
ซึ่งปัญหาของคนเขียนบทความแทบจะทั้งหมด 100%
คือการที่เขียนแล้วไม่มีคนเข้ามาอ่าน…
แน่นอนว่าตัวผมก็มีปัญหานี้เหมือนกัน
.
ไม่นับรวมคนเทพจัดๆ นะครับ...
บางทีหลักสูตรเหล่านี้ก็อาจไม่จำเป็นเสมอไป..
แต่ระดับคนเดินดินกินข้าวแกงอย่างเราอาจจำเป็นครับ
.
ทุกคนจะสังเกตว่า คอนเทนต์ของผมในปัจจุบัน
จะเป็นเรื่องของการแก้ไขปัญหาในการเขียน
และช่วยเหลือในการทำคอนเทนต์แบบล้วนๆ
.
เพราะฉะนั้นควรกำหนดให้แน่ใจชัดออกมาเลยว่า
คนที่จะมาเสียเวลาของคอนเทนต์เรานั้น
เขาจะได้ผลประโยชน์อะไรกลับไปบ้างนั่นเอง
.
อย่างของผมได้รู้วิธีการเขียนเล่าเรื่องที่ดีขึ้น
…. เดียวเถอะ อย่ามองด้วยสายตาแบบนั้นสิ..
มันก็ช่วยได้นิดๆ หน่อยๆ ละน่า…
.
2. ตั้งชื่อ Head line แบบสำเร็จรูปให้เน้นเรื่องของผลลัพธ์ที่ได้เอาไว้ก่อน
.
ที่ผมต้องใช้คำว่าสูตรสำเร็จรูป
เพราะมันเป็นเทคนิคที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
ถึงแม้จะดูซ้ำๆ และมีความเป็น Clickbait ที่ค่อนข้างสูง
แต่ก็ยังได้ผลอยู่ดี…
สูตรสำเร็จที่ว่านั้นคือแบบนี้ครับ
.
7 วัน เปลี่ยนหุ่นหมูเป็นหุ่นเพรียว
7 อย่าง ที่คุณต้องรู้ก่อนเป็น youtuber
5 ขั้นตอน เปลี่ยนสาวสุดจืดให้เป็นสาวสุดแซ่บ
.
ขั้นตอนวิธีการทำ + ผลลัพธ์ที่จะได้
พูดง่ายๆ คือให้ทำการโฟกัสที่ผลลัพธ์เอาไว้ในหัวข้อไว้ก่อน
.
เพื่อที่ผู้อ่านจะได้เข้าใจได้ทันทีว่า เขากำลังจะได้อะไรไป
ซึ่งถ้าเกิดผลลัพธ์มันเป็นสิ่งที่เขาต้องการ
ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะทำให้เขาไม่หยุดอ่านครับ
อย่างเช่นถ้าเกิดผมทำหัวข้อเอาไว้ว่า
ทำบล็อกดิด 1 อาทิตย์ ให้มีผู้ติดตามมากกว่า 1 พันคน
แบบนี้ก็ดูน่าสนใจไม่เลว
.
ใช่ ถ้าเกิดผมทำได้ละนะ… พูดแล้วก็เศร้า
ขอตัวเดินไปนั่งทำเอ็มวีในห้องน้ำแปปนะ
.
3. ทำให้คนอ่านสงสัยเข้าไว้
.
อันนี้เป็นเทคนิคที่ผมชอบเป็นอย่างมาก
อย่างหัวข้อของบทความนี้นั้น
ก็ใช้เทคนิคนี้ในการคิดเพื่อให้คนอ่านสงสัย
.
เขียนแบบนี้ไงถึงไม่มีใครอยากจะอ่าน…
แล้วเขียนแบบไหนอะ? มันถึงไม่อยากมีคนอ่าน?
.
อันนี้ต่อให้เป็นคนที่เขียนแล้วมีคนอ่าน
ก็ยังรู้สึกสนใจและอยากจะลองกดเข้ามาอ่านเลยครับ
.
ตรงนี้มันเป็นเรื่องกลไกของสมองครับ
ว่ากันว่ามนุษย์เป็นสัตว์ขี้เฝือกมากที่สุดในโลก
สมองของเรานั้น มันจะต้องอยากรู้อยากเห็นไปเสียหมด
.
ลองนึกถึงเหตุการณ์ง่ายๆ อย่างว่า
เพื่อนของคุณเดินเข้ามาหาแล้วพูดกับคุณว่า
เฮ้ย แกๆ ฉันมีเรื่องแซ่บๆ จะมาเมาท์ให้ฟังแหละ..
.
อันนี้ต่อให้ผมไม่ใช่เพื่อนที่จะมาเล่าให้ฟัง หรือเป็นคนข้างๆ โต๊ะ
ได้ยินแบบนี้ก็อยากเสือกอยู่ไม่ใช่น้อยครับ 555+
.
อ่าาาา แย่จังเลยน้า เอาเรื่องจริงมาล้อเล่นอีกแล้ว...
.
4. ใช้ตัวเลขเข้าช่วยให้การเรียกร้องความสนใจ
.
ในหัวข้อที่หนึ่ง ทุกคนจะได้เห็นตัวอย่างที่ผมเขียนเอาไว้แล้ว
สงสัยไหมครับว่าทำไมถึงต้องมีตัวเลขผสมอยู่
.
7 วิธีเอย... 7 ขั้นตอนเอย…. 3 ตัวช่วยเอย…
.
จากผลของการวิจัยแล้วบอกเอาไว้ว่า
คนมีแนวโน้มจะสนใจกับอะไร
ที่สรุปออกมาให้แล้วอย่างชัดเจน
บอกมาเลยต้องกี่วัน ฉันถึงจะผอมได้อย่างใจนึก
.
เป็นที่ว่าของการตั้งชื่อหัวข้อว่า 7 วัน เปลี่ยนหุ่นหมูเป็นหุ่นเพรียว
คือพูดง่ายๆ ก็คือให้ใช้ตัวเลขในการเปิดชื่อของบทความ
เพื่อการเรียกร้องความสนใจที่ดีขึ้น
.
เอาไปอีกสัก 2 ตัวอย่าง ที่เรามักจะพบเห็นได้บ่อยๆ
.
5 อย่าง ที่คนรวยๆ เขาทำกันในตอนเช้า ลองดูสิ
7 อาหารลดความอ้วน รับประกันผลภายใน 1 เดือน!
.
อะไรแบบนี้เป็นต้น แต่เอาจริงๆ ส่วนตัวนั้น
ผมค่อนข้างคิดว่ามันเป็นอะไรที่ไร้รสนิยมมากเกินไปหน่อย
เพราะว่ามันดูซ้ำๆ และคนก็ใช้กันทั่วไปหมด
.
แต่ถึงแบบนั้นผมก็ยังใช้อยู่ดี
ทำไงได้ก็มันง่ายนี่น้า
.
ต่อมาเมื่อเราทำให้คนสนใจแล้วกดเข้ามาได้แล้ว
สิ่งต่อที่เราจะต้อง ก็คือการคุยกับผู้อ่านครับ
อือ? ตรงนี้คงไม่ค่อยมีใครเป็นปัญหามั้ง?
.
แต่มันยังไม่ใช่เนื้อหานะครับ ในส่วนนี้อาจเป็นการเกริ่น
.
จังหวะนี้ใครปาเนื้อหาอัดใส่เลย จะเป็นอะไรที่แย่มากๆ นะครับ
เพราะเขาแค่สนใจ แต่ยังไม่เชื่อว่าเราจะสามารถแก้ไขให้ได้จริงๆ
.
โดยรวมๆ แล้วเราจะเรียกกันว่า Sub Headline
เราจะต้องทำการเสนอปัญหาให้กับผู้อ่านครับ
ยกตัวอย่างจากรายการ Tv Direct Sale กันอีกสักรอบ
.
คุณกำลังประสบปัญหาเขียนบทความแล้วไม่มีคนอ่าน ใช่หรือไม่?
ผมเคยทำอะไรโง่ๆ จากการยิงบูสต์โฝสกว่าวันละ 1 พันบาท
แต่กลับไม่ได้ผู้ติดตามมาแม้แต่คนเดียว
จนกระทั่งผมมาเรียนรู้วิธีการเขียน Head line ชีวิตของผมเปลี่ยนไปทันทีเลย
.
นั้นหมายความว่า วิธีการนี้นั้นดีกว่าการลงทุนที่ใช้เงินอีกนะสิ
อันนี้เครียสกันก่อนนะ .. มันแล้วแต่ไดอะล๊อกของเว็บที่เราเล่น
อย่างบ้านที่เราอยู่ตอนนี้ เขาค่อนข้างดันนักเขียนพอสมควร
ถ้าไปอยู่บ้านอีกหลัง มีความจำเป็นจะต้องจ่ายเงินเพื่อสู้ Ad อยู่ดีครับ
.
หรือเราจะยกตัวอย่างบุคคลที่ 3 ขึ้นมาสักเหตุการณ์ก็ได้นะครับ
เนี่ยป้าข้างบ้านกินโซดาผสมน้ำผึ้งมะนาว หายเป็นมะเร็งภายใน 3 เดือนเลย
.
ใช่ที่ไหนละ!
.
เป็นไงละ … ไม่มีใครคิดว่าผมจะเล่นมุกได้โง่ขนาดนี้ใช่ไหม
โอเคไปต่อ
.
สรุปง่ายๆ หลังจากที่ Headline ของเราทำให้เขาสนใจอยากจะอ่านได้แล้ว
Sub Headline ของเรานั้น จะต้องทำให้เขาเข้าใจได้ว่า
เรากำลังจะช่วยแก้ไขปัญหาของเขาได้อย่างไร?
.
ผมเคยไปรักษาที่โรงพยาบาล หมดเงินไปมากกว่า 1 แสนบาท
เจอโซดามะนาวเข้าไปแก้วเดียว ผมดีขึ้นภายในทันทีอย่างไม่น่าเชื่อเลย
.
โอเค ผมขอโทษ.. จะไม่เล่นมุกโง่ๆ อย่างโซดามะนาวอีกแล้ว…
.
5. เล่าเนื้อหาอย่างมีชั้นเชิง
.
ต่อจากนี้ไปก็เป็นเรื่องของการนำเสนอคอนเทนต์ของแต่ละคนแล้ว
ว่ามีเทคนิคในการเล่า และเชิงในการนำเสนออย่างไรบ้าง
แต่แน่นอนว่าถ้าเกิดผ่านใน 2 ขั้นตอนแรกมาแล้วนั้น
มีแนวโน้มว่าเขาจะอ่านจนจบเยอะมาก
หากเขาไม่เบื่อกับการเขียนโม้เหม็น
และยืดยาวเหมือนกับผมไปซะก่อน
.
บางคนเล่าโดยฟิลลิ่งใช้อารมณ์เป็นหลัก
บางคนมาแนววิชาการน่าเชื่อถือ
บางคนมาแนวตลกฝืด ที่คนอ่านต้องจำใจอ่านให้จบ
เออะ… อันที่ 3 นี้ดูคุ้นๆ ดีแหะ..
.
ผมแนะนำว่าให้ไปอ่านหนังสือ บทความ
ของนักเขียนที่เราชื่นชอบ
แล้วค่อยทำการวิเคราะห์ว่า
คนเหล่านี้มีเทคนิคในการเขียนอย่างไร
แล้วนำมาปรับปรุงใช้กับงาน
.
6. บอกให้เขาทำในสิ่งที่เราต้องการแบบง่ายๆ
.
ในส่วนนี้ที่ผมจะชอบทำอยู่เสมอๆ
นอกเหนือไปจากการทบทวนเนื้อหา
คือการคุยกับผู้อ่านแบบตรงๆ
เป็นไง สนุกไหม ได้สาระไหม ตลกบ้างไหม?
.
ถ้าจังหวะนี้หากผมกำลังจะขายอะไรอยู่
ผมก็จะเสนอให้กับผู้อ่านทันทีเช่น
.
หากใครที่อยากจะเรียนคอสสอนการเขียนให้น่าสนใจ
Copy Writer ก็สามารถติดต่อผมมาที่หลังไมค์ได้เลย
จากราคาเต็มทั้งหมด 2,999 บาท ผมลดให้เหลือ 500 บาท
ทันทีเลยเฉพาะเพียงแค่ 100 ท่านแรก
.
อันนี้ไม่ต้องทักมาจริงๆ นะครับ งานผมมันก็กระดากซากอ้อย เสียเงินเปล่า
แค่เขียนบทความทำเป็นเก่งอยู่ทุกวันนี้ ก็เขิลจะแย่อยู่แล้ว
.
แต่ถ้าเกิดในจังหวะนี้แล้วนั้น ผมจะชอบปิดด้วยตัวอย่างแบบนี้..
.
หากใครคิดว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ต่อท่าน
ก็ฝากช่วยทำการกด Like กด Share กด Follow
เพื่อเป็นกำลังใจช่วยเหลือ Blogger ตัวร้าย
ในการสร้างสรรค์ผลงานต่อไปด้วยเถอะ
.
อืม… เนียนใช้ได้ 5555+
.
อะไรนะ รีวิวหนังสือหรอ เวงเอยผมลืมอะ!!
หือ ไม่ต้องเขียนรีวิวแล้วหรอ?
จะบ้าหรอผมเริ่มหมดมุกแล้วนะ
เขียนรีวิวเนี่ยแหละง่ายสุดแล้ว
.
ถ้าไม่ให้เขียนรีวิว ก็ไม่มีมุกอะไรให้เขียนแล้วเฟร้ย!
1
โฆษณา