3 ก.พ. 2021 เวลา 04:13 • ประวัติศาสตร์
สำหรับคนทั่วไป
เมื่อกล่าวถึงการถือศีล
มักนึกถึงการ ‘แกล้งดี’ ชั่วคราว
แต่สำหรับคนที่เข้าใจ
เมื่อนึกถึงการถือศีล
จะนึกถึงการ ‘มีจิตดีจริง’ ไปจนตาย
ที่เข้าใจ เข้าใจว่าอย่างไร?
เข้าใจตามที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ทราบว่า
ผลของการถือศีล
คือ การไม่ต้องเดือดเนื้อร้อนใจ
และเป็นสมาธิง่าย
ผลลัพธ์ของศีล
รู้เฉพาะตน
บอกต่อด้วยปากได้
แต่เอาจิตไปแสดง
ให้โลกรู้ตามด้วยตาเปล่าไม่ได้
เมื่อศีลสะอาด
ใจจะไม่ว้าวุ่น
พร้อมรู้ อย่างไม่เบี้ยวบิดผิดเพี้ยน
พร้อมสว่าง อย่างเห็นอะไรชัด
และพร้อมทน อย่างไม่หวั่นไหวง่าย
นั่นเพราะอะไร?
เพราะโลกเต็มไปด้วย
เรื่องยั่วยุให้ผิดศีลอยู่ไม่เว้นแต่ละวัน
เมื่อใจเราตั้งไว้แล้วว่าจะไม่ผิด
ก็เท่ากับเข้าสนามรบ
สู้กับกิเลสตัวเอง
ซึ่งเป็นสนามรบที่ชนะยาก
ต้องมีสติเตือนตัวเอง
ต้องมีขันติกับด่านหิน
ต้องมีโฟกัสกับเป้าหมาย
คือ เอาจิตที่สะอาดมาทำสมาธิง่ายๆ
ถือศีลแรกๆ
ใจอาจหนัก ปั่นป่วน เป็นทุกข์
เพราะไม่ได้อย่างใจ
ถือศีลสักพัก
ใจอาจลังเล สับสน
จะไปต่อหรือถอยหลังดี
ถือศีลสำเร็จ
ใจเป็นปกติอยู่กับศีล
รักศีล เหมือนคนรักบ้าน
ต้องการให้บ้านสะอาด
และหอมอยู่ตลอดเวลา
จิตที่เป็นศีลเองโดยไม่ฝืนนั่นแหละ
ว่างจากความวุ่น
สว่างโล่งไร้มุมมืด
อีกนิดเดียวเกือบเป็นสมาธิแล้ว
รู้สึกดีแสนดี
โดยไม่ต้องหาเหตุผลว่า
จะดีไปทำไมแล้ว!
โฆษณา