พอดแคสนี้ จะเป็นการปูพื้นแบบ "เริ่มต้น" สำหรับทุกท่านที่ยัง สับสน งุนงง กับคำว่า MIDI กับ VST โดยจะทำพอดแคสไว้ 2 โพสท์ อันแรกนี้เป็นพอดแคสที่แปลงไฟล์จากต้นฉบับที่เป็นไฟล์มิดิ (MIDI file หรือ .mid) มาเป็น MP3 ซึ่งแพลทฟอร์ม Blockdit ยอมรับ (ลงเป็นไฟล์ .mid ต้องเป็นโปรแกรมกลุ่ม DAW หรือคอมฯที่ต่อพ่วงเท่านั้น ตามที่เคยโพสท์ไว้ครั้งที่แล้ว) MIDI file หรือไฟล์ .mid ในแวดวง Digital Music ถือเป็น "ไฟล์ดิบ" เป็นเสียงที่ได้จาก อุปกรณ์(Devices)ใดๆก็ตามที่แปลงสัญญาณ ดิจิตอล ( 1 และ 0) ให้กลายมาเป็นความถี่เสียงในระดับที่แตกต่างกัน หลายท่านคงยังจดจำเสียง Ringtone หรือเสียงเรียกเข้า ของ โทรศัพท์มือถือยุคแรกๆ เมื่อกว่า 30 ปีที่แล้วได้ใช่ไหม ? นั่นแหละครับ เสียงบี้ๆแบนๆ ที่เริ่มครั้งแรกสุดในคุณภาพ 8 Bit (ปัจจุบันเป็น 64 Bit)
สำหรับพอดเคส MIDI Sound นี้ ผมเริ่มต้นด้วยการเล่นจริงๆ บน MIDI Keyboard (ปัจจุบันใช้ MIDI Plus X6 แบบ 66 ลิ่มคีย์) ด้วย VST "sforzando" ของ บ.Plogue Art et Technologie Inc. รุ่น VSTi v2.4 ซึ่งแปลงเสียง Violin MIDI ที่เดิมเป็นเสียงบี้ๆแบนๆ ให้มีคุณภาพเสียงระดับ Soundfont หรือ .sf โดยแทร็กดนตรี Backup ทั้งหมด ผมก็นำมาจาก Project เก่าเมื่อ 10 ธ.ค. 60 ที่เป็น ไฟล์ .mid นำมาปรับแต่งบางส่วน การแก้ไขสกอร์โน๊ต และเปลี่ยน VSTi ให้โทนเสียงโดยรวมๆ เหมาะสมกับแนวเพลงที่เล่นแบบ Solo Violin ลดงานลงไปได้มากมาย เล่นไปพร้อมๆกับบันทึกเสียงไปด้วย ผ่าน DAW ของผมนั่นก็คือ FL Studio เสร็จเรียบร้อยแล้ว ผมก็บันทึกโปรเจ็คลงในคอมฯ ทั้งในแบบไฟล์ MP3, ไฟล์ WAV, และ MIDI อีกครั้ง เพราะถือเป็นผลงานใหม่ (เป็นผลงานแรกสำหรับ Begin The Beguine ที่เล่นแบบ Solo Violin)
จากนั้นก็ นำไฟล์ MIDI มาแปลงเป็นไฟล์ MP3 เพื่อให้สามารถนำมาลงในโพสท์นี้ได้ ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากและใช้เวลาสั้นๆ เพราะทำทุกอย่างไปพร้อมกันผ่านโปรแกรม FL Studio
สำหรับหลายท่านที่รับฟัง MIDI Sound ของผม แล้วรู้สึกสงสัยว่าทำไม เสียงมิดิของผม มันถึงไม่ได้ บี้ๆแบนๆ อย่างของหลายๆท่าน คือทำไมเสียงนุ่มน่าฟังกว่า มิดิที่มาจากคอมฯของอีกหลายๆท่าน 555 เพราะอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้นโพสท์นี้ว่า MIDI เป็น "ไฟล์ดิบ" ที่ยังไม่ได้ผ่านการแปลง คุณภาพเสียงเป็นอย่างไรนั้น ขึ้นอยู่กับ Device และโปรแกรมเสียงสังเคราะห์ (Synthesizer App) ที่ติดตั้งมาจากโรงงานภายในคอมฯของคุณ คอมฯส่วนใหญ่ ก็จะใช้เป็นระดับมาตรฐานทั่วๆไป สำหรับของผมที่เป็นคอมฯตั้งโต๊ะรุ่นโบราณ ก็เป็น Microsoft GS Wavetable SW Synth ที่มาพร้อมๆกับระบบปฏิบัติการวินโดว์ของไมโครซอร์ฟ (OS Windows / OS ย่อมาจาก Operation System ถ้าไม่มีมัน คุณก็มีแต่เครื่องเปล่าๆ ทำงานทำการเล่นอะไรไม่ได้สักกะอย่าง 555)
เจ้า ซินธิไซเซอร์ นี้จะทำหน้าที่ในการ สังเคราะห์เสียงจาก ตัวโน๊ต ดนตรี ในรูปแบบ MIDI มาเป็นเสียงดนตรีให้เราได้ยินกัน ซึ่งดั้งเดิมแล้วระบบโดยทั่วๆไปของ ซินธิไซเซอร์ที่ใช้งานกับ Windows หรือซาวออนบอร์ดทั่วไปจะเป็น ซอฟต์แวร์ ซินธิไซเซอร์ สำหรับเล่น MIDI จากทางค่าย Roland ที่แถมมาให้ฟรีๆ มันก็คือ
Microsoft GS Wavetable SW Synth ซึ่งสามารถรองรับการเล่นไฟล์ MIDI ในมาตรฐาน GM1 (General MIDI Level1) และ GS ซึ่งเป็นมาตรฐาน จากทาง Roland ที่ถูกถอดรูปแบบจากโมดูลของ Roland Sound Canvas SC-33
มาอยู่ในรูปแบบซอฟต์แวร์ ซินธิไซเซอร์ โดยมี 16 กลุ่มเสียง และเครื่องดนตรีอีก 354 ชนิดโดยทำงาน ผ่านอินเตอร์เฟส WDM ของ Windows และยังถูกใช้อยู่บนระบบ Apple Mac ด้วยเหมือนกันโดยผ่านทาง Quicktime
Microsoft GS Wavetable SW Synth ได้ถูกใช้กันมาอย่างยาวนานตั้งแต่สมัย Windows 98 SE จนมาถึง Windows Vista โดยมันไม่ได้ถูกอัพเกรดให้ดีขึ้นแต่อย่างไร มันยังคงสังเคราะห์เสียงออกมาในรูปแบบเดิมนั่นเอง นี่เป็นสาเหตุให้ผม ในสถานภาพที่มีประสบการณ์ยาวนาน เล่นอิเล็กโทนและคอมโบออร์แกนของค่าย Yamaha, ออร์แกนฝรั่ง, ออร์แกนจีน, เปียโน, และไวโอลิน ฯลฯ ไปจนถึงขลุ่ยไม้ไผ่บ้านเรา 555 เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้วจึงทน(ฟัง)ไม่ได้อย่างร้ายแรง หุหุ สำหรับ เสียงบี้ๆแบนๆ แม้คอมฯจะเป็น 32Bit แล้วก็ตามที ทำให้ต้องเข้าไปค้นในโลกออนไลน์ หาคนหัวอกเดียวกันในเวลานั้น ผ่านบล็อกต่างๆ ก็เจอหลายท่านที่รู้สึกแบบเดียวกันจริงๆ หุหุ และแนะนำให้อัพเกรดโปรแกรม Microsoft GS Wavetable SW Synth ไปเป็น YAMAHA XG WDM SoftSynthesizer และเมื่อทำแล้ว ทำให้พอใจและมีความสุขขึ้นอีกมากมายทีเดียวกับเสียง MIDI ในเวลานั้น อีกอย่างคงเป็นเพราะคุ้นเคยกับเสียงอิเล็กโทน Yamaha และจากการที่เป็นศิษย์เก่า "โรงเรียนดนตรีสยามกลการ" มาตั้งแต่เด็กๆนั่นเอง
YAMAHA XG WDM SoftSynthesizer ถูกถอดรูปแบบจากโมดูลของ YAMAHA MU50 โดยมี 16 กลุ่มเสียง และเครื่องดนตรีอีก 450 ชนิด ซึ่งสามารถรองรับการเล่นไฟล์ MIDI ในมาตรฐาน GM1 (General MIDI Level1) และ XG ในโหมด 2MB ROM และในมาตรฐาน GM2 (General MIDI Level2) XG และ TG300B ก็คือการเล่นในโหมด GS ในโหมด 4MB ROM และเอฟเฟคต์ อีก 3 ชุดด้วยกัน ข้อดีที่ไม่เหมือนใครของ YAMAHA นั้นคือระบบ XG และการมีเอฟเฟคต์ อย่าง Variation มาช่วยในการสร้างมิติ เสียงรวมถึงการปรับ โมดูเลชั่นของดนตรี แต่ล่ะชนิดได้เป็น อิสระจนเรียกได้ว่ามันคือ Tone generator กันเลยทีเดียวจะเห็นได้ชัด จากการลากเสียงกีต้าร์ไฟฟ้า และเอฟเฟคต์ในแนว Techno ต่างๆ ฯลฯ
เพราะฉะนั้น เข้าใจตรงกันก่อนนะครับว่า คอมฯโบราณของผม เสียง MIDI จากไฟล์ .mid เป็นเสียงที่ผ่านจาก YAMAHA XG WDM SoftSynthesizer ไม่ใช่ Microsoft GS Wavetable SW Synth