3 ก.พ. 2021 เวลา 12:14 • นิยาย เรื่องสั้น
“สั ญ ญ า”
นาฬิกาที่ข้างหมอนส่งเสียงปลุกปานวาดให้ตื่น หญิงสาวชันกายขึ้นนั่งก่อนหันหน้าออกไปที่ประตูกระจกริมระเบียง สายตาของเธอมองลอดช่องว่างระหว่างผ้าม่านที่ปิดไม่สนิท ท้องฟ้ากลางคืนกำลังมีลำแสงแปลบปลาบ และเปล่งเสียงร้องกราดเกรี้ยว แต่เสียงที่ทำเธอสะดุ้งกลับไม่ใช่เสียงโครมครามจากฟากฟ้า หากเป็นเสียงโทรศัพท์มือถือที่ถูกวางทิ้งอยู่บนโต๊ะหัวเตียง ริงโทนแบบนี้ทำให้ปานวาดรับรู้ได้ทันทีว่าที่ต้นสายคือผู้ใด เธอลังเลชั่งใจว่าจะรับโทรศัพท์ดีหรือไม่ ไม่ใช่ไม่อยากคุยกับเขา แต่หลังจากวันที่เขามาส่งเธอที่ห้องนี่ เขาก็เงียบหายไปเดือนกว่า เป็นหนึ่งเดือนกว่าที่เธอลอยคออยู่กลางเวิ้งน้ำที่ละลายจากภูเขาน้ำแข็งอันเยียบเย็น
เสียงโทรศัพท์เงียบลงปานวาดถอนลมหายใจหนักหน่วง เธอลุกเดินไปแหวกม่านที่กระจกบานเลื่อนริมระเบียงทาบแก้มลงบนกระจกเพื่อสัมผัสความเย็นของอากาศภายนอก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้นอีกครั้ง หญิงสาวหันกลับมามองมันอย่างคนตัดสินใจ แล้วเธอก็เลือกที่จะไม่รับรู้ด้วยการเปิดประตูบานเลื่อนพาตัวเองออกไปยังพื้นที่เล็ก ๆ ภายนอกห้อง
ละอองฝนกระเซ็นตามแรงลมพัดมาโดนผิวกาย เธอปาดมือเช็ดแขนเบา ๆ แต่ระลอกลมก็ไม่ได้หยุดการนำพาความเปียกชื้น ปานวาดเลิกสนใจ เธอวางมือเกาะที่ราวระเบียงแล้วกวาดสายตามองสายฝนกลางแสงไฟราตรี
‘ให้ผมกอดคุณไหม’ เธอนึกถึงคำของเขาในคืนที่เคยเดินไปด้วยกันแล้วมีฝนพรำสายเช่นคืนนี้ เธอไม่ได้แสดงออกว่าหนาว แต่เขารู้ว่าเธอหนาว คืนนั้นเธอยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาให้เขารู้ว่าไม่เป็นไรทั้งที่ในใจเธออยากให้เขากอดเธอโดยไม่ต้องถาม หญิงสาวยิ้มเจื่อนจางเมื่อภาพอดีตโลดแล่น
‘บอกไว้ก่อนนะ ถ้าดูหนังแล้วฉันร้องไห้อย่าหัวเราะนะ’ เธอเคยบอกเขาแบบนั้นเมื่อนัดกันว่าจะไปดูหนัง และเขาตอบเธอว่า ‘ผมไม่หัวเราะหรอก แต่ผมจะกอดคุณไว้แล้วกัน’ แต่สุดท้ายก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพราะเธอเลือกที่จะไม่ให้มันเกิด ‘เดินเล่นกันดีกว่าเนอะ อย่าดูหนังเลย เดินเล่นแล้วคุยกันดีกว่า’
ฝนตกหนักขึ้นเรื่อย ๆ ปานวาดหันมองกลับเข้าในห้องที่มีแค่แสงสลัวสีส้มของโคมไฟหัวเตียง เธอตัดสินใจได้แล้วว่าควรจะต้องคุยกับเขา
1
นาทีของการรอเสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังทอดยาวแล้วเงียบลงในจังหวะช้าสม่ำเสมอ หญิงสาวรู้สึกถึงจังหวะหัวใจของตัวเองที่เต้นในทิศทางตรงข้าม...มันสั่นรัว ราวกับว่าเธอโทรหาใครสักคนที่แปลกหน้าและไม่เคยคุ้นเคยต่อกัน
สัญญาณรอสายโทรศัพท์ขาดไปแล้ว ปลายทางไม่มีการตอบรับ ปานวาดรู้สึกโล่งใจไปพร้อม ๆ กับความเจ็บแปลบวูบแล่น
ทำไมเมื่อผ่านวันเวลาไปนานวัน ความเป็นเพื่อนถึงได้มีความรู้สึกรวดร้าวหนักหน่วงมากขึ้น หญิงสาวบอกตัวเองว่าไม่เข้าใจทั้งที่จริงเธออาจเข้าใจ แต่สิ่งที่เขาจะรู้สึกคือสิ่งที่เธอไม่กล้าคิด และพยายามบอกตัวเองไม่ให้คิด หรือมันเป็นการจัดวางความสัมพันธ์อันล้มเหลว ถ้าอย่างนั้นอะไรคือความผิดพลาดที่ทำให้เกิดความล้มเหลวนี้ เธอนึกแล้วรู้สึกกลัวกับคำตอบ
‘ฝันอีกแล้วเหรอทศ’
‘อืม...ฝันว่าจูบคุณ’
‘มันก็ไม่ใช่ครั้งแรกนี่’
‘แต่ผมละอายใจ รู้สึกตัวเองไม่บริสุทธิ์ใจยังไงไม่รู้’
‘เอาเถอะฉันไม่ได้ว่าอะไรคุณสักหน่อย’
ปานวาดนึกถึงบทสนทนาที่เคยคุยกับเขา แล้วแตะมือลงแผ่วเบาที่ริมฝีปากตัวเอง คืนสุดท้ายที่พบกันความฝันถูกเธอกับเขาทำให้กลายเป็นเรื่องจริง และสัมผัสของลมหายใจอุ่นที่รดรินเธอยังจดจำมันได้ดี
‘ฉันไม่ได้ชอบคุณ’ เธอมักบอกเขาเช่นนั้นเสมอ แต่เมื่อถูกเขาถามทีไรว่า ‘ตกลงคุณไม่ได้ชอบผมหรอกหรือ’ เธอก็อึกอักที่จะตอบเขาทุกที
เสียงโทรศัพท์มือถือของเธอดังขึ้นอีกหน ปานวาดกลั้นลมหายใจเมื่อกดปุ่มรับสาย
“คุณทำอะไรอยู่เหรอวาด”
“ไม่ได้ทำอะไร”
“คุณสบายดีไหม”
“แล้วคุณล่ะสบายดีไหม”
“ผมก็...เหมือนเดิมแหละคุณ” เขาตอบแล้วเงียบเสียง เธอเองก็เงียบเช่นกัน หญิงสาวไม่รู้ว่าควรจะต้องพูดอะไรไหม มีหลายเรื่องที่เธออยากถามเขา แต่คำพูดกันเองอย่างที่เคยคุยมันเหมือนหล่นหายไปและตามหาให้กลับคืนมาไม่ได้ “คุณหายไปไหนมา” เธอถามเขาในใจ และภาวนาว่าเขาจะตอบ
“วาด...” แต่เขากลับเรียกชื่อเธออย่างแผ่วเบา
“คะ?”
“ผมกลัว”
“มีอะไรจะให้ฉันช่วยไหมล่ะ ต้องการบ่น อยากเล่า หรือปรึกษา” ปานวาดพยายามเกาะท่อนไม้ให้แน่นที่สุดเพื่อที่เธอจะลอยคอต่อไปกลางมหาสมุทรเฉียบเย็น
“ผมไม่แน่ใจว่าผมควรวางตัวยังไง”
“อืม...เกี่ยวกับฉันไหม? ถ้าเกี่ยว คุณลืมมันไปได้เลย” เธอตอบคำถามที่กรีดเฉือนหัวใจให้เจ็บแปลบ
“แล้วคุณจะไม่น้อยใจอีกเหรอ”
“คงไม่...แล้วล่ะ” เธอช่วยเขาเฉือนหัวใจตัวเองซ้ำลงไปอีก
“ผมคิดว่าคุณคงเข้าใจ...มั้งนะ”
“อืม...ไม่มีคนคุมคิวชิงช้าสวรรค์คนไหนขึ้นไปนั่งบนชิงช้าหรอก”
“แต่คนคุมคิวชิงช้าสวรรค์ต้องเคยขึ้นชิงช้าสวรรค์ทุกคนนะผมว่า”
“ไม่หรอก คนคุมคิวที่กลัวความสูงคงไม่ขึ้น” เธอพยายามยอกย้อนเขาให้เหมือนเดิมที่สุดอย่างที่เคยทำ
“คุณไม่เคยคิดจะขึ้นชิงช้าสวรรค์บ้างเหรอ”
“ทศ...คุณก็รู้ว่าเด็กอย่างฉันถ้าไม่ได้ขึ้นก็ไม่งอแงออกอาการหรอกนะ มากที่สุดก็แค่แหงนหน้ายืนมองมันอยู่อย่างนั้น”
“เอาไว้คุณขึ้นนอกรอบก็ได้”
“ถ้าขึ้นนอกรอบก็คงหลังจากที่คนอื่นลงหมดแล้ว และฉันต้องเข้าไปทำความสะอาดสิ่งสกปรกที่คนเคยขึ้นทำเลอะไว้” หญิงสาวตอบเขาอย่างเท่าที่ตัวเองจะตอบได้ในนามของคำว่าเพื่อน
การสนทนาจบลงไปแล้วเมื่อหลายนาทีก่อน ในความมืดของราตรี หญิงสาวนึกถึงคำถามสุดท้ายของเขา และคำที่ตัวเองตอบไป
“ตกลงคุณไม่อยากขึ้นชิงช้าสวรรค์จริง ๆ เหรอวาด”
“อยากสิ...แต่อย่างที่บอก ถ้าขึ้นไม่ได้ฉันก็ไม่งอแงหรอก”
ปานวาดเก็บความสงสัยเอาไว้ เธอปฏิเสธตัวเองที่คิดอยากรู้ว่าเพราะอะไรเขาถึงได้ถามเธอแบบนั้น ความสงสัยอาจนำพามาซึ่งความเจ็บปวด เธอไม่ได้กลัวความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นกับตัวเอง เธอแค่ไม่อยากให้เขาต้องเจ็บปวดไปกับเธอ
ในมิตรภาพของคำว่า ‘เพื่อน’ คงเหมือนเส้นสองเส้นที่ขนานกัน เมื่อจัดวางความสัมพันธ์ให้เป็นอย่างนั้นแล้ว มันก็คือการได้มองเห็น ได้เฝ้าดู โดยต้องมีช่องว่างตรงกลางที่ทิ้งระยะห่าง เส้นขนานสองเส้นจะไม่มีวันได้ใกล้กัน ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพยายามที่จะกระเถิบเข้าใกล้ จะเท่ากับทำให้เส้นขนานผิดรูป ความสัมพันธ์อาจถูกเปลี่ยนแปลงให้เข้าหากันมากขึ้น โดยท้ายที่สุดเส้นสองเส้นจะมีจุดตัด คนสองคนอาจได้สัมผัสกันอย่างใกล้ชิด แต่จะกลายเป็นความใกล้ชิดที่โหดร้ายเมื่อหลังจุดตัดนั้นคือการห่างกันออกไปเรื่อย ๆ และเธอบอกตัวเองว่าเธอไม่อยากให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นกับเธอและเขา
ปานวาดพาตัวเองไปที่ริมระเบียงอีกครั้ง สายฝนยังคงกระหน่ำทำหน้าที่ของความเป็นฤดูฝน เสียงฟ้ายังคงคำรามคู่ไปกับแสงแลบแปลบปลาบ แต่ละสิ่งบนโลกใบนี้ล้วนมีหน้าที่ของตัวเองกันทั้งสิ้น
เธอก็เช่นกันในความสัมพันธ์ที่อยู่บนฐานะของคำว่าเพื่อน แม้ผ่านวันสิ่งที่ได้สัมผัสมันจะทำให้เกิดความเจ็บปวดจนรู้สึกว่ามันอาจเป็นการจัดวางความสัมพันธ์ที่ล้มเหลว แต่ถึงอย่างนั้นเธอจะแกล้งทำลืม ๆ มันไปเสีย มองข้ามมันไปซะ เพราะหน้าที่ของเธอที่จะมีให้กับเขามีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น คือความเป็นเพื่อนที่ดี เสมอ...ตลอดไป
1
‘ฉันสัญญาว่าจะไม่ชอบคุณ และจะไม่พยายามทำให้คุณชอบฉัน’
เธอบอกตัวเองด้วยเสียงแผ่วเบาท่ามกลางสายลม
โฆษณา