4 ก.พ. 2021 เวลา 11:00 • ประวัติศาสตร์
“จอร์จ ลูคัส (George Lucas)” ผู้สร้างตำนานสงครามอวกาศ
“สตาร์ วอร์ส (Star Wars)” ชื่อนี้หลายคนน่าจะรู้จักอย่างดี
หลายคนน่าจะเป็นแฟนภาพยนตร์ชุดสตาร์ วอร์สและเป็นสาวกเจได เคยชมภาพยนตร์เรื่องนี้ครบทุกภาคและหลายครั้ง
2
ผู้ที่สร้างสรรค์ตำนานสงครามอวกาศนี้ขึ้นมาคือ “จอร์จ ลูคัส (George Lucas)”
“จอร์จ วอลตัน ลูคัส จูเนียร์ (George Walton Lucas Jr.)” เกิดที่แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ในวันที่ 14 พฤษภาคม ค.ศ.1944 (พ.ศ.2487) โดยเป็นลูกคนที่สามของ “จอร์จ ลูคัส ซีเนียร์ (George Lucas Sr.)” และ “โดโรธี ลูคัส (Dorothy Lucas)”
2
ครอบครัวลูคัส
จอร์จนั้นมีพี่สาวสองคน และมีน้องสาวอีกคนขณะที่อายุได้สามขวบ
ในวัยเด็ก จอร์จมักจะช่วยงานพ่อในร้านเครื่องเขียนของพ่อ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกสนุกกับงานในร้านซักเท่าไรนัก สิ่งที่เขาชอบคือการฟังรายการวิทยุและจินตนาการภาพต่างๆ ในหัว และเขายังชอบดูซีรีส์ต่างๆ ในโทรทัศน์
จอร์จนั้นมีความคิดสร้างสรรค์ตั้งแต่เด็กๆ เขาเคยจัดสวนสนุกเล็กๆ ในสวนหลังบ้าน และเมื่อเขาได้ไปเที่ยว “ดิสนีย์แลนด์ (Disneyland)” ครั้งแรกขณะอายุ 11 ขวบ เขาก็ยิ่งหลงไหลในโลกแห่งจินตนาการ
จอร์จในวัยเด็ก
แต่ดูเหมือนจอร์จ ซีเนียร์ผู้เป็นพ่อจะไม่ได้รู้สึกดีไปกับจินตนาการของลูกชาย ผลการเรียนของจอร์จนั้นไม่ดีนัก และเขาก็ต้องการให้ลูกตั้งใจเรียนและทำงานมากกว่านี้
เมื่อจอร์จมีอายุได้ 15 ปี ครอบครัวของเขาก็ได้ย้ายบ้านไปยังชุมชนใหม่ ซึ่งที่นี่เอง จอร์จก็ได้พบสิ่งใหม่ที่หลงไหล
นั่นคือ “ดนตรี”
ทุกๆ วันหลังเลิกเรียน จอร์จจะกลับบ้าน ขังตัวเองอยู่ในห้องและฟังเพลงร็อคแอนด์โรลล์
จอร์จในช่วงวัยรุ่น
ในช่วงเวลานี้ พ่อของจอร์จได้ซื้อกล้อง 35 มิลลิเมตรให้จอร์จ ซึ่งจอร์จก็ชอบมาก โดยทุกครั้งที่ได้ยินเสียงเครื่องบิน จอร์จจะรีบวิ่งออกไปจากบ้านและถ่ายภาพเครื่องบิน
ย้อนกลับไปเมื่ออายุ 14 ปี จอร์จนั้นหลงไหลในรถมอเตอร์ไซค์ ก่อนจะหันเหไปที่รถยนต์
พ่อของจอร์จได้ซื้อรถเฟียตให้จอร์จ ซึ่งจอร์จก็มักจะขี่ไปกับเพื่อนๆ และไม่ทำตามกฎจราจรเท่าไรนัก คึกคะนองตามประสาวัยรุ่น และใฝ่ฝันจะเป็นนักแข่งรถ
ในปีค.ศ.1962 (พ.ศ.2505) จอร์จได้ซิ่งรถไปชนกับต้นไม้และกระเด็นออกมานอกรถ บาดเจ็บสาหัส ต้องพักรักษาตัวในโรงพยาบาลนานกว่าสองสัปดาห์ ซึ่งอุบัติเหตุนี้เอง ทำให้จอร์จเลิกความฝันจะเป็นนักแข่งรถและค้นหาเป้าหมายที่แท้จริง
ซากรถของจอร์จ
เมื่ออาการเริ่มดีขึ้นและจบชั้นมัธยมมาได้อย่างทุลักทุเล จอร์จก็ได้เข้าเรียนมหาวิทยาลัย โดยศึกษาสังคมวิทยา มนุษยวิทยา วรรณคดี และดาราศาสตร์
ในเวลาต่อมา มีคนแนะนำให้จอร์จลองสมัครเข้าเรียนสาขาภาพยนตร์ที่ “University of Southern California” หรือ “USC” ในลอสแอนเจลิส ซึ่งจอร์จเองก็สนใจมากและอยากจะทำหนัง หากแต่จอร์จ ซีเนียร์ผู้เป็นพ่อไม่ค่อยเห็นด้วยนัก เขาไม่คิดว่าการทำหนังจะประสบความสำเร็จได้ง่ายๆ แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยอมจ่ายค่าเล่าเรียนให้จอร์จ
ที่มหาวิทยาลัยแห่งนี้ จอร์จได้สร้างหนังสั้นเรื่องแรกของตน “Look at Life” ในปีค.ศ.1965 (พ.ศ.2508) และจอร์จก็กลายเป็นนักเรียนระดับแถวหน้า
จอร์จเรียนจบจาก USC ในปีค.ศ.1966 (พ.ศ.2509) ขณะมีอายุได้ 22 ปี และหวังว่าจะได้งานทำสารคดีหรือไม่ก็เป็นช่างภาพ
Look at Life
แต่ในช่วงเวลานั้นเป็นช่วงเวลาของสงครามเวียดนาม ชายหนุ่มอายุเท่าๆ กับจอร์จก็ถูกเกณฑ์ไปรบ แต่ผลการตรวจร่างกายพบว่าจอร์จเป็นเบาหวาน เขาจึงไม่ต้องไปรบ
จอร์จได้กลับมา USC เพื่อศึกษาต่อระดับบัณฑิตวิทยาลัยในปีค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) โดยเขาได้หาเงินจ่ายค่าเทอมด้วยการเป็นผู้ช่วยอาจารย์ ซึ่งจอร์จได้รับหน้าที่สอนช่างภาพของกองทัพเรืออเมริกัน
ขณะทำงานให้ช่างตัดต่อระดับแถวหน้าคนหนึ่ง จอร์จได้พบกับผู้ช่วยช่างตัดต่อ เธอคนนั้นชื่อ “มาร์เซีย กริฟฟิน (Marcia Griffin)”
จอร์จและมาร์เซีย
จอร์จนั้นชอบมาร์เซีย มาร์เซียเป็นหญิงแกร่งที่ต้องต่อสู้กว่าจะเข้ามาทำงานในวงการที่มีแต่ผู้ชายนี้ได้
จอร์จนั้นยังไม่เคยมีแฟนมาก่อน และเขาก็เริ่มออกเดทกับมาร์เซีย
1
ในเวลากลางคืน จอร์จจะต้องทำงานสอน ส่วนในเวลากลางวัน จอร์จก็ถ่ายภาพยนตร์ของตน
โปรเจคที่ใหญ่ที่สุดของจอร์จคือ “Electronic Labyrinth: THX 1138 4EB”
Electronic Labyrinth: THX 1138 4EB
ภาพยนตร์สั้นเรื่องนี้เป็นเรื่องของชายในโลกอนาคต ซึ่งจอร์จเรียกผลงานชิ้นนี้ว่าเป็น “สารคดีไซไฟ”
จอร์จเกณฑ์ทหารเรือที่เป็นลูกศิษย์เขาให้มาช่วย ซึ่งต่างก็ชื่นชอบในเนื้อเรื่องของหนัง และเมื่อนำออกฉายให้เหล่านักศึกษาดู ทุกคนต่างก็ชื่นชอบ นักทำหนังจากทั่วแคลิฟอร์เนียก็เดินทางมาดูภาพยนตร์เรื่องนี้ รวมทั้งชายที่ชื่อ “สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg)”
ปลายยุค 60 (พ.ศ.2503-2512) ไปถึงต้นยุค 70 (พ.ศ.2513-2522) ได้เกิดความเปลี่ยนแปลงในฮอลลีวู้ด ได้เกิดผู้กำกับที่กล้าจะฉีกขนบการทำหนัง ทำหนังในทิศทางใหม่ๆ ซึ่งจอร์จคือหนึ่งในนั้น
ในงานเทศกาลภาพยนตร์นักเรียนประจำปีค.ศ.1967 (พ.ศ.2510) Electronic Labyrinth: THX 1138 4EB กวาดรางวัลและคำชมไปมากมาย อีกทั้งจอร์จยังได้ทุนการศึกษาไปเรียนรู้งานใน “วอร์เนอร์ บราเธอร์ส (Warner Brothers)” บริษัทภาพยนตร์แถวหน้า
จอร์จได้รับหน้าที่เป็นผู้ช่วยผู้กำกับ ซึ่งเป็นโอกาสดีที่จอร์จจะได้เรียนรู้การทำภาพยนตร์ระดับมืออาชีพ
1
ในที่สุด ประตูสู่ฮอลลีวู้ดก็ได้เปิดรับจอร์จแล้ว
ที่วอร์เนอร์ บราเธอร์ส จอร์จได้รับมอบหมายให้ประจำในกองถ่ายภาพยนตร์เรื่อง “ฟิเนียน เรนโบว (Finian Rainbow)” โดยมีผู้กำกับคือ “ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola)”
ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola)
คอปโปลานั้นอายุมากกว่าจอร์จห้าปี และทั้งคู่ก็สนิทสนมกันอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อทำงานไปนานเข้า จอร์จก็เริ่มจะเบื่อหนังที่ตัวเองต้องทำ เขาจึงไปค้นดูพวกฟิล์มเก่าๆ ที่ไม่ได้ใช้ หาไอเดียใหม่ๆ และในช่วงเวลานี้เอง จอร์จได้ขอมาร์เซียแต่งงาน
คอปโปลาต้องการจะนำ Electronic Labyrinth: THX 1138 4EB ของจอร์จมาพัฒนาให้เป็นภาพยนตร์จริงๆ ไม่ใช่เพียงแค่หนังสั้น โดยคอปโปลาได้ไปเจรจากับวอร์เนอร์ บราเธอร์สเพื่อขอทุนมาทำ ส่วนจอร์จจะได้ค่าจ้าง 15,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 450,000 บาท) ในการเขียนบทสำหรับ Electronic Labyrinth ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์เรื่องยาว อีกทั้งยังได้เป็นผู้กำกับอีกด้วย
ในเวลานี้ จอร์จได้ร่วมกับคอปโปลาก่อตั้งบริษัท “อเมริกัน โซโทรป (American Zoetrope)” เพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้
จอร์จและคอปโปลา
จอร์จได้แต่งงานกับมาร์เซียในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ ค.ศ.1969 (พ.ศ.2512) ก่อนที่จอร์จจะลงมือทำ Electronic Labyrinth ฉบับภาพยนตร์เรื่องยาว
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ จอร์จได้ร่วมกับเพื่อนอีกคนหนึ่งเขียนบทหนัง โดยเขามีเวลาถ่ายทำเพียง 10 สัปดาห์เท่านั้น โดยสถานที่ถ่ายทำส่วนใหญ่จะใช้สถานที่จริง
กลางปีค.ศ.1970 (พ.ศ.2513) คอปโปลานำ Electronic Labyrinth ไปฉายให้โปรดิวเซอร์ของวอร์เนอร์ บราเธอร์สชม ซึ่งผลที่ได้นั้น ปรากฎว่าพวกโปรดิวเซอร์ไม่ชอบเลย และต้องการจะยกเลิกสัญญากับจอร์จและคอปโปลา
แต่เมื่อภาพยนตร์เสร็จแล้ว วอร์เนอร์ บราเธอร์สก็ยอมให้นำภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉายในวันที่ 11 มีนาคม ค.ศ.1971 (พ.ศ.2514) และก็เป็นตามคาด ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ทำเงินและวอร์เนอร์ บราเธอร์สก็ปฏิเสธที่จะร่วมงานกับอเมริกัน โซโทรป ทำให้แผนการของจอร์จและคอปโปลาจบลงทันที
THX 1138 (ภาพยนตร์ฉบับยาวของ Electronic Labyrinth: THX 1138 4EB)
เมื่อบริษัทที่ร่วมกันตั้งกับคอปโปลาเจ๊งไปแล้ว จอร์จจึงตั้งบริษัทของตนเอง ชื่อว่า “ลูคัสฟิล์ม (Lucasfilm)”
ในบริษัทใหม่นี้ จอร์จตัดสินใจจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับชีวิตในช่วงวัยรุ่นของตน ช่วงเวลาที่ขับรถเที่ยวเล่นอย่างสนุกสนาน โดยจอร์จตั้งชื่อภาพยนตร์เรื่องนี้ว่า “อเมริกัน กราฟฟิตี (American Graffiti)”
1
ไม่เพียงแค่ไอเดียเรื่องของหนังวัยรุ่นเท่านั้น แต่จอร์จยังได้ไอเดียหนังแอ็คชั่นอวกาศมาอีกด้วย และเขาก็นำไอเดียของตนไปเสนอยังสตูดิโอต่างๆ และเขาก็มั่นใจว่าหนังของตนจะต้องดัง
ในวันเกิดปีที่ 26 ของจอร์จ “ยูไนเต็ด อาร์ติสท์ (United Artist)” ตกลงที่จะออกเงินให้จอร์จสร้างภาพยนตร์สองเรื่อง หากจอร์จจะเขียนบทเต็มๆ ของอเมริกัน กราฟฟิตีให้บริษัท และจ่ายเงินให้จอร์จ 10,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 300,000 บาท)
จอร์จนำเงินที่ได้ไปจ้างเพื่อนสมัยเรียนคนหนึ่งให้ช่วยเขียนบทให้ แต่ปรากฎว่าบทที่เพื่อนเขียนนั้นน่าผิดหวัง จอร์จจึงต้องเขียนบทเองฟรีๆ เนื่องจากเงิน 10,000 ดอลลาร์ที่ได้นั้น เขาจ่ายเป็นค่าจ้างให้เพื่อนไปแล้ว ซึ่งปรากฎว่าบทที่จอร์จเขียนนั้น สตูดิโอกลับไม่ชอบและปฏิเสธ
จอร์จจึงได้ทำการแก้บทและส่งให้สตูดิโออื่นๆ ดู ซึ่งปรากฎว่า “ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ (Universal Studio)” เกิดสนใจ แต่มีข้อแม้ว่าจอร์จต้องหาคนมาร่วมโปรเจคนี้อีกคนหนึ่ง และต้องเป็นคนดังที่ทุกคนรู้จัก
ในเวลานั้น คอปโปลาโด่งดัง เป็นผู้กำกับแถวหน้าไปแล้ว เนื่องจากเขาได้กำกับภาพยนตร์ระดับตำนานอย่าง “เดอะก็อดฟาร์เทอร์ (The Godfather)” ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพยนตร์ฮิตประจำปีค.ศ.1972 (พ.ศ.2515)
จอร์จได้ไปชวนให้คอปโปลาช่วยมาเป็นโปรดิวเซอร์ให้ ซึ่งคอปโปลาก็ตอบตกลง ยูนิเวอร์แซล สตูดิโอจึงตกลงให้ทุนสร้างอเมริกัน กราฟฟิตี
จอร์จใช้เวลาถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้ 28 วัน ซึ่งเขาก็ได้ตัดต่อภาพยนตร์เวอร์ชั่นสำหรับฉายให้ผู้บริหารยูนิเวอร์แซล สตูดิโอและผู้ชมรอบทดลองได้ชม
ผลปรากฎว่าผู้ชมรอบทดลองนั้นชอบมาก แต่ผู้บริหารกลับไม่ชอบเลย
ผู้บริหารจากยูนิเวอร์แซล สตูดิโอกล่าวแก่จอร์จและคอปโปลาว่า
“เราฉายหนังอย่างนี้ไม่ได้ คุณทำให้ผมผิดหวัง”
1
คอปโปลานั้นโมโหมากและเสนอว่าจะซื้อภาพยนตร์นี้คืนมาจากยูนิเวอร์แซล สตูดิโอ
ทางด้านจอร์จนั้นก็ไม่พอใจอย่างมาก และยิ่งไม่พอใจมากเมื่อยูนิเวอร์แซล สตูดิโอออกคำสั่งให้เปลี่ยนหลายๆ ส่วนของภาพยนตร์ก่อนนำออกฉายจริง
1 สิงหาคม ค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) อเมริกัน กราฟฟิตีได้ออกฉาย และได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ถึงห้ารางวัล และทำเงินไปถึง 118 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 3,600 ล้านบาท) จากทุนสร้างเพียง 775,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 23.4 ล้านบาท)
ความสำเร็จนี้ทำให้จอร์จกลายเป็นเศรษฐีเงินล้านและเป็นที่ยอมรับในฐานะของผู้กำกับดาวรุ่งคนหนึ่ง
อเมริกัน กราฟฟิตี (American Graffiti)
ย้อนกลับไปในคราวที่ยูไนเต็ด อาร์ติสท์ปฏิเสธที่จะสร้างอเมริกัน กราฟฟิตี ยูไนเต็ด อาร์ติสท์ยังปฏิเสธไอเดียหนังสงครามอวกาศของจอร์จอีกด้วย
แต่ที่จริงแล้ว ไม่ใช่แค่ยูไนเต็ด อาร์ติสท์หรอกที่ปฏิเสธ ทุกแห่งก็ไม่เอาด้วย แค่ประโยคแรกของภาพยนตร์สงครามอวกาศของจอร์จก็สามารถทำให้ทุกคนงงได้
“เรื่องราวของ “เมซ วินดู (Mace Windu)” เจไดแห่งโอปุชิ”
แต่ถึงอย่างนั้น ในเดือนเมษายน ค.ศ.1973 (พ.ศ.2516) จอร์จก็ได้ตกลงกับ “ทเวนตี้เซนจูรีฟ็อกซ์ (Twentieth Century Fox” เพื่อสร้างภาพยนตร์เรื่อง “สตาร์ วอร์ส (Star Wars)”
หลังจากตกลงทำสตาร์ วอร์สได้ไม่นาน อเมริกัน กราฟฟิตีก็ได้ออกฉายและประสบความสำเร็จ เป็นหนังทำเงิน หากแต่จอร์จก็ไม่ใช้อำนาจในการเป็นผู้กำกับที่ทำเงิน ขอเงินเพิ่มสำหรับสร้างสตาร์ วอร์ส
จอร์จยังคงตกลงตามข้อตกลงเดิมในสัญญา เพียงแต่ขอสิทธิในการสร้างภาคต่อและสิทธิในการฉายทางโทรทัศน์ เพลงประกอบภาพยนตร์ และสิทธิในสินค้าจากสตาร์ วอร์ส
สตูดิโอยอมตกลงตามข้อเรียกร้องของจอร์จทันที ทุกคนต่างคิดว่าหนังอย่างสตาร์ วอร์สจะไปออกสินค้าอะไรได้
หลังจากนั้น จอร์จก็ลงมือเขียนบทสำหรับสตาร์ วอร์ส โดยเขาจะล็อกตัวเองอยู่ในห้องเป็นเวลาแปดชั่วโมงต่อวัน สัปดาห์ละห้าวัน เขียนบทอย่างเดียว และในที่สุด มีนาคม ค.ศ.1976 (พ.ศ.2519) จอร์จก็พร้อมจะถ่ายทำสตาร์ วอร์สในทูนิเซียและอังกฤษ
1
นักแสดงที่แสดงในสตาร์ วอร์สล้วนแต่เป็นนักแสดงหน้าใหม่ มีเพียง “อเล็ก กินเนสส์ (Alec Guinness)” นักแสดงชาวอังกฤษผู้รับบท “โอบีวัน เคนโนบี (Obiwan Kenobi)” ที่พอเป็นที่รู้จัก
1
อเล็ก กินเนสส์ (Alec Guinness)
จอร์จวางแผนจะให้สตาร์ วอร์สเต็มไปด้วยสเปเชียล เอฟเฟคท์มากมาย แต่เขาก็ต้องการจะเป็นผู้ควบคุมการทำเอฟเฟคท์เอง เขาจึงตั้งทีมของตนเองขึ้น
จอร์จได้ตกลงกับสตูดิโอถึงงบการสร้างสตาร์ วอร์ส โดยเขาตกลงว่าจะสร้างโดยใช้งบไม่เกิน 3.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 105 ล้านบาท) แต่จอร์จคิดว่าสตาร์ วอร์สน่าจะใช้งบจริงๆเฉียด 8.5 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 255 ล้านบาท)
สำหรับการถ่ายทำนั้นก็มีปัญหาเรื่องเครื่องแต่งกาย เนื่องจากเป็นหนังอวกาศ หลายคนต้องแต่งหน้า แต่งตัวเป็นมนุษย์ต่างดาว ซึ่งค่อนข้างจะลำบากมาก
กองถ่ายสตาร์ วอร์ส
การถ่ายทำนั้นเป็นไปอย่างล่าช้าและเกินงบที่ตั้งไว้ แต่ก็ลากมาจนเสร็จในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1976 (พ.ศ.2519)
เมื่อถ่ายทำเสร็จ จอร์จก็ได้ไปเช็คงานของทีมสเปเชียล เอฟเฟคท์ แต่ปรากฎว่าทีมงานของเขาเพิ่งทำไปได้สามช็อต และใช้งบไปกว่าครึ่งแล้ว
จอร์จนั้นเครียดหนัก ลงมือซ่อมฉากต่างๆ และจัดการเอฟเฟคท์หลายๆ ฉากเอง ก่อนที่ภาพยนตร์จะเสร็จสมบูรณ์
เมื่อภาพยนตร์เสร็จสมบูรณ์ สตูดิโอก็ตัดสินใจนำภาพยนตร์วิทยาศาสตร์ที่ดูไม่รู้เรื่องนี้ออกฉาย โดยนำออกฉายในโรงภาพยนตร์เพียง 32 แห่งทั่วประเทศ จากที่ปกติ ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งจะออกฉายทีเดียว 600-800 โรงภาพยนตร์ เนื่องจากสตูดิโอไม่คิดว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ เอาแค่ไม่ขาดทุนหรือได้กำไรนิดหน่อยก็ถือว่าโอเคแล้ว
แม้แต่ตัวจอร์จเองก็ไม่กล้าคาดหวังกับสตาร์ วอร์ส เขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่ารอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องนี้ตรงกับวันที่เท่าไร
1
แต่ในวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ.1977 (พ.ศ.2520) ขณะที่จอร์จกำลังพามาร์เซียไปทานอาหารเย็น เขาก็พบว่าการจราจรบนถนนในฮอลลีวู้ดนั้นติดขัดมาก ทำให้เขาสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น
ทั้งถนนและบนทางเดินเต็มไปด้วยผู้คน จอร์จจึงจอดรถ ถามคนที่เดินผ่านไปมาว่าเกิดอะไรขึ้น ซึ่งเขาก็ได้คำตอบว่าผู้คนแห่มาชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ละแวกนี้ ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนั้นก็คือ
“สตาร์ วอร์ส (Star Wars: Episode IV - A New Hope)”
1
สตาร์ วอร์ส (Star Wars: Episode IV - A New Hope)
สตาร์ วอร์สประสบความสำเร็จและเปลี่ยนชีวิตของจอร์จไปอย่างสิ้นเชิง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลออสการ์ถึงห้ารางวัล และทำให้สตูดิโอมานั่งเสียดายที่ยอมตกลง ยกสิทธิในสินค้าจากสตาร์ วอร์สให้จอร์จตั้งแต่แรก
3
ด้วยความสำเร็จจากสตาร์ วอร์สภาคแรกนี้เอง ทำให้สตูดิโอรีบเทเงินให้จอร์จลงทุนสร้างภาคต่อทันที แต่จอร์จนั้นเห็นแล้วว่าการทำหนังโดยใช้เงินทุนคนอื่นนั้นทำให้ตนขาดอิสระเพียงใด ต้องทำตามคำสั่งของสตูดิโอที่ออกทุนสร้าง
สตาร์ วอร์สภาคต่อมาคือ “สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 5 จักรวรรดิเอมไพร์โต้กลับ (อังกฤษ: Star Wars: Episode V – The Empire Strikes Back)” ได้ถูกสร้างโดยเงินทุนของจอร์จเอง
การที่จอร์จนำเงินของตนเองมาลงทุนสร้างนับเป็นเรื่องเสี่ยงมาก แต่เขาก็ทำ และเมื่อคนของฟ็อกซ์มาถามเขาว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ใครจะเป็นคนเขียนบท กำกับ นำแสดง จอร์จก็ได้ตอบไปว่า
1
“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”
1
สตาร์ วอร์ส เอพพิโซด 5 จักรวรรดิเอมไพร์โต้กลับ (อังกฤษ: Star Wars: Episode V – The Empire Strikes Back)
ในภาคนี้จอร์จตัดสินใจไม่กำกับเอง แต่ถึงจะไม่ได้เป็นผู้กำกับ แต่จอร์จก็ควบคุมงานสร้างทุกขั้นตอนอย่างละเอียดถี่ถ้วน และเมื่อออกฉายในวันที่ 21 พฤษภาคม ค.ศ.1980 (พ.ศ.2523) ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ในช่วงเวลานี้ จอร์จและมาร์เซียก็ได้รับลูกสาวบุญธรรม ทำให้ครอบครัวของจอร์จนั้นขยายขึ้น และเป็นแรงใจให้จอร์จมุ่งสร้างภาพยนตร์ต่อไป
ในช่วงที่สร้างสตาร์ วอร์สภาคเอมไพร์นี้เอง จอร์จก็ได้เขียนบทสำหรับภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่คิดจะทำด้วย
ขณะไปพักผ่อนที่ฮาวาย จอร์จได้พูดคุยกับเพื่อนผู้กำกับที่ชื่อ “สตีเวน สปีลเบิร์ก (Steven Spielberg)” และตกลงกันว่าจะทำหนังเกี่ยวกับนักโบราณคดีและนักผจญภัย และในที่สุดก็ได้ลงมือสร้างจริงๆ
ภาพยนตร์เรื่องนี้คือ “ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า (Raiders of the Lost Ark)” นำแสดงโดย “แฮร์ริสัน ฟอร์ด (Harrison Ford)” หรือ “ฮัน โซโล (Han Solo)” จากสตาร์ วอร์สนั่นเอง
1
จอร์จและฟอร์ด
ภาพยนตร์เรื่องนี้ จอร์จมอบให้สปีลเบิร์กเป็นผู้กำกับ ส่วนจอร์จเป็นโปรดิวเซอร์ และเมื่อนำออกฉาย ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็โด่งดัง เป็นภาพยนตร์ฮิตเรื่องหนึ่งประจำปี
ขุมทรัพย์สุดขอบฟ้า (Raiders of the Lost Ark)
หลังจากนั้น จอร์จก็มามุ่งกับการทำสตาร์ วอร์สภาคต่อไป นั่นคือ “การแก้แค้นของเจได (Revenge of the Jedi)”
ภาคที่สามของสตาร์ วอร์สนี้ออกฉายในปีค.ศ.1983 (พ.ศ.2526) และเปลี่ยนชื่อจาก “การแก้แค้นของเจได (Revenge of the Jedi)” เป็น “การกลับมาของเจได (Return of the Jedi)” เนื่องจากแนวคิดที่ว่าเจไดที่มีเกียรติจะไม่คิดเรื่องการแก้แค้น
สตาร์ วอร์สภาคนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี กวาดเงินไปกว่า 300 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 9,000 ล้านบาท) ในสหรัฐอเมริกา
การกลับมาของเจได (Return of the Jedi)
ในช่วงที่กำลังรุ่งโรจน์นี้เอง ชีวิตครอบครัวของจอร์จก็เริ่มดรอป
2
ที่ผ่านมา จอร์จเอาแต่ทำงานจนไม่มีเวลาให้ครอบครัว ทำให้เขาและมาร์เซียเริ่มห่างเหินกัน และเมื่อการกลับมาของเจไดเข้าฉาย จอร์จและมาร์เซียก็ได้หย่ากัน
ภายหลังจากหย่ากับมาร์เซีย จอร์จได้ไปเก็บตัว มุ่งสร้างผลงานใหม่ที่ “ไร่สกายวอล์คเกอร์ (Skywalker Ranch)” ซึ่งเป็นไร่ของตน และย้ายบริษัทและทีมงานของตนไปยังไร่สกายวอล์คเกอร์
ไร่สกายวอล์คเกอร์ (Skywalker Ranch)
จอร์จยังคงผลิตผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง และได้รับรางวัลต่างๆ มากมาย และได้แถลงถึงแผนการที่จะผลิตภาพยนตร์สตาร์ วอร์สออกมาอีก
ภาพยนตร์สตาร์ วอรส์ที่จอร์จวางแผนจะสร้างออกมาอีกนั้น จะไม่ใช่ภาคต่อของสามภาคแรกที่เคยออกฉาย ตรงกันข้าม จะเป็นภาพยนตร์ภาคก่อนหน้า เล่าเรื่องราวก่อนหน้าภาพยนตร์สามภาคที่ได้ออกฉายไปแล้ว
เพื่อหาเงินมาเป็นทุนสร้าง จอร์จได้ตัดสินใจนำสตาร์ วอร์สภาคเก่าๆ กลับมาฉายในโรงภาพยนตร์อีกครั้ง ซึ่งหลายคนก็ไม่แน่ใจนัก เนื่องจากสตาร์ วอร์สก็เคยฉายในโรงภาพยนตร์ไปแล้ว อีกทั้งเคยถูกนำมาฉายทางโทรทัศน์ด้วย จะมีใครอยากมาดูอีกหรือ?
แต่จอร์จก็ยังคงนำภาพยนตร์สตาร์ วอร์สสามภาคแรกออกฉายในโรงภาพยนตร์ในปีค.ศ.1997 (พ.ศ.2540) และแต่ละภาคก็ล้วนแต่ทำเงิน โดยภาคที่ทำเงินน้อยที่สุดก็ทำเงินไปถึง 45 ล้านดอลลาร์ (ประมาณ 1,350 ล้านบาท)
หลังจากนั้น จอร์จก็ได้สร้างภาพยนตร์ชุดสตาร์ วอร์สออกมาอีกหลายภาค ซึ่งล้วนแต่ทำเงินและสร้างความสำเร็จให้จอร์จอีกครั้ง
ค.ศ.2013 (พ.ศ.2556) จอร์จได้แถลงว่าเขาได้ขายลูคัสฟิล์มให้ “วอลท์ ดิสนีย์ (Walt Disney)” ไปในราคา 4.05 พันล้านดอลลาร์ (ประมาณ 121,500 ล้านบาท) ซึ่งจอร์จคิดว่าถึงเวลาที่จะต้องส่งต่อสตาร์ วอร์สให้นักทำหนังรุ่นใหม่แล้ว
ชีวิตที่ผ่านมาของจอร์จนั้นหักเห ผกผัน และไม่มีใครคิดว่าเขาจะมายืนในจุดนี้ได้
จากเด็กเกเร ไม่สนใจเรียน ชอบซิ่งรถ ใช้ชีวิตไปวันๆ แต่ทุกวันนี้ เขาคือผู้กำกับระดับแถวหน้าของโลก
และทั้งหมดนี้ก็เกิดจาก “หนังวิทยาศาสตร์ที่ดูไม่รู้เรื่องนั่น” ดังที่สตูดิโอต่างๆ เรียกสตาร์ วอร์ส
โฆษณา