4 ก.พ. 2021 เวลา 02:39 • ปรัชญา
สวัสดีค่ะคุณผู้อ่านที่น่ารักทุกท่าน
NSDiary กลับมาทักทายคุณผู้อ่านกันอีกครั้ง
หลังจากที่ห่างหายจากการเขียนบล็อกไปหลายวัน
วันนี้เรามีข่าวจากเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมา อยากจะมาแบ่งปัน
เพื่อเตือนสติและให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของ Well-Being
ว่าทำไมเราถึงควรให้ความสำคัญ และไม่ควรละเลยสิ่งๆนี้
ให้กับคุณผู้อ่านที่เข้ามาอ่านบล็อกนี้ของเราได้เก็บเอาไว้เป็นความรู้
เพื่อประยุกต์ใช้กับตนเองและเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางจิตใจให้กับตัวเองกันนะคะ
ภาพประกอบ
เรื่องที่เราอยากจะมาเล่าในวันนี้
เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับข่าวการฆ่าตัวตายของนักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง
ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในบ้านเราเมื่อวันที่ 31 ม.ค. ที่ผ่านมานี่เองค่ะ
(รายละเอียดต่างๆ ทุกคนสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมได้จากในข่าวนะคะ)
ลิงก์ข่าวเพิ่มเติมจาก The Matter ค่ะ:
เรารู้สึกตกใจมากๆกับเหตุการณ์นี้ที่เกิดขึ้น
หากคุณผู้อ่านท่านใดได้มีโอกาสทำงานอยู่ที่บ้าน
หรือต้องเรียนออนไลน์ใช้ชีวิตอยู่กับหน้าจอในทุกๆวัน
เคยมีความรู้สึกเบื่อหน่าย เครียด หรือเหนื่อยล้า กันบ้างไหมคะ?
บางครั้งเราเรียน...เรารู้สึกว่าอาจารย์สั่งงานเราเหมือนสั่งขี้มูกเลย
บางครั้งเราทำงาน...เด็กๆอยู่ที่บ้านเราก็ต้องดูแล อยากออกไปเจอผู้คน
ออกไปเจอเพื่อนที่เคยนั่งเรียนด้วยกัน อยากเจอเพื่อนที่ทำงาน
แบบเจอหน้ากันบ้างยังรู้สึกดีกว่า แต่ก็เนื่องจากสถานการณ์แบบนี้แล้วด้วย
ต่างคนต่างก็ต้องมีระยะห่างซึ่งกันและกัน
ส่งผลให้เราอาจไม่ได้พบปะพูดคุยกัน หรือเจอกันได้เหมือนเมื่อก่อน
และเรื่องต่างๆเหล่านี้นี่แหละค่ะ ที่เป็นจุดเริ่มต้นเล็กๆของความเครียดสะสม
จนทำให้เราไม่ได้นึกถึงความรู้สึกของตัวเองเลยว่าเรารู้สึกแย่ไปแค่ไหนแล้ว
วันนี้เราเลยอยากจะมาแนะนำเรื่อง Well-Being กันค่ะ
" Well-Being คืออะไร ? "
เรามักจะได้ยินคำนี้กันบ่อยๆเลยใช่ไหมล่ะคะว่า Well-Being Well-Being
แล้วตกลงคืออะไรกันนะ?
Well-Being มีความหมายประมาณว่า "ความสุขในการใช้ชีวิต"
ซึ่งเกี่ยวกับความสุขภายที่เกิดขึ้นภายในจิตใจของเรานั่นเองค่ะ
รวมถึงในด้านการใช้ชีวิตประจำวัน การเรียน หรือ การทำงานของเราอีกด้วย
และจากผลงานวิจัยของผู้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า Well-Being
โดย Tom Rath และ Jim Harter ซึ่งได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
ได้ผลออกมาว่า มีปัจจัยในการสร้าง Well-Being อยู่ 5 ปัจจัย ด้วยกัน
ถ้าหากเราต้องการมีชีวิตที่ Well-Being ก็ต้องสร้างจาก 5 ปัจจัยนี้ ได้แก่
1. Career Well-Being
ก็คือ ความสุขในการใช้ชีวิตด้านอาชีพการงาน ผู้วิจัยได้ค้นพบว่า Well-Being
ทางด้านนี้ เป็นเรื่องพื้นฐานสำคัญมากที่สุด ที่จะทำให้เกิด Well-Being ในด้านอื่นๆ เพราะว่าเป็นเรื่องที่คนเราต้องทำและต้องอยู่กับมันทุกวัน
ใครที่ทำงานด้วยความไม่ชอบ หรือทำงานด้านที่ตนไม่ได้มีใจรัก
เรื่องอื่นๆก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลย
ดังนั้น การที่เรามี Career Well-Being อาจหมายถึงได้อีกนัยนึงได้ว่า
"การที่เรามีความชอบในงานที่เราทำ และเราใช้ความชอบตรงนี้ทำเป็นอาชีพ
เพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับชีวิตเราได้นั่นเองค่ะ"
2. Social Well-Being
เป็นเรื่องของการมีสังคม มีความรัก มีเพื่อนพ้อง หรือคนรอบข้าง
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นอีกเรื่องที่ค่อนข้างสำคัญ และปฏิเสธไม่ค่อยได้เลยว่า
คนรอบข้างเรานั้นค่อนข้างที่จะมีผลกับต่อความรู้สึกเป็นสุขในชีวิตของเรา
3. Financial Well-Being
เรื่องที่ 3 เป็นเรื่องของสถานะทางการเงิน ก็คือ การที่เรามีเงินพอใช้จ่าย
ตามสภาพความเป็นอยู่ของเราเอง ไม่เดือดร้อนตัวเองและผู้อื่น
เรื่องของเงินนี้ มักจะเป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่มองว่า ถ้าชีวิตจะมีความสุขได้นั้น
อาจต้องมีเงินเยอะๆ แต่ผลการวิจัยกลับออกมาเป็นอันดับ 3 ไม่ใช่อันดับ 1
4. Physical Well-Being
เรื่องที่ 4 ก็คือ การมีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง
ปัจจัยนี้เป็นอีกปัจจัยที่สำคัญอย่างยิ่ง และเมื่อพูดถึงเรื่องสุขภาพร่างกาย
กลับกลายเป็นปัจจัยที่คนเราหลายๆคนมักจะมองข้ามเรื่องนี้ไปหมดเลย
อย่างเช่น การที่เราเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ทุ่มเททำงานหามรุ่งหามค่ำ
หรือ เป็นเด็กนักเรียนที่ทำการบ้านทำรายงานจนพักผ่อนไม่พอ
จนกลายเป็นการส่งผลเสียต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจของเราได้นั่นเอง
5. Community Well-Being
เรื่องสุดท้ายก็คือ เรื่องของสภาพแวดล้อมที่เราอยู่อาศัยว่ามีสภาพที่ดีหรือไม่
เช่น น้ำ อากาศ มลพิษต่างๆ ฯลฯ ปัจจัยเรื่องนี้เป็นปัจจัยที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมองเท่าไหร่เวลาพูดถึงปัจจัยที่มีส่วนกับความสุขในการใช้ชีวิต
แต่จากผลการวิจัยแล้วพบว่า มีผลเยอะมากเลยค่ะ
ยิ่งสภาพแวดล้อมความเป็นอยู่ที่ไม่ดี ก็จะยิ่งทำให้ความสุขของเราลดน้อยลงไปด้วย
และทั้งหมดนี้ก็เป็น 5 ปัจจัย หลักๆเลยก็ว่าได้ค่ะ
ที่ส่งผลต่อความสุขในการใช้ชีวิตแต่ละวันของเรา
อย่างไรก็ดีอยากให้คุณผู้อ่านอย่าลืมให้ความสำคัญ
และอย่าลืมใส่ใจความรู้สึกของตัวเอง
บางครั้งเราเรียนหนักไป เรา Work From Home นานๆไป
เราอาจจำเป็นที่จะต้องหาวิธีการผ่อนคลายให้ตัวเองบ้าง
เช่น การแบ่งเวลาเพื่อทำกิจกรรมอย่างอื่นที่เราทำแล้วมีความสุข
หรือ ลองเลือกคุยกับคนใกล้ตัวที่เราไว้ใจได้สักคนนึงก็ดีไม่น้อยเลยนะคะ
และอยากฝากถึงคุณครูยุคใหม่ต่างคนต่างก็มีความเครียดไม่ต่างกันค่ะ
อย่าลืมที่จะใส่ใจสุขภาพจิตใจของผู้เรียนด้วย การที่เด็กเรียนออนไลน์
เวลาชีวิตก็ยังมี 24 ชั่วโมงเช่นเดิม เด็กๆยังต้องใช้ชีวิตในมิติอื่นๆ
ที่นอกเหนือจากการเรียนด้วย ควรจัดสรรปริมาณการบ้านให้พอเหมาะพอควรด้วยนะคะ
NSDiary ขอเป็นกำลังใจเล็กๆให้คุณผู้อ่านทุกคนค่ะ
: )
#NSDiary
Reference:
[2] ข่าวจาก The Matter: https://thematter.co/brief/134464/134464
[3] บทความเกี่ยวกับ Well-Being: https://bit.ly/3pOyPJ4
โฆษณา