6 ก.พ. 2021 เวลา 02:40 • ธุรกิจ
BYD รถยนต์ไฟฟ้า สัญชาติจีน ใหญ่เป็นรองเพียง Tesla และ Toyota
ชั่วโมงนี้ คงไม่มีใครไม่รู้จัก Tesla บริษัทผู้นำนวัตกรรมรถยนต์ไฟฟ้า
ที่ได้ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก
หากเรามาดูมูลค่าบริษัทที่มีรายได้จากการผลิตรถยนต์ ที่ใหญ่สุดในโลก 3 อันดับแรกในตอนนี้
2
อันดับ 1 Tesla มูลค่าบริษัท 24.3 ล้านล้านบาท
อันดับ 2 Toyota มูลค่าบริษัท 7.2 ล้านล้านบาท
อันดับ 3 BYD มูลค่าบริษัท 3.2 ล้านล้านบาท
1
แน่นอนว่าหลายคนรู้จัก Tesla และ Toyota
แต่หลายคนน่าจะไม่รู้จัก BYD ว่าคือบริษัทอะไร
แล้ว BYD เป็นใครมาจากไหน?
ทำไมถึงมีมูลค่ามาก จนตอนนี้แซงหน้าบริษัทผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่
อย่าง Volkswagen, Daimler, GM รวมถึง BMW
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
1
BYD ไม่ใช่ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าจากทั้งสหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่น
แต่เป็นบริษัทจากประเทศจีน ที่ก่อตั้งโดยคุณ Wang Chuanfu ซึ่งเป็นผู้ที่เกิดในครอบครัวชาวนาที่ยากจนในมณฑลอานฮุย ทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ตั้งแต่ปี 1995 หรือราว 26 ปีก่อน
 
โดยชื่อของ BYD นั้น ย่อมาจาก “Build Your Dream” หรือแปลเป็นไทยว่า “สร้างฝันของคุณ”
1
สำหรับเรื่องราวของคุณ Wang Chuanfu นั้น
คุณพ่อ คุณแม่ของเขาได้จากเขาไปตั้งแต่ยังเด็ก
ทำให้เขาถูกเลี้ยงมาโดยพี่ชาย และพี่สาวของเขา
3
การจากไปของพ่อแม่ ทำให้ชีวิตของคุณ Wang Chuanfu ประสบความยากลำบากตั้งแต่เด็ก
เขาต้องขอยืมเงินเพื่อนบ้านเพื่อเป็นทุนในการเรียนหนังสือ
1
แต่ความยากลำบากตั้งแต่เด็ก ทำให้เขามีความมุ่งมั่นในการเรียนอย่างมาก
จนกระทั่งเขาเรียนจบปริญญาโทจาก Beijing Non-Ferrous Research Institute
2
หลังจากเรียนจบ เขาทำงานให้กับหน่วยงานวิจัยของรัฐบาลจีนหลายปี ก่อนที่จะออกมาทำงานบริษัทเอกชน ระหว่างนั้นเขาศึกษา และพบว่าอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ในประเทศจีน มีโอกาสจะเติบโตอย่างมากในอนาคต
2
พอเรื่องเป็นแบบนี้ เขาจึงก่อตั้งบริษัท BYD Company Limited ขึ้นในปี 1995 โดยบริษัทของเขาเริ่มต้นจากการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน
1
Cr. BYD
ในระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี BYD สามารถครองส่วนแบ่งมากกว่า 50% ในตลาดผู้ผลิตแบตเตอรี่สำหรับโทรศัพท์มือถือ อีกทั้งยังเป็นผู้ผลิตถ่านชาร์จรายใหญ่ที่สุดในประเทศจีน
2
จุดเปลี่ยนของ BYD เกิดขึ้นอีกครั้งในปี 2002
เมื่อบริษัท BYD ได้ไปซื้อบริษัทรถยนต์ Tsinchuan Automobile เข้ามาเป็นบริษัทลูก
แล้วทำการเปลี่ยนชื่อเป็น “BYD Auto”
ในช่วงแรกนั้น BYD Auto ยังเน้นผลิต และจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันอยู่ โดยรูปลักษณ์รถยนต์ของ BYD นั้นจะเน้นไปที่รูปทรงเหมือนรถยนต์แบรนด์จากญี่ปุ่นและยุโรป
แต่ในปี 2008 BYD Auto สามารถผลิตรถพลังไฟฟ้าแบบปลั๊ก-อิน ไฮบริด (PHEV) คันแรกของโลกได้
โดยใช้ความชำนาญของการเป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่มาก่อน มาพัฒนาต่อยอด จนได้รับความสนใจจากผู้ที่เกี่ยวข้องในอุตสาหกรรมอย่างมาก
และเรื่องนี้โด่งดังมาก จนทำให้ในปีดังกล่าว วอร์เรน บัฟเฟตต์ นักลงทุนชื่อดังของโลก เข้ามาลงทุนในบริษัท BYD ด้วยมูลค่า 6,920 ล้านบาท
3
มาวันนี้มูลค่าหุ้นที่วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถือใน BYD มีมูลค่าสูงกว่า 222,000 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า 3,200% ในระยะเวลาประมาณ 12 ปี ที่เขาเริ่มลงทุนมา
2
สำหรับ BYD นั้น จากที่เป็นผู้ผลิตแบตเตอรี่โทรศัพท์มือถือรายใหญ่ของโลก
มาวันนี้ BYD ยังเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่
ที่ผลิตทั้ง รถยนต์ไฟฟ้า และรถบัสไฟฟ้า
Cr. Electrive
ถ้าลองมาดูส่วนแบ่งตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในปีที่ผ่านมา จากข้อมูลของ McKinsey & Company
1. Tesla 16.2%
2. BYD 10.0%
3. BJEV 7.1%
โดยส่วนใหญ่แล้วรถยนต์ไฟฟ้าของ BYD ถูกวางขายในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวัน
ส่วนในประเทศไทย ก็ยังมีการนำเอารถยนต์ของ BYD มาใช้แล้วบ้าง
อย่างเช่น BYD รุ่น e6 ที่ถูกนำมาให้บริการในสนามบินสุวรรณภูมิ
2
Cr. AUTODEFT
ผลประกอบการของ BYD Company Limited
ปี 2018 รายได้ 566,421 ล้านบาท กำไร 12,900 ล้านบาท
ปี 2019 รายได้ 566,361 ล้านบาท กำไร 7,500 ล้านบาท
โดยที่รายได้ของ BYD ในปี 2019 มาจาก
- ธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้า 49%
- ธุรกิจผลิตและประกอบชิ้นส่วนมือถือ 43%
- ธุรกิจแบตเตอรี่ และแผงโซลาร์เซลล์ 8%
หมายความว่า BYD มีรายได้มาจากการขายรถยนต์ไฟฟ้าเป็นรายได้หลักแล้ว ซึ่งคิดเป็นมูลค่า ประมาณ 277,500 ล้านบาท
ถ้าลองเอารายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า มาเทียบกับ Tesla
ในปี 2019 Tesla มีรายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้า 625,000 ล้านบาท
ก็จะเห็นว่า รายได้จากการขายรถยนต์ไฟฟ้าของ Tesla เป็น 2.3 เท่าของ BYD
ปัจจุบัน BYD Company Limited จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกง
และมีมูลค่าบริษัทประมาณ 3.2 ล้านล้านบาท
1
และก็น่าติดตามว่า
ภายใต้กระแสรถยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแรงขึ้นเรื่อยๆ อย่างทุกวันนี้
BYD จะสามารถเติบโตไปกับเทรนด์นี้ ได้ดีมากแค่ไหน ในอนาคต
และมันคู่ควรแล้วหรือไม่ ในการที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่าค่ายรถยุโรปทั้งหมด
ไม่ว่าจะเป็น Volkswagen, Daimler, BMW..
3
โฆษณา