Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
กระแสความคิด
•
ติดตาม
6 ก.พ. 2021 เวลา 12:03 • ปรัชญา
ภพภูมิ ทำไมเป็นเรื่องน่ารู้
ท่านผู้อ่านทุกท่านคงปฏิเสธไม่ได้ว่า “สิ่งที่เรามองไม่เห็น อาจจะมีอยู่จริง” หรือ “สิ่งที่มีอยู่จริง เราอาจไม่สามารถมองเห็นได้” ตามหลักพระพุทธศาสนา มนุษย์เราไม่ทราบว่าเกิดมากี่ภพ กี่ชาติแล้ว และการเกิดเป็นมนุษย์ ถือว่ามีบุญ และโชคดีที่สุด เนื่องจาก มีโอกาสที่จะบำเพ็ญบุญ กุศล ปฏิบัติธรรม สร้างสมบุญ ในชาตินี้ได้ง่ายกว่าภพภูมิอื่น และสามารถทำกุศลต่อๆไปจนสำเร็จเข้าสู่พระนิพพาน ผู้อ่านเคยสงสัยไหมว่า นอกจากมนุษย์แล้ว มีภพภูมิอื่นอีกไหม อะไรบ้าง
ในพระไตรปิฏก เมื่อกล่าวถึงภพภูมิ โดยอธิบายไว้ดังนี้
ภพภูมิ ‘ภพ’ คือโลกอันเป็นที่อยู่ของสัตว์ จะเรียกว่าภพ หมายถึง สภาพ หรือภาวะชีวิตก็ได้ ทั้งนี้เพราะเน้นสภาพแวดล้อม หรือภาวะของอัตภาพที่สัตว์ครองอยู่เป็นสำคัญ เช่น ภพของมนุษย์ย่อมมีแผ่นดิน มีภูเขา มีทะเล มีแม่น้ำ โดยที่ตัวมนุษย์เองมีหนึ่งหัว หนึ่งตัว สองแขน สองขา ยกตั้งขึ้นด้วยกระดูกสันหลังอันแสดงสภาพสัตว์ชั้นสูง โดย ภพ มีอยู่ 3 ระดับ ได้แก่
1. กามภพ ภพของผู้ที่ยังเสวยกามคุณ หมายถึงสภาพต่ำสุดตั้งแต่สัตว์นรก ไล่มาถึงสัตว์เดรัจฉาน เปรต มนุษย์ เรื่อยไปจนกระทั่งสูงสุด คือเทวดาผู้ยังพัวพันกับความใคร่ในรูปเสียงกลิ่นรส
2. รูปภพ ภพของผู้ที่เข้าถึงรูปฌาน หมายถึง สภาพของผู้พ้นจากภพอันเกลือกกลั้วด้วยกาม เพราะมีสมาธิจิตตั้งมั่นถึงระดับฌาน พวกนี้จะมีรูปกายทิพย์ที่สุขุม และประณีตขนาดที่ว่า ผัสสะภายนอกทั้งปวงปรากฏแผ่วจนไม่อาจทำให้รู้สึกว่าน่าติดใจแต่อย่างใด พวกเขาพึงใจมีชีวิตเพื่อเสพสุขอันเป็นภายในจากสภาพฌานจิตอันยิ่งใหญ่ ล้ำลึกเกินจินตนาการ
3. อรูปภพ ภพของผู้ที่เข้าถึงอรูปฌาน หมายถึงสภาพของผู้พ้นจากความมีรูป เพราะสมาธิจิตก้าวล่วงการสำคัญในรูปทั้งปวงเสียได้ พวกนี้มีรู้สึกในอีกระนาบหนึ่งซึ่งเหนือกว่าสุขอันเป็นทิพย์ (หมายเหตุ – คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไตรภพคือโลกนรก โลกมนุษย์ และโลกสวรรค์ ความจริงแล้วทั้งสามนี้เป็นเพียงกามภพเท่านั้น)
1
ส่วน ‘ภูมิ’ นั้นจะเป็นส่วนย่อยของภพอีกที เพราะเน้นที่ระดับชั้นแห่งจิต มากกว่าจะพูดถึงสิ่งแวดล้อม หรือแม้แต่ร่างกายอันเป็นของภายนอกที่สัมผัสได้ง่ายกว่ากัน ภูมิแห่งจิตวิญญาณมี 4 ระดับ ได้แก่
1. กามาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่ยังข้องแวะอยู่กับกามคุณ 5 คือเสพผัสสะอันน่าพึงใจทางตา หู จมูก ลิ้น กาย อย่างใดอย่างหนึ่งหรือทั้งหมด
2. รูปาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่ยึดเอารูปธรรม เช่น ลมหายใจหรือสีสันเป็นตัวตรึงจิตให้ตั้งมั่นถึงฌาน
3. อรูปาวจรภูมิ เป็นภูมิจิตที่กำหนดเอานามธรรมเช่นอากาศอนันต์เป็นตัวตรึงจิตให้ตั้งมั่นถึงฌาน
4. โลกุตตรภูมิ เป็นภูมิจิตที่เคยเห็นแจ้งว่ารูปนามไม่ใช่ตัวตน และความเห็นนั้นจะต้องเหนี่ยวนำจิตได้ถึงฌาน ประจักษ์แจ้งว่านิพพานมีจริง พ้นสภาพการมีการเป็นทั้งปวงออกไป
คงเห็นว่า ‘ภูมิ’ นั้นจำแนกออกมาได้มากกว่า ‘ภพ’ ทั้งนี้ก็เพราะหลายภพสามารถเป็นที่อยู่ของภูมิจิตระดับโลกุตตระได้นั่นเอง
นอกจากนี้ ภูมิ สามารถแบ่งเป็น 31 ภูมิ โดยไม่รวม โลกุตตรภูมิ หรือ ภูมิจิตที่ถึงนิพพาน
สำหรับกามาวจรภูมิ มี 11 ชั้น ประกอบด้วย กามสุคติภูมิ 7 ชั้น [สวรรค์ 6 ชั้น คือ 1. จตุมหาราชิกา 2. ดาวดึงส์ 3. ยามา 4. ดุสิต 5. นิมมานรตี 6. ปรนิมมิตวสวัตตี) และมนุษย์] และอบายภูมิ 4 ชั้น คือ 1. นรกภูมิ 2. เปรต 3. อสูรกาย 4. สัตว์เดรัจฉาน
1
ส่วน รูปาวจรภูมิ มี 16 ชั้น คือ ปฐมฌานภูมิ 3 ชั้น ทุติยฌานภูมิ 3 ชั้น ตติยฌานภูมิ 3 ชั้น และ จตุตถฌานภูมิ 7 ชั้น
สุดท้าย อรูปาวจรภูมิ มี 4 ชั้น
เครดิตภาพ: Pixabay
ขอกล่าวถึง ลักษณะพิเศษในบางภพภูมินะคะ
1
1. อริยบุคคลทุกประเภทจะไม่ไปเกิดในอบายภูมิ
2. สิ่งมีชีวิตในอบายภูมิจะบรรลุมรรคผลนิพพานไม่ได้
3. เทวดาชั้นจาตุมหาราชิกามีทั้งที่อยู่ระดับพื้นดิน ที่เรียกว่าภุมมัฏฐเทวดา เช่น รุกขเทวดา เป็นต้น และที่อยู่ในอากาศ ซึ่งเรียกว่า อากาศเทวดา
4. สวรรค์ชั้นดุสิตเป็นที่รวมของนักปราชญ์และผู้มีปัญญา รวมถึงพระโพธิสัตว์ที่รอมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า
5. รูปภูมิเป็นที่เกิดของผู้ที่ทำสมาธิจนถึงขั้นรูปฌาน
6. ในชั้นรูปภูมิและอรูปภูมิจะไม่มีเพศชายเพศหญิง เพราะผู้ที่ไปเกิดในชั้นเหล่านี้เป็นผู้ที่ทำสมาธิจนได้ฌานจึงไม่มีนิวรณ์ทั้ง 5 เกิดขึ้นในใจ คือถ้านิวรณ์เกิดขึ้นเมื่อใดฌานก็เสื่อมเมื่อนั้น ซึ่งหนึ่งในนิวรณ์ 5 นั้น คือกามฉันทนิวรณ์ เมื่อไม่มีความยินดีในกามจึงไม่มีเพศ ทุกชีวิตในภูมินี้จะมีลักษณะเหมือนเพศชาย แต่เนื่องจากเป็นเพศแบบเดียวกันทั้งหมดจึงไม่มีการเรียกว่าเป็นเพศอะไร ส่วนอรูปภูมินั้นมีแต่นามขันธ์ 4 ไม่มีรูปขันธ์จึงไม่มีร่างกายให้แสดงเพศอยู่แล้ว
7. ผู้ที่เกิดในอสัญญสัตตภูมิ (เป็นชั้นหนึ่งใน จตุตถฌานภูมิ 7) จะมีเฉพาะรูปขันธ์เท่านั้น ไม่มีนามขันธ์อยู่เลย คือจะมีเฉพาะร่างกายไม่มีความรู้สึกใดๆ เกิดในอิริยาบทใดก็จะอยู่อย่างนั้นตลอดชีวิต ไม่มีการเคลื่อนไหว เพราะก่อนตายในชาติก่อนได้จตุตถฌาน แต่ไม่ยินดีในการมีความรู้สึก ที่เรียกว่าผู้มีขันธ์ขันธ์เดียว นั่นเอง
8. สุทธาวาสภูมิ (เป็นชั้นหนึ่งใน จตุตถฌานภูมิ 7) เป็นที่เกิดของอนาคามีบุคคลเท่านั้น (ปุถุชนและอริยบุคคลชั้นต่ำกว่านี้จะไปเกิดที่นี่ไม่ได้) ในชั้นนี้จึงมีเฉพาะอนาคามีบุคคลและพระอรหันต์เท่านั้น พระอรหันต์ในที่นี้คือตอนเกิดตอนแรกเป็นอนาคามีบุคคลแล้วถึงบรรลุเป็นพระอรหันต์ในชั้นนี้
9. อรูปภูมิเป็นที่เกิดของผู้ที่ทำสมาธิจนถึงขั้นอรูปฌาน
1
10. ผู้ที่เกิดในอรูปภูมิจะมีเฉพาะนามขันธ์ 4 คือ เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณขันธ์เท่านั้น ไม่มีรูปขันธ์ คือไม่มีร่างกายอยู่เลย เพราะจิตไม่มีความยินดีในรูปทั้งหลาย ที่เรียกว่าผู้มีขันธ์ 4 ขันธ์ นั่นเอง
จากเรื่องภพภูมิ ดังกล่าวนี้ คนส่วนใหญ่จะยังไม่ค่อยทราบในเรื่องนี้ อย่างไรก็ตาม ความเร้นลับเกี่ยวกับภพภูมิ มนุษย์ก็กำลังให้ความสนใจและแสวงหา และศึกษากันต่อไป ในฐานะที่ผู้เขียนเป็นชาวพุทธ จึงคิดว่าเป็นเรื่องที่น่าสนใจ เนื่องจากในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ ไม่ควรประมาทในชีวิต ควรจะบำเพ็ญกุศล สะสมบุญ ฟังพระธรรม ศึกษาพระธรรม ทำความดี เพื่อประโยชน์ และความสงบสุขของมนุษย์โลก ทั้งในโลกนี้ และโลกหน้า
สำหรับบทความนี้ต้องขอขอบคุณ และให้เครดิตกับ แหล่งที่มาซึ่งใช้อ้างอิงด้วยค่ะ
อ้างอิง:
1.
https://tripitaka-online.blogspot.com/2016/06/gn011.html
2.
http://book.dou.us/doku.php?id=md408:4
3.
facebook.com/notes/วัดถ้ำพระบำเพ็ญบุญ-อพาน-จ-เชียงราย/ปฐมบท๖-ภพภูมิ-๓๑-ภูมิ-ในพระพุทธศาสนา/1282927231838507/
4.
https://www.kroobannok.com/19787
1
1 บันทึก
1
2
8
1
1
2
8
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย