6 ก.พ. 2021 เวลา 11:43 • ไลฟ์สไตล์
Single-Varietal หรือ Blended Wine ไวน์แบบไหนดีกว่ากัน?
หลังจากที่เรารู้เรื่องประเภทของไวน์ไปแล้ว ในเทเบิ้ลไวน์ หรือไวน์ไม่มีฟอง หรือไวน์ทั่วไปที่ดื่มกันบนโต๊ะอาหาร มีการจำแนกแยกย่อยลงไปอีก ดังนั้นคอไวน์ที่เริ่มดื่มทั้งหลายต้องจดจำคำศัพท์บนฉลากไวน์เพื่อให้เลือกซื้อไวน์ที่ตรงใจมากที่สุด ปุ้ยขอเข้าเรื่องที่ไวน์ซิงเกิ้ลวาไรเทิ้ล (Single-varietal Wine) และไวน์เบลนด์ (Blended Wine) ก่อนค่ะ
Single-Varietal Wine หมายถึง ไวน์ที่ไม่ได้มีการเบลนด์หรือผสมน้ำองุ่นตั้งแต่ 2 สายพันธุ์ขึ้นไป ขวดไวน์ที่มีคำนี้อยู่ให้เข้าใจว่า “เป็นไวน์ที่ทำมาจากองุ่นสายพันธุ์เดียวกัน 100%”ค่ะ เท่าที่ปุ้ยศึกษามาเจ้าของไร่องุ่นในประเทศออสเตรเลีย ประเทศผลิตไวน์โลกใหม่ (New world wine) คิดค้นการทำไวน์ประเภทนี้ขึ้น และจะระบุชื่อของพันธุ์องุ่นลงบนฉลากไวน์อย่างชัดเจน เพื่อให้ผู้บริโภคชาวอังกฤษรู้และเข้าใจง่ายๆว่าไวน์ขวดนั้นๆทำจากองุ่นพันธุ์อะไร เป็นองุ่นที่มีคุณภาพสม่ำเสมอ และช่วยใหผู้บริโภคมั่นใจได้ว่าไวน์ขวดนั้นๆจะถูกผลิตออกมาขายอย่างต่อเนื่องในแต่ละปี (Reliable and consistent each year) เนื่องจากในสมัยก่อนชาวอังกฤษดื่มแต่ไวน์โลกเก่า เช่น ไวน์บอร์โดซ์ (Bordeaux wine) ที่มีชื่อเสียงและนิยมมาหลายร้อยปีจะรู้แค่เพียงประเทศที่ผลิตไวน์เท่านั้น แต่จะไม่รู้จักทั้งพันธุ์องุ่นที่ใช้ทำและสัดส่วนขององุ่นที่นำมาทำไวน์เลยแม้แต่น้อย ดังนั้นการที่มีไวน์แบบ Single-Varietal จึงได้รับความนิยมมากในประเทศอังกฤษ เพราะนักดื่มรู้ว่าตัวเองดื่มไวน์อะไรอยู่
ตัวอย่างไวน์ซิงเกิ้ลวาไรเทิ้ล (Single-Varietal Wines)
แต่ในปัจจุบัน winemaker จากทั่วทุกมุมโลกนิยมทำไวน์ทั้งแบบ Single-varietal และ Blended นะคะ เพราะว่าต่างมีข้อดีหลายอย่างทั้งคู่
ข้อดีของไวน์ Single-varietal ประการแรก คือ ทำให้นักดื่มเข้าใจคาแรคเตอร์ขององุ่นแต่ละสายพันธุ์ได้ดี เหมาะในการเรียนรู้เรื่องสี กลิ่น และโครงสร้างของไวน์ที่ใช้องุ่นสายพันธุ์เดียว ซึ่งเป็นความรู้พื้นฐานที่ทำให้นักดื่มต่อยอดในการทำความเข้าใจโครงสร้างของไวน์เบลนด์ จะเข้าใจว่าแต่ละสายพันธุ์ที่นำมาเบลนด์เข้าด้วยกันมันมีบทบาทในการช่วยเพิ่มหรือลดคุณลักษณะอะไร หรือเติมเต็มอะไรในไวน์ขวดนั้น ในขณะเดียวกันก็ทำให้คุณชิมไวน์ได้สนุกยิ่งขึ้นด้วย
นอกจากนี้ไวน์ที่ใช้พันธุ์องุ่นเดียวยังช่วยให้นักดื่มรู้ว่าสภาพอากาศและเทคนิคต่างๆของ winemaker นั้นส่งผลต่อไวน์ที่เราดื่ม (Final wine) อย่างไร ยกตัวอย่างที่ชัดเจน คือ องุ่นพันธุ์ Chardonnay (ชาร์ดอนเน่) ราชินีองุ่นขาว ถ้าคุณได้ลองดื่มไวน์ชาบลีย์ (Chablis) ทำจากองุ่นชาร์ดอนเน่ 100% จากประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเป็นหมู่บ้านที่มีภูมิอากาศเย็น คุณจะสัมผัสรสขาติที่หอมเลม่อนสด มีแอซิดิตี้ที่สูง เบาๆและมีแอลกอฮอล์ต่ำ ซึ่งเป็นคาแรคดตอร์ที่ตรงข้ามกับไวน์ชาร์ดอนเน่จากนาป้าวัลเลย์ (Napa Valley) ประเทศอเมริกาทางตะวันตกที่มีภูมิอากาศอบอุ่น องุ่นสุกทั่วถึง จึงทำให้ได้ไวน์ Chardonnay ที่มีรสชาติหวานมากกว่า มีแอลกอฮอล์สูงกว่า เด่นในเรื่องรสชาติครีมมี่จากการที่ winemaker นิยมนำองุ่นพันธุ์นี้ไปบ่มในโอ๊ค
ในประเทศไวน์โลกเก่า หรือที่คอไวน์ทราบกันดีคือประเทศในแถบยุโรปมักจะทำไวน์แบบเบลนด์ (Blended Wine) ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน โดยทั่วไปชาวสวนจะปลูกองุ่นพันธุ์อื่นมาแทนต้นองุ่นที่ตายไปอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าในไร่องุ่นนั้นก็เต็มไปด้วยองุ่นหลากสายพันธุ์ ชาวสวนก็จำไม่ได้ว่าเอาองุ่นพันธุ์อะไรไปปลูกทดแทนบ้าง เมื่อถึงเวลาหมักไวน์ก็จะเก็บองุ่นที่ออกผลทั้งหมดพร้อมกันแล้วนำไปหมักพร้อมกันทีเดียวผลผลิตที่ออกมาจึงเป็น “ไวน์เบลนด์ (Blended wine)หรือ ไวน์ผสม” นั่นเองค่ะ ในสมัยนั้นจะเรียกไวน์เบลนด์ว่า Field blend (ฟิลด์เบลนด์) เพราะว่ามีพันธุ์องุ่นหลายสายพันธุ์ถูกปลูกปนเปกันในไร่องุ่นก่อนที่จะนำมาทำเป็นเครื่องดื่มไวน์
ตัวอย่างไวน์เบลนด์ที่เห็นได้ชัด คือ ไวน์จากแคว้น Bordeaux การเบลนด์ (Blending) คือวิถีการทำไวน์ดั้งเดิมซึ่งเป็นเอกลักษณ์โดดเด่น มีการใช้องุ่นแมร์โล (Merlot) ผสมลงไปเพื่อลดกำลังแทนนินเข้มข้นจากองุ่นคาเบอร์เนต์โซวิญอง (Cabernet Sauvignon หรือ Cab) ทำให้ไวน์มีความนุ่มนวล ดื่มง่ายขึ้น แต่ข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่งที่คอไวน์ควรรู้ก็คือ องุ่นทั้งสองพันธุ์สุกไม่พร้อมกันค่ะ องุ่น Cab สุกช้ากว่ามาก ดังนั้นถ้าปีไหนมีอากาศเย็นขึ้นองุ่นพันธุ์นี้ก็จะไม่สุก ปริมาณองุ่นอาจจะได้ไม่เท่าเดิม ทำให้นักปรุงไวน์ (Winemaker) จำเป็นต้องนำองุ่น Merlot มาผสมด้วยเพื่อให้ได้ผลผลิตเพียงพอในการจำหน่ายในแต่ละปีค่ะ ในแต่ละปีไวน์ Bordeaux ที่เราดื่มกันจึงใช้สัดส่วนองุ่นที่แตกต่างกันเกือบทุกปี ขึ้นอยู่กับสภาพภูมิอากาศในแต่ละปี
สัดส่วนของพันธุ์องุ่นที่ผสมลงในไวน์เบลนด์ (Blended Wines) ของประเทศฝรั่งเศสแต่ละสไตล์
นอกจากประเทศฝรั่งเศส ประเทศในยุโรป เช่น สเปน อิตาลีและโปรตุเกส ก็นิยมทำไวน์เบลนด์มากค่ะ ดูจากรูปด้านล่าง Rioja (ริโอฮ่า) เป็นไวน์แดงจากสเปนที่ทำจากการผสมองุ่นท้องถิ่น เช่น Tempranillo (เทมปรานีโญ่), Graciano (กราซิอาโน่), Mazuelo (มาซูเอโล่), Garnacha (การ์นาช่า) และ Viura (วียูร่า เป็นองุ่นเขียว) หรืออาจจะใช้พันธุ์อื่นๆนอกจากนี้ก็ได้ตามสูตรของ winemaker แต่ละคนค่ะ
ไวน์เบลนด์ยอดนิยมจากทั่วโลก
Blended wine ทำให้เราได้ลิ้มรสไวน์ที่มีรสชาติแปลกใหม่ อร่อยๆเยอะขึ้น ที่สำคัญคือทำให้ winemaker ได้เรียนรู้ และพัฒนาเทคนิคในการทำไวน์ให้เฉียบคมขึ้น แต่ละประเทศต่างก็มีองุ่นท้องถิ่น ซึ่งบางพันธุ์อาจจะมีความเปรี้ยวมากเกินไป ฝาดเกินไป หรือให้น้ำองุ่นน้อยเกินไปจนไม่สามารถทำไวน์แบบ Single-varietal ได้เลย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่นักทำไวน์ทั้งหลายเลือกทำการเบลนดิ้งไวน์ด้วย เพราะว่ามันทำให้พวกเค้าได้ลับทักษะทางอาชีพให้เฉียบคม เพื่อให้ชาวคอไวน์ทั้งหลายได้ลิ้มรสไวน์ที่มีรสชาติหลากหลาย และอาจจะมีความซับซ้อนขึ้น
ขอสรุปให้นะคะว่า Single-varietal wine เป็นไวน์ที่แสดงคาแรคเตอร์ขององุ่นแต่ละสายพันธุ์ได้อย่างชัดเจน เหมาะสำหรับเรียนรู้เกี่ยวกับคาแรคเตอร์ และอะโรม่า ขณะที่ Blended wine เป็นไวน์ที่แสดงถึงศักยภาพและทักษะของ เหล่า winemaker ทั้งหลาย ซึ่งคุณควรจะเลือกไวน์แบบไหนนั้น ปุ้ยขอแนะนำให้ลองชิมไปเรื่อยๆ จนคุณรู้ว่าตัวเองชอบไวน์สไตล์อะไร เลือกตามรสนิยมที่ตัวเองชอบเลยค่ะ!
References:
3. The Wine Nerd
1
หากชอบเนื้อหาเกี่ยวกับไวน์ที่ปุ้ยเขียน ฝากกด “ติดตาม” หรือกด “แชร์” บทความของปุ้ย เพื่อเป็นกำลังใจให้ปุ้ยด้วยนะคะ
ขอบคุณค่ะ
Cheers! 🥂
โฆษณา