6 ก.พ. 2021 เวลา 13:27 • หนังสือ
วันนี้ผมจะมารีวิวหนังสือที่มีชื่อว่า ‘นี่เราใช้ชีวิตยากเกินไปหรือเปล่านะ’
.
เล่มนี้เขียนโดยคุณฮาวัน นักวาดภาพประกอบ และนักเขียน
.
หนังสือเล่มนี้เกี่ยวกับการบอกเล่าเกี่ยวกับชีวิตของคุณฮาวัน
ตั้งแต่เกิด เรียน ทำงานประจำ ได้งานวาดภาพเป็นอาชีพเสริม
จนลาออกจากงานประจำ จนถึงปัจจุบัน
ว่าเขานั้นได้เรียนรู้อะไรบ้าง เขาพบเจออะไร
มุมมองต่อเรื่องต่าง ๆในการทำงาน การใช้ชีวิต
และถึงแม้เขาจะเป็นคนเกาหลี แต่สังคมของที่นั่น
ผมว่าดู ๆ แล้ว แทบไม่ต่างจากบ้านเราเท่าไหร่ครับ
จริงๆก็น่าจะเป็นกันหมดนะครับ 555
โดยผมสรุปออกเป็นข้อคิดได้ 10 ข้อครับ
ดังในรูปภาพเลยครับ
.
ความคิดตอนอ่านแรก ๆ เอ้ ทำไมถึงมีแต่ให้ยอมแพ้ไปซะทุกอย่าง
มันดูตรงข้ามกับหนังสือ How to เยอะมากครับ
เช่น เขาอยากออกจากงานเฉย ๆ ไม่ได้วางแผน
ใช้ชีวิตอยู่เฉย ๆ และอื่น ๆ อีกมากมายครับ
ผมก็สงสัยว่าทำไมเขาทำแบบนั้น ทำไมดูชิลล์
จะว่างั้นก็ไม่ผิดครับ จากที่อ่านมา
นั่นก็เพราะ เขาตั้งใจจะใช้ชีวิตตามที่เขาต้องการ
และเชิญชวนให้เราใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ ไม่เหนื่อยมากจนเกินไป
และมีอีกหลายแง่มุมที่น่าสนใจภายในเล่มนะครับ
เป็นหนังสือที่น่าอ่านมาก ๆ อีกเล่มครับ
.
โดยส่วนตัวหนังสือเล่มนี้ทำให้เห็นอีกแง่มุมของการทำงาน
การใช้ชีวิต ว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนหรือพยายามมากเกินไป
เหนื่อยก็หยุดพัก หรือเดินหน้าอย่างช้า ๆ ทำสิ่งที่อยากทำ
เขาลาออกจากงานเฉย ๆโดยไม่ได้วางแผน
เขาลาออกมา เขาไม่ได้รู้ผลการกระทำนะครับ ว่าดีหรือไม่
มีแผนสำรองหรือเปล่า
คำตอบคือ ไม่มีครับ
แต่เขาก็มีความสุขมากขึ้นกว่าตอนที่ทำงานประจำด้วยครับ
.
แถมด้วยผมชอบที่มีภาพประกอบที่เยอะมากครับ
หน้าปกก็สวยงามครับ จริง ๆตอนซื้อเล่มนี้
เพราะชอบหน้าปกด้วยส่วนหนี่งครับ 555
นอนสบาย ๆ ตามชีวิตของเขาเลยครับ
เล่มอื่นผมไม่เคยถ่ายปกหลังลง แต่เล่มนี้เป็นเล่มแรกเลยครับที่ลง
.
แทบจะเป็นหนังสือเล่มแรก ๆ เลยที่ผมอ่านของสำนักพิมพ์ Springbooks
บอกเลยว่าทั้งคุณภาพสี คุณภาพกระดาษดีมาก ๆ
เนื้อหาก็ดีมาก ๆครับ ได้ซื้อเล่มต่อๆไปของสำนักพิมพ์แน่นอนครับ
3
เราแต่ละคนต่างก็มีอัตราเร็วเป็นของตัวเอง :
การที่เราสูญเสียความเร็วของตัวเอง
โดยพยายามไปเปรียบเทียบกับคนอื่น
มีแต่จะทำให้เราเกิดทุกข์
คุณฮาวันบอกว่าถึงแม้จะช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร
เพราะเขารู้เรื่องนี้ดี เขาใช้เวลาสอบเข้ามหาวิทยาลัย 4 ปี
เข้ากรมรับใช้ประเทศ และแม้เรียนจบเขาก็ว่างงานอีก 3 ปี
เขาบอกเสริมว่า ถึงแม้เขาจะเป็นแบบนี้
เขาก็ได้เดินตามทางที่เขาตั้งเป้าหมายไว้ทีละน้อย
ในลักษณะแบบต้วมเตี้ยมทีละนิด ๆ
.
.
เคารพตัวเองในแบบที่เรารักและยอมรับในแบบที่เราเป็น :
ความเคารพตัวเองหรือ Self esteem คือ
การเห็นคุณค่าในตนเอง
เป็นการประเมินว่าเรารักตัวเองมากแค่ไหน
ยิ่งเรามีความเคารพในตัวเองต่ำ
เราจะเกิดปมด้อยกับเราหรือ
รู้สึกว่าตัวเองน่าอับอาย มันเป็นเพราะ
ความแตกต่างในชีวิตจริงกับจินตนาการมีมากเกินไป
แต่คุณฮารันสรุปแล้วว่า
เราไม่จำเป็นต้องเพิ่มความเคารพตัวเองมากก็ได้
เพราะความเคารพตัวเองที่ดีที่สุด คือ
เคารพตัวเองในแบบที่เรารักและ
ยอมรับในแบบที่เราเป็น ณ ตอนปัจจุบัน
2
จงมีฝันแต่อย่าคาดหวังสูง :
คุณฮาวันบอกว่าให้ทิ้งความทะเยอทะยาน
แต่ไม่ได้ห้ามการฝัน ฝันได้แต่อย่าคาดหวังสูง
ให้เราพยายามสานฝันด้วยความเบาสบาย
ไม่คาดหวังสูงมาก ไม่คิดว่าต้องสำเร็จอย่างเดียว
แต่การไม่คาดหวังก็ทำได้ยากใช่ไหมละครับ
ดังนั้นคุณฮาวัน มีข้อคิดที่เตือนใจไม่อีกอย่างคือ
‘อย่าคาดหวังมากเกินไปละกัน’
.
.
สนุกกับขั้นตอนการทำ :
ครั้งหนึ่งคุณฮาวันเคยเรียนทำเครื่องหนัง
แต่ไม่รู้สึกชอบมันเลย ทำด้วยความทรมาน
จึงคิดว่าทำไมต้องเย็บด้วยมือ
ทั้งที่ใช้เครื่องเย็บแค่นาทีเดียวก็เสร็จ
ไม่ก็ซื้อสำเร็จก็จบแล้ว
เพื่อนเขาจึงตอบว่า ความสนุกของมันอยู่ที่การทำนี่ละ
ความอิ่มเอมสุดท้ายที่ได้รับจริง ๆก็อยู่ที่กระบวนการทำนี่ละ
1
ชีวิตไม่ได้มีเส้นทางเดียว :
จากประสบการณ์ของคุณฮาวัน ในตอนเข้ามหาวิทยาลัย
เขาคิดว่าการสอบติดมหาวิทยาลัยฮงอิกคือทุกอย่างในชีวิต
เพราะเป็นมหาวิทยาลัยศิลปะชื่อดัง
เขาสอบครั้งแรกไม่ติด แต่ไม่ยอมแพ้
จนตามมาด้วยครั้งที่2 3 4
จนติดในที่สุด
แต่แล้วสิ่งที่เขาคิดไว้ก็ไม่ถูกต้อง
ในความคิดและการได้ยินข่าวลือของเขาเมื่อได้เข้าไปเรียนว่ามีบริษัทใหญ่มาจองตัวตั้งแต่ยังไม่จบ
แต่ในความเป็นจริงเขาต้องดิ้นรนทำงาน
เพื่อนำไปจ่ายค่าหน่วยกิต
คนอื่นๆ มุ่งหน้าไปแต่ทางของตนเอง
เขารู้สึก ‘หลงทาง’
.
เขาจึงแนะนำว่า หากเรามีเป้าหมายและใฝ่ฝัน
หากเราทุ่มเทและตั้งใจ 2-3 ครั้ง ไม่เป็นไร
แต่เมื่อพยายามแล้วไม่ได้จริง ๆ
ตัดใจจากทางนี้แล้วไปทำทางอื่นก็ไม่เห็นอะไร
ชีวิตไม่ได้มีเส้นทางเดียว
.
.
การยอมแพ้ที่ฉลาดต้องอาศัยหัวใจกล้าหาญ :
เป็นการต่อจากข้อที่แล้วนะครับ
ซึ่งผมจะอธิบายถึง ‘ความกล้าหาญ’
คือ ความกล้าที่จะท้าทายลองสิ่งใหม่ ๆ
และกล้ายอมแพ้เมื่อถึงเวลาควรยอม
4
สิ่งจำเป็นไม่ใช่ ‘มากขึ้น’ แต่คือ ‘น้อยลง’ :
เป็นสิ่งที่คุณฮาวันตกผลึกได้หลังจากที่ตัดสินใจ
ลาออกจากงาน
เขารู้สึกเป็นภาวะ ‘หมดไฟในการทำงาน’
เขาจึงรู้สึกว่า การไม่ทำอะไร
มีความหมายกว่าทำอะไร มาก ๆ
เขารู้สึกได้รับการเติมเต็มจากการไม่ทำอะไร
.
สรุปคือ การที่เรานึกเสียดายสิ่งที่ผ่านมาให้น้อยลง
จะช่วยให้พลังของเราไม่เหือดแห้งไปได้
2
ไม่นำเงินในอนาคตมาใช้ ถ้าปัจจุบันยังไม่สามารถจ่ายคืน :
เป็นความคิดของคุณฮาวันว่า
ทำไมเขาถึงไม่กู้ซื้อบ้าน ไม่ใช้บัตรเครดิต
เพราะเขาไม่อยากเป็นหนี้ที่ต้องยืมเงินจากใคร
โฆษณา